Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 679

ตอนที่ 679 ศิโรราบ

แผ่นดินหมิงกับมองโกลรบกัน หัวไม่กี่ร้อยก็นับว่าเป็นความชอบใหญ่ คนที่เกี่ยวข้องย่อมได้ยศถาบรรดาศักดิ์ระดับโหว มีเพียงชัยชนะยิ่งใหญ่แห่งกู่เป่ยโข่วเท่านั้นที่ยกเว้น

แม่ทัพชีจี้กวงเมืองจี้โจวกับแม่ทัพหลี่หรูซงแห่งเมืองเซวียนฝู่ร่วมกันยกทัพปราบมองโกลบนทุ่งหญ้านอกด่านราบคาบ ตัวหัวได้เกือบหมื่น เป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ของแผ่นดินหมิงครั้งหนึ่ง ทหารเมืองจี้โจวล้วนภาคภูมิใจ

หานกังก็เป็นทหารออกรบในการศึกครั้งนั้นและยังอยู่ในกองทัพมานาน เมื่อมาเมืองหลวง แม้การข่าวไม่ดี แต่โลกทัศน์ตอนนี้ก็กว้างกว่าเมื่อก่อนมาก

พอได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ สีหน้าหานกังก็อึ้งไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นดูแคลน แค่นเสียง ‘ฮึ’ ขึ้นเสียงหนึ่ง ไม่กล่าวอันใดต่อ แสดงให้เห็นว่าไม่เชื่อ

หานไท่ผิงกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ หวังทงกลับยิ้มกล่าวว่า

“หากมิใช่ข้านำกำลังถ่วงพวกมองโกลไว้ พวกเจ้าเมืองจี้โจวจะตามมาทันหรือ?”

หานกังอึ้งไป ตามมาด้วยสองตาเบิกโต ส่ายหน้ากล่าวว่า

“กองทัพนั่นเป็นทหารที่แม่ทัพชีเราส่งไปก่อน เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย เจ้าก็แค่ทหารองครักษ์เสื้อแพร……โอ๊ย ท่านปู่รอง ตบข้าทำไมอีก!!”

ยังจีบปากจีบคอพูดไม่จบ หานไท่ผิงก็เข้ามาตบท้ายทอยอย่างแรงไปทีหนึ่ง เห็นหานกังถามกลับ หานไท่ผิงก็โมโหจัดกล่าวว่า

“เจ้าจะไปรู้อันใด ใต้เท้าหวังไม่เพียงแต่เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ยังเป็นผู้บัญชาการกองกำลังหู่เวยอีกด้วย นอกเมืองเซวียนฝู่ ใต้เท้าหวังนำกำลังสังหารมองโกลไปสามพัน ที่กู่เป่ยโจ่ว ก็สังหารไปไม่น้อยกว่าเมืองจี้โจวพวกเจ้า เพราะใต้เท้าหวังไม่หวังลาภยศ ดังนั้นจึงไม่ได้ป่าวประกาศ เจ้าคิดว่าแค่ความชอบกระจิ๊ดริดของเจ้าควรค่าแก่การป่าวประกาศเช่นนี้หรือไง!”

ในวังก้าวขึ้นตำแหน่งระดับนี้ได้ ข่าวย่อมไวกว่าคนข้างนอก ชัยชนะหวังทงหลายครั้งล้วนไม่ได้ป่าวประกาศให้คนนอกรู้ ในวังรู้ก็เป็นเรื่องปกติ

ข่าวของหานไท่ผิงแม้ว่าเป็นเรื่องไม่จริงทั้งหมด แต่คร่าวๆ ก็ใช่ หานกังยามนี้ได้แต่ตกใจอึ้งค้างไป ปู่รองย่อมเล่าความจริง เขาดูออก เดิมคิดว่าทหารเมืองจี้โจวเป็นทหารแกร่งไร้คู่ต่อสู้ในใต้หล้า มีชัยชนะยิ่งใหญ่หาใดเทียม ยังภาคภูมิใจในความกล้าหาญของตัวเองมาก คิดไม่ถึงว่าทหารหนุ่มน้อยเบื้องหน้าถึงกับมีประวัติที่น่ำตกใจเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายยังเป็นนายของนายของนายตนอีกด้วย

สู้เขาไม่ได้สักอย่าง ได้แต่อึ้งไป ในที่สุดหานกังก็คอตก หวังทงโบกมือ ทหารด้านหลังรีบเข้ามาปล่อยหานกัง

หานกังถูกปล่อย ก็ขยับตัวคลายเมื่อย มองซ้ายมองขวา เห็นหานไท่ผิงถลึงตามองมา ก่อนมองไปทางหวังทงที่ยิ้มเล็กน้อย หานกังลังเลครู่หนึ่งก็คุกเข่าลงกับพื้น กล่าวว่า

“ข้าน้อยทำการบุ่มบ่ามล่วงเกินใต้เท้า ขอใต้เท้าลงโทษ!!”

