Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 61

ตอนที่ 61 บารมีน่าเกรงขาม

“โจวกงกงกล่าวว่า ศาลซุ่นเทียนของพวกเจ้าเป็นสถานที่ๆ ไม่สะอาด ครั้งนี้มาสืบคดีถนนทักษิณแล้วยังจากไปเงียบๆ ทำให้ผู้คนคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ดังนั้นจึงได้ส่งข้ามาถามไถ่ดู”

ตอนอยู่ที่หอเลิศรส ผู้ที่ถูกเรียกว่า เสี่ยวไช่ เป็นขันทีผู้น้อยคนนี้ท่าทีสงบนอบน้อม แต่พอมาที่ศาลซุ่นเทียนวางท่าวางทางใหญ่โตขึ้นมาทันที

ขันทีที่มาสอบถามผู้นี้ไร้ตำแหน่ง แต่รองเจ้ากรมนี้เป็นตำแหน่งระดับสี่แท้ๆ หากเวลานี้เฉินจื้อจงกลับต้องหลั่งเหงื่อเย็นด้วยความหวาดหวั่น

ขันทีตัวน้อยผอมๆ ดำๆ เบื้องหน้าจะไปมีอะไร หากโจวอี้รองขันทีวังหลวงเป็นบุคคลที่มีอำนาจแท้จริงอยู่ที่วังใน อยู่ๆ มาศาลซุ่นเทียนกล่าววาจาหนักหนาเช่นนี้ แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น?

ถนนทักษิณ? สืบคดี? นึกอะไรไม่ออกเลย ยามนี้เฉินจื้อจงรู้สึกเสียใจที่ตนดื่มมากไปจนสมองเบลอ รู้สึกคิดอะไรไม่ออก แต่ประสบการณ์ในการทำราชการหลายปีก็ยังพอตัวอยู่ จึงได้ลุกขึ้นยืนส่งยิ้มให้เสี่ยวไช่ไปพลางหันไปคำรามใส่เจ้าหน้าที่ศาลว่า

“รีบไปตามหลี่ว์วั่นไฉมาที่นี่เร็ว!!”

เจ้าหน้าที่ศาลผู้นั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบตอบว่า

“ใต้เท้า เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วันนี้พักผ่อนอยู่บ้าน ไม่ได้อยู่ที่ศาล”

รองเจ้ากรมตอนนี้ถูกฉีกหน้าไปเรียบร้อย เฉินจื้อจงคว้ากาสุราบนโต๊ะขึ้นมาปาลงพื้น ตวาดเสียงดังว่า

“รีบไปตามมา เวลาหนึ่งก้านธูป ถ้าไม่มา เจ้ากับมันก็ไม่ต้องมาทำงานกันอีกแล้ว!!”

ระเบิดโทสะเสร็จก็หันหน้ากลับมา สีหน้าโมโหพลันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสุภาพ รีบสั่งให้คนยกน้ำชามาให้ พร้อมกับคิดในใจว่า โจวกงกงผู้นี้มีผู้ใดเป็นผู้บังคับบัญชา ดีไม่ดีมีสายสัมพันธ์กับเฝิงกงกง แท้จริงแล้วมีคดีใหญ่อะไรกัน ถึงกับสะเทือนถึงเบื้องบนได้

ไม่นาน ชายวัยกลางคนสวมชุดขุนนางสีน้ำเงินผู้หนึ่งก็กระหืดกระหอบวิ่งเข้ามา ในวันอากาศหนาวเหน็บแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยเหงื่อ พอก้าวเข้ามาในห้องเห็นขันทีชุดสีครามพร้อมกับเฉินจื้อจงที่กล่าววาจาพินอบพิเทาก็อึ้งไป ยังไม่ทันได้ปาดเหงื่อ ก็รีบประสานมือสอบถามขึ้นทันที

“ใต้เท้า ตามผู้น้อยมาด้วยเรื่องอันใด?”

“หลี่ว์วั่นไฉข้าถามเจ้า วันนี้เจ้าได้ส่งคนไปสืบคดีที่ถนนทักษิณมาหรือไม่ หลังสืบสวนเสร็จไม่กล่าวอันใดก็กลับมา เจ้าเป็นเจ้าพนักงานสืบคดีภาษาอะไร!!”

