ตอนที่ 60 แสดงอำนาจได้ก็ต้องแสดง
“เช่นนั้นโจวกงกงคิดว่าควรทำเช่นไร?”
โจวอี้ยิ้ม ยกมือขึ้นโบกกล่าวว่า
“เสี่ยวไช่ เอาเทียบเชิญข้าไป แล้วไปศาลซุ่นเทียนสักครั้ง บอกว่าถนนทักษิณมีคดี มือปราบมาตรวจสอบแล้ว ไม่กล่าวอะไรก็จากไป ทำให้รู้สึกว่ามีอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ในนั้น รีบไปรีบกลับ!”
หนึ่งในสองคนก็รีบวิ่งเข้ามา รับเทียบจากโจวอี้ หันหลังออกไป คดีสืบถึงตอนนี้ หวังทงก็ไร้หนทางจะไปต่อ
ได้แต่ควักเงินออกมาก้อนหนึ่งให้ซุนต้าไห่ไปแบ่งกับพรรคพวกของตน แล้วกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ ซุนต้าไห่กับพวกดีอกดีใจอย่างมาก มาอวยพรปีใหม่ไม่คิดว่าจะได้เงินอั่งเปา ยังได้ใกล้ชิดกับใต้เท้า ได้สองต่อจริงๆ ทุกคนยืนขึ้นขอบคุณหวังทงก่อนจะพากันจากไป
กำชับไปว่าพรุ่งนี้ต้องมาคนหนึ่ง หวังทงกลับรู้สึกคิดถึงจางซื่อเฉียงขึ้นมา จางซื่อเฉียงวันที่ 30 เดือนสิบสองออกนอกเมืองกลับบ้าน บอกว่าจะไปเมืองทงโจวไหว้สุสานบรรพบุรุษ คาดว่าวันที่ 7 ถึงจะกลับมา
ซุนต้าไห่และพวกไม่ใช่ไม่ทำงาน และก็ไม่ใช่ไม่ตั้งใจ หกาแต่หวังทงใช้งานแล้วก็ไม่เหมือนกับจางซื่อเฉียงที่ได้ดังใจเช่นนั้น
“ใต้เท้าอยู่หรือไม่? หลี่เหวินหย่วนพาหู่โถวมาอวยพรปีใหม่!”
ทางนี้คนเพิ่งไป นอกหอเลิศรสก็มีคนมาร้องตะโกน หวังทงรีบเชิญให้เข้ามา เป็นสองพ่อลูกหลี่เหวินหย่วน ยังมีมารยาทเกรงอกเกรงใจอยู่เหมือนเดิม
หลี่เหวินหย่วนกับโจวอี้ไม่คุ้นเคยกัน จะให้นั่งที่นี่ก็ไม่ค่อยเหมาะนัก จึงทักทายกันสองคำ หวังทงก็ให้หม่าซานเปียวพาไปต้อนรับที่บ้านนางหม่า คืนนี้ค่อยร่วมกันทานอาหาร
หอเลิศรสเหลือแต่หวังทงกับโจวอี้และผู้ติดตามรวมสามคน ผู้ติดตามโจวอี้ผู้นั้นต้มน้ำเดือดแล้วก็ชงชายกมา จากนั้นก็หลบออกไป
“น้องหวัง คิดจะทำการงานนี่เป็นเรื่องที่ควร แต่ก็อย่าทำอะไรให้เกินไปนัก”
รอคนออกไปแล้ว โจวอี้ก็ยกน้ำชาขึ้นมาเป่า แนะนำเสียงเรียบ หวังทงอึ้งไป รีบประสานมือลุกขึ้นกล่าวขอคำแนะนำอย่างสุภาพว่า
“พี่โจว ข้ายังมีหลายที่ๆ ไม่ค่อยเข้าใจนัก ขอให้พี่ช่วยแนะนำให้!”
“ในวังและเมืองหลวง คนที่รู้ว่าเจ้าใกล้ชิดฮ่องเต้มีไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น หากเจ้าออกไปประกาศสัมพันธ์นี้ ก็ไม่เหมาะจริง ในวังก็คงไม่พอใจ แต่หากเจ้าทำอะไรที่มันเกินไปนัก ทุกเรื่องที่ทำด้วยสถานะของนายกองธงใหญ่ ในวังก็คงไม่พอใจอีกเช่นกัน!”