หวังทงยิ้มพยักหน้าหันไปกล่าวกับหานไท่ผิงว่า

“แม้ว่ารับผิด แต่กฎทหารก็ยังคงเป็นกฎ อย่างไรก็ต้องลงทัณฑ์!”

ก็แค่โบยกับเฆี่ยน อย่างไรก็แค่บาดเจ็บภายนอกไม่ถึงตาย หานไท่ผิงค่อยวางใจลง หลานตนเองไม่รู้จักดีชั่ว ไม่มีวาสนาก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่ยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า

“สมควร สมควร ใต้เท้าหวังสั่งสอนเขา วันหน้าเขาจะได้ไม่เสียทีคนอื่นอีก”

“โบยไม้ 30 แส้ 10!”

หวังทงเอ่ยขึ้น เจ้าหน้าที่มองมือหวังทงทันที หากไม่กี่นิ้ว แปลว่าสองสามวันลุกไม่ขึ้นก็พอ แต่หวังทงกลับยืนไพล่มือไว้ด้านหลัง เจ้าหน้าที่ก็อึ้งไป พอได้สติ ก็เข้าใจว่าใต้เท้าหวังหมายถึงอย่าลงมือแรง

งานนี้ไม่ง่าย แม้ว่าจะตกใจ แต่ก็ยังต้องถอดกางเกงลง โบยไปพักหนึ่งก็ลงแส้ต่อ

พอลงทัณฑ์เสร็จ หานกังก็สวมกางเกงลุกขึ้นยืน เมื่อครู่เขาล้มทหารหวังทงไปสาม ตอนเฆี่ยนหลังจึงโดนไปแรงพอควร พอสวมเสื้อก็รู้สึกเจ็บจนต้องสูดปาก

“เจ้าเด็กบ้า ยังไม่ขอบคุณใต้เท้าหวังที่เมตตา!”

พอลุกขึ้น หานไท่ผิงก็ตำหนิดัง ถึงตอนนี้ ทุกคนรู้แล้วว่าจบเรื่องแล้ว หานกังตอนนี้ยอมศิโรราบแล้ว ได้ยินปู่ตนสั่ง ก็คุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า

“ขอบคุณใต้เท้าหวังที่เมตตา……”

“ยอมติดตามข้าไหม?”

หานกังคิดไม่ถึงว่าถึงตอนนี้ หวังทงยังให้โอกาส อึ้งไปก่อนจะโขกศีรษะกับพื้นกล่าวว่า

“ข้าน้อยขอติดตามใต้เท้าหวัง จะบุกน้ำลุยไฟเพื่อใต้เท้าหวัง”

“หานกงกง หลานเจ้าคนนี้ข้าดูแล้วถูกชะตา วันหน้าจะดูแลให้ หากว่าสั่งสอนแรงไป หานกงกงอย่าได้เจ็บปวดใจ!”

ได้ยินหวังทงกล่าวสัพยอก หานไท่ผิงก็เช็ดมุมตา ยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า

“ได้ติดตามใต้เท้าหวัง ย่อมเป็นวาสนาของเจ้าเด็กนี่ ตีได้ ด่าได้ เสี่ยวกัง เจ้าต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดี ติดตามใต้เท้าหวังต้องได้เป็นคนมีความสามารถในวันหน้าแน่นอน!!”

หวังทงยกมือบอกให้หานกังยืนขึ้น พอหานกังยืนขึ้นก็มิได้วางทางยโสโอหังเหมือนเมื่อก่อนหน้า อย่างไรก็ได้ฝึกในกองทหาร วินัยทหารเคารพผู้บัญชาการนี่เขาก็ย่อมรู้ ทิ้งมือข้างกายยืนนิ่ง หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“เจ้ามีความสามารถอยู่ แต่สิ่งที่ฝึกจากเมืองจี้โจวมา ต่างกับกองกำลังหู่เวยข้า พรุ่งนี้เจ้าไปฝึกนอกเมือง อย่าได้ละเลย”

อีกฝ่ายตอบรับ หวังทงก็นิ่งไปก่อนจะถามขึ้น

“นายกองร้อยเหยียนผู้นั้นกล่าวกับเจ้าอย่างไร ปกติเจ้าใช่ว่าไม่ไปปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่หรือ และยังไม่ไปมาหาสู่กับคนอื่นไม่ใช่หรือ?”