เจ้าหน้าที่สืบคดีศาลซุ่นเทียนเป็นถึงขุนนางระดับหก ดูแลเรื่องอาชญากรรม เจ้าพนักงานสืบคดีหลี่ว์วั่นไฉพอได้ยินคำถามเสียงดังก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าปกติพวกมือปราบไปตรวจที่เกิดเหตุก็ไม่เคยต้องรายงานเรื่องคดีกับผู้ใด นี่เป็นเรื่องไม่ถูกต้องอันใด แต่เขาทำงานมาหลายปีเช่นนี้ แน่นอนย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไร จึงรีบก้มตัวลงตอบไปตรงๆ ว่า

“ใต้เท้ารอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปสอบถามที่ห้องงานทั้งหก”

ราชสำนักมีหกหน่วยงาน ศาลท้องถิ่นก็มีหกห้องงาน ต่างหน้าที่ก็ต่างส่วนงาน เฉินจื้อจงหันหน้าวิ่งออกไปทันที…

หอเลิศรสที่นั่นมาที่ศาลซุ่นเทียนเดินไปกลับก็เกือบครึ่งชั่วยามกว่า โจวอี้กับหวังทงจึงไม่ได้เอาแต่นั่งรอ

ก่อนอื่นก็พากันไปที่บ้านนางหม่า โจวอี้แม้ว่าสถานะสูงส่งแต่ก็ไม่ได้วางท่าอะไร ท่าทีที่มีกับนางหม่าล้วนเป็นท่าทีของผู้น้อยที่มีต่อผู้อาวุโส ทักทายพูดคุยอย่างสุภาพ

ตั้งแต่หวังทงจากมา เจ้าจินเลี่ยงตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ร้องไห้จ้าเหมือนเดิมไม่หยุด จากนั้นก็เอาแต่นอนไม่ยอมตื่นอีก คงจะร้องจนเหนื่อยแล้ว

“เจ้าเด็กนั่นเอาแต่ร้องว่าท่านแม่อย่าฆ่าเขา…”

คำพูดนางหม่าทำให้คนอื่นๆ ที่คิดเรื่องนี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ หวังทงให้หม่าซานเปียวเฝ้าเอาไว้ แล้วจึงออกไปพื้นที่ก่อสร้างด้านหลังหอเลิศรสกับโจวอี้

ชายสวมเสื้อกั๊กสีเหลืองหลายคนลงมือทำงานวุ่นวายอยู่ที่นั่น นี่คงเป็นคนงานก่อสร้างในยุคสมัยนี้ บรรดาไม้ที่บ้านเรือนเหล่านั้นยังไม่ได้นำไปก็ถูกนำมากองรวมกันไว้ ยังมีรถคันใหญ่ที่มีหลังคาคลุมลากอิฐปูนเก่าๆ ที่เก็บกวาดออกมา

ในแต่ละบ้านยังมีคนสาดปูนขาวอยู่ บ้านกลุ่มใหญ่ทางหอเลิศรสนี้ราบเรียบไปแล้ว มีคนเอาฆ้อนไม้อันใหญ่ทุบกำแพง และยังมีคนมากมายจับเชือกโยงลากกำแพงเหล่านั้นลง

มีการรื้อถอน มีการฆ่าเชื้อ ยังมีการจัดการให้เรียบ หวังทงเห็นแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมาก โบราณกับปัจจุบันแม้มีของไม่เหมือนกัน แต่เรื่องนี้กลับเหมือนกัน

หากในที่ก่อสร้าง ผู้คนมักทนกลิ่นและเสียงไม่ไหว หวังทงมองออกว่า มีการจัดการให้ที่ว่างระหว่างที่นี่กับบ้านเรือนสองฝั่งบริเวณหอเลิศรสให้เสร็จก่อนที่อื่น เพราะว่าไม่อยากให้กระทบกับตนเองทางนี้

หวังทงอุทานในใจเล็กน้อย ตนเองยามนี้เป็นพวกระดับพิเศษไปแล้ว …

เห็นได้ชัดว่าโจวอี้ไม่ค่อยชอบเขตก่อสร้างนี้เท่าไร พอเขาปรากฏตัวขึ้นก็มีคนชุดครามสองคนรีบปรี่เข้ามา ก้มหน้านอบน้อมเป็นเพื่อนคุยพร้อมรายงานความก้าวหน้าของการก่อสร้าง โจวอี้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปากและจมูกพลางพยักหน้ารับอย่างเฉยชา