คำพูดนี้ทำเอาหวังทงอึ้งไปครู่หนึ่ง โจวอี้วางถ้วยชาลง ชี้ไปทางอักษรที่แขวนในร้านอมยิ้มกล่าวเสียงดังกังวานว่า
“มีอักษรของเฝิงกงกงอยู่ หากเจ้าไปทำอะไรตามอำเภอใจ ก็จะทำให้เฝิงกงกงเสียหน้า เฝิงกงกงเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายใน เจ้าก็เหมือนทำให้ราชสำนักฝ่ายในเสียหน้าไปด้วย”
วงการการค้าและวงข้าราชการแม้ว่ามีความคล้ายแต่ก็มีความต่างกันมาก หวังทงตั้งใจฟัง โจวอี้กล่าวจบก็เอ่ยอย่างสบายๆ ต่อว่า
“พี่เดาว่า ทางนี้น้องหวังไม่อยากได้แค่ชื่อว่าเป็นขุนนาง ยังอยากทำอะไรให้คนในคนนอกได้เห็น ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่จำไว้เรื่องหนึ่ง เบื้องบนมองดูเจ้าทำงาน ได้แต่ถามว่าเจ้าทำได้เป็นอย่างไร ไม่ถามว่าเจ้าทำอย่างไรบ้าง ดังนั้นก็วางใจไปทำอย่างไม่ต้องกลัวได้เลย!”
พอคำกล่าวนี้กล่าวจบ หวังทงก็ยืนอึ้งตรงนั้นอยู่นาน หลังได้สติคืนมา ก็ประสานมือคารวะกล่าวอย่างรู้สึกขอบคุณว่า
“โชคดีที่พี่โจวชี้แนะ ไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณพี่ท่านอย่างไร!”
คำพูดของโจวอี้นี้ได้แก้ปมในใจของหวังทงลงได้อย่างแท้จริง ให้เขาได้เข้าใจว่า สมัยนี้ก็มีธรรมเนียมแบบสมัยนี้ ตนเองในโลกสมัยนั้นก็ต้องทำตามธรรมเนียมโลกสมัยนั้น ไม่ควรถูกประสบการณ์ก่อนหน้านั้นครอบงำ มัดมือมัดเท้าเอาไว้
“จางกงกงลงเดิมพันกับน้องหวังไว้มาก วันหน้าคงต้องให้น้องหวังตอบแทน หากถึงเวลานั้นยังต้องเกรงใจน้องเลย!”
คำพูดนี้ตรงไปตรงมา หากหวังทงก็ยิ่งเข้าใจ จางเฉิงและโจวอี้ช่วยเหลือตนเองอย่างไม่สนใจธรรมเนียม ชี้นำทางให้ตน ก็เพื่อดึงมาเป็นพวกให้ทุกอย่างราบรื่น
การช่วยเหลือที่ไม่สนธรรมเนียมปฏิบัติยิ่งมาก เรื่องที่ไม่ควรรู้ที่ตนได้รู้ก็ยิ่งมาก เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตนกับจางเฉิงและโจวอี้ก็ยิ่งใกล้ชิด ตอนนี้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว
หวังทงไม่กล่าวอะไรมากนัก เพียงแต่ระมัดระวังให้มาก
ศาลซุ่นเทียนในเมืองบูรพาวันนี้เงียบเหงาผิดปกติ นอกจากคนที่เข้าประจำการสองสามคนแล้ว คนอื่นๆ ก็กลับบ้านไปฉลองปีใหม่กัน
รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงกำลังร่ำสุรากับภรรยาน้อย ข้างกายยังจุดเตาถ่านร้อนๆ ไว้สองเตา อบอุ่นแสนสบายยิ่งนัก เนื้อซีอิ๊วที่ภรรยาน้อยทำนี้มีรสชาติอย่างยิ่ง สุราก็เป็นสุราเกาเหลียงที่ส่งมาจากเมืองเป่าติ้ง ได้อารมณ์สุนทรีย์เป็นอย่างมาก
ปกติเจ้ากรมก็เป็นเพียงขุนนางระดับสี่ห้าเท่านั้น แต่เพราะศาลซุ่นเทียนควบคุมดูแลเมืองหลวงทั้งเมือง เจ้ากรมที่เรียกว่าเจ้ากรมใหญ่ก็จะเป็นขุนนางสูงถึงระดับสาม เห็นตำแหน่งสูงเช่นนี้ แต่รองรับอารมณ์มากสุด สถานที่ที่ใกล้พระเนตรพระกรรณเช่นนี้ ในวังนอกวัง ขุนนางกรมเล็กกรมน้อย ใครจะไปเห็นขุนนางระดับสามนี้ในสายตากัน