ไม่นานก็ลากหวังทงกลับ พอเดินมาถึงพื้นที่ว่างผืนนั้นจึงได้หอบหายใจเฮือกใหญ่ ยิ้มกล่าวว่า

“อยู่สถานที่สะอาดสะอ้านในวังนอกวังมานาน มาที่แบบนี้ทนไม่ไหวจริงๆ แต่งานนี้ตกถึงมือข้าก็นับเป็นวาสนา ทำงานนี้แล้วก็ได้ประโยชน์มากอยู่”

พูดจบก็เอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นปัดเช็ดตามตัวไปสองสามที จากนั้นก็โยนทิ้งไว้ด้านหนึ่ง หันมาคุยไปยิ้มไปว่า

“คำของน้องหวัง พี่จำได้ว่างานก่อสร้างนี้ผ่านมือมา น้ำร้อนน้ำชาแม้นิดก็ไม่อาจจับต้อง ล้วนแต่ยกให้พวกเขาไป ตอนนี้คนงานที่ทำงานกันที่นี่ ทุกวันมีเนื้อมีข้าวกินกันทุกมื้อ กลางคืนเหน็ดเหนื่อยยังมีสุราอุ่นๆ ให้ดื่ม ว่ากันว่าบรรดาคนงานก่อสร้างในเมืองและนอกเมืองไม่น้อยที่ไม่ฉลองปีใหม่กันแล้ว ต่างพากันมาของานทำที่นี่…ดีที่กำหนดเวลางานเอาไว้ ไม่งั้นไม่แน่ว่าคนเหล่านี้อาจจะยื้องานออกไปเพื่อชีวิตที่ดีเช่นนี้!!”

ทั้งสองสรวลเสเฮฮาพากันเดินกลับไป ใกล้จะถึงหอเลิศรสหวังทงจึงได้สติ คำที่โจวอี้กล่าวมานั้นก็เพื่อให้ตนเองเมื่อมีโอกาสได้กล่าวกับฮ่องเต้ว่านลี่ เป็นการแสดงถึงผลงานของตนเอง คิดถึงตรงนี้ หวังทงก็อดส่ายหน้าไม่ได้ เรื่องในวงราชการ ตนเองเข้าใจน้อยไปจริงๆ

เดินวนรอบสถานที่ก่อสร้างรอบหนึ่ง พอกลับมาก็เห็นเสี่ยวไช่ ขันทีน้อยผู้นั้นที่ไปศาลซุ่นเทียนกับคนอีกสามคนกำลังรออยู่หน้าหอเลิศรส

ขุนนางสวมชุดสีน้ำเงินลายพยัคฆ์ผู้หนึ่งกับมือปราบอีกสองคน สองคนนั้นที่มาตอนเช้า ขุนนางผู้นั้นยังดี แต่มือปราบสองคนนั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตา รอยฝ่ามือแดงบนใบหน้ายังคงเด่นชัด เห็นได้เลยว่าโดนมาไม่น้อย

หวังทงและโจวอี้สวมชุดธรรมดา ตอนเดินมา ขุนนางกับมือปราบจึงไม่สนใจ รอจนเสี่ยวไช่ก้มตัวออกไปรับ จึงได้ยิ้มแย้มตามมาด้วย

ขุนนางสวมชุดสีน้ำเงินลายพยัคฆ์ก้มศีรษะจนเกือบติดเข่า ยิ้มกล่าวประจบประแจงว่า

“ท่านนี้ต้องเป็นโจวกงกงอย่างแน่นอน ข้าน้อยเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉจากศาลซุ่นเทียน คำนับกงกง”

พอคำนับเสร็จ ก็หันไปตบหน้ามือปราบสองคนนั้นคนละที กล่าวว่า

“ล้วนเป็นเจ้าบัดซบสองคนนี่ที่ไม่รู้จักธรรมเนียม ทำลายชื่อเสียงศาลซุ่นเทียนเรา ทำให้กงกงเสียงานใหญ่ หวังซื่อ หลี่กุ้ย พวกเจ้ายังมิรีบโขกศีรษะรับผิดกับกงกงอีก!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version