แต่ที่เมืองหลวงนี้ก็ต่างจากที่อื่น เรื่องใหญ่วุ่นวายที่ให้เขาจัดการก็ล้วนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตของเมืองหลวง ทุกฝ่ายก็จะมาจับผิด ยังต้องคุกเข่าคำนับด้วยรอยยิ้มรับฟัง เป็นที่ระบายอารมณ์ เป็นขุนนางที่ไม่มีค่าน้ำร้อนน้ำชา มีคำกล่าวติดปากกันทั่วไปว่า
“สามชาติไม่สร้างกุศล ถูกลงโทษมาประจำศาลซุ่นเทียน”
เจ้ากรมใหญ่ระดับสามต้องรับอารมณ์ แต่รองเจ้ากรมระดับสี่เป็นอันดับรองในศาลกลับไม่เหมือนกัน หนึ่งไม่ต้องออกไปคบหาสมาคมอะไรข้างนอก สองรับผิดชอบแต่งานจิปาถะในศาล เรื่องใหญ่เรื่องเล็กล้วนต้องผ่านมือ
ขันทีใหญ่ระดับไท่เจี้ยนในวังหลวงย่อมล่วงเกินมิได้ แต่ในเมืองหลวงยังมีประชาชนธรรมดาอีกหลายแสนหลายหมื่นคน ผู้คนที่เข้าออก พ่อค้าที่ทำการค้ามากมายเท่าไร ที่นี่น้ำร้อนน้ำชาก็สมบูรณ์อยู่มาก
น้ำร้อนน้ำชานี้แบ่งระดับ รองเจ้ากรมได้เยอะสุด เจ้ากรมยังไม่มีอำนาจจัดการอะไร ทุกคนที่มารับตำแหน่งล้วนพยายามหาทางโยกย้าย ไม่สนใจอะไรเล็กน้อยเหล่านี้
หากเป็นรองเจ้ากรม ผู้ช่วยเจ้ากรมและเจ้าหน้าที่ช่วยงานใต้บังคับที่อยู่นาน รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงเป็นมาได้แปดปีเต็ม คนในพื้นที่เมืองหลวงที่พอรู้งานอยู่บ้างก็รู้ว่ารองเจ้ากรมเฉินจื้อจงผู้นี้เป็นผู้ปฏิบัติภารกิจศาลซุ่นเทียน เป็นผู้มีอำนาจสั่งการได้
สุราเกาเหลียงจากเมืองทงโจวเป็นสุราแรง เฉินจื้อจงดื่มไปจนรู้สึกมึนเล็กน้อย อารมณ์ค่อยๆ ล่องลอย รัชสมัยว่านลี่ที่สี่รายได้ไม่น้อย แต่งภรรยาน้อยคนที่สี่มาจากคณิกามีอันดับหอชุนเฟิง ยังสร้างเรือนกลางน้ำในจวน น้องชายภรรยายังมีจดหมายมาบอกหลายครั้งว่า ตอนนี้ที่โรงผ้าไหมหรือโรงทอผ้าที่เมืองซูโจวแถวเขตซงเจียง เครื่องทอหนึ่งทุกปีได้กำไรเทียบเท่ากับที่นาดีๆ หลายหมู่
แต่น้องภรรยาผู้นี้เชื่อถือไม่ได้ เมืองหลวงกลับแดนใต้ห่างกันพันลี้ ประกันไม่ได้ว่าเจ้าพวกบัดซบที่คิดไม่ซื่อจะฮุบเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไป แต่เงินได้มามากขนาดนี้ จะใช้อย่างไรดี?
ไอร้อนแผ่ไปทั่ว สุราดีเนื้อเลิศรส เฉินจื้อจงตาปรือ กำลังจากล้มพับงีบลงบนโต๊ะ
“ใต้เท้า ใต้เท้า!!”
ทันใดเบื้องหน้าก็มีเจ้าหน้าที่ศาลตะโกนเรียกมา เฉินจื้อจงสะดุ้งเฮือก ศีรษะโขกลงบนโต๊ะอย่างแรง ฤทธิ์สุราหมดไปได้ครึ่งหนึ่ง ลูบหน้าผากอย่างโมโหกล่าวว่า
“ปีใหม่อย่างนี้จะตะโกนบ้าอะไร ใครตายหรือไง!!!”
“ใต้เท้า ใต้เท้า ขันทีโจวอี้รองขันทีฝ่ายซ้ายจากกองขันทีส่วนกลางส่งคนนำเทียบมาให้ขอรับ”
เสียง ‘โครม’ ดังขึ้น เฉินจื้อจงเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนร่วงหล่นจากเก้าอี้