“เรื่องนั้น……เรียนใต้เท้า เมื่อวานนายกองร้อยเหยียนมาที่นี่ เรียกได้ว่าพบกันครั้งแรก แต่ได้ยินมาเรื่องหนึ่งแล้วยอมไม่ได้ เห็นว่าข้าน้อยมาใหม่ คิดจะรังแก ยังบอกว่าเป็นวิธีการที่คิดออกมาเพื่อจัดการข้าน้อยคนเดียว ข้าน้อยไป ย่อมโดนลงทัณฑ์หนัก ถึงตอนนั้นค่อยไล่ออกจากองครักษ์เสื้อแพร กล่าววาจาหยาบไม่อาจรับฟังได้ ข้าน้อยปกติก็ถูกรังแกมามาก ครั้งนี้จึงโมโห……”

เขากล่าวจบก็หันไปมองหานไท่ผิง ยิ้มกล่าวว่า

“หานกงกง งานนี้คงกะให้ท่านออกมาสู้กับข้าแล้ว พวกเขาคิดอุบายได้ดีนะ”

หานไท่ผิงเดิมกำลังอารมณ์นิ่ง พอได้ยินก็โมโหหน้าแดงทันที ได้ยินหวังทงถาม ก็เสียงแหลมขึ้นว่า

“ครั้งนี้หากไม่ใช่ใต้เท้าหวังมาด้วยตนเอง ไม่ว่าเสี่ยวกังโดนลงมือหรือลงมือใส่ผู้อื่น ข้ากับใต้เท้าก็ย่อมเป็นปรปักษ์กัน ข้าอยู่ในวังตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ จนมาวัยนี้จึงได้ตำแหน่งนี้มา ไม่เคยล่วงเกินตระกูลเหยียน พวกเขาเหตุใดจึงกล้าทำเรื่องเลวร้ายกับข้าและท่านเช่นนี้ ข้าจะต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!!”

หานกังเริ่มรู้แล้วว่าตนเองถูกวางกับดัก ก็ก้มหน้าไม่กล้าพูดต่อ หวังทงปลอบใจว่า

“เรื่องนายกองร้อยเหยียน ข้าจัดการเอง หานกงกงออกมานานแล้ว อย่าได้เสียงานในวังหลวง น้องชายหานกังอีกสองคน หากกงกงวางใจมอบให้ข้าดูแล ข้าก็จะจัดการให้”

หานไท่ผิงได้ยิน ก็ยิ้มตาหยี รีบกล่าวว่า

“ไม่วางใจได้อย่างไร รบกวนใต้เท้าหวังแล้ว ข้ากลับก่อน วันหน้าต้องได้ตอบแทนคุณท่าน”

พยักหน้าก้มคำนับออกไป เด็กสองคนก็ถูกพาเข้ามา เด็กสองคนเห็นพี่ชายถูกลงมือและจับไว้แต่ตั้ง ตอนนี้ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหวังทง ก็เริ่มงง คิดจะเข้าไปยืนหลบหลังพี่ชายก็ไม่กล้า

“หานเถี่ย หานสือ?”

เด็กชายสองคนแม้ว่ารูปร่างผอมแห้งแต่ท่าทางไม่เลว ดูแล้วไม่เหมือนคนที่อดอยากทนหนาวมา เสื้อผ้าก็เรียบร้อยดี มีแต่สองตาที่ร้องไห้บวมแดงเท่านั้น หวังทงถาม หานกังรีบตอบว่า

“ใช่ขอรับ หานเถี่ยปีนี้อายุ 12 หานสือปีนี้ 10 ขวบ เร็ว คำนับใต้เท้า!!”

เด็กสองคนคำนับด้วยท่าทีอึ้งๆ บรรยากาศในลานบ้านไม่เหมือนเดิม พวกเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวดังเดิม หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“เด็กน้อยต้องกินเนื้อเยอะๆ ถึงจะเติบโต เสี่ยวหลี่ เจ้าพาพวกเขาสองคนไปหอเลิศรสกินเนื้อน้ำแดงไป กินเสร็จค่อยซื้อขนมอร่อยๆ กลับมาด้วย”

เนื้อกับขนมล้วนเป็นของที่ดึงดูดเด็กได้ แม้แต่หานกังที่ถูกมัดท้องกิ่วอยู่นานก็ต้องกลืนน้ำลายเอื้อก หานเถี่ย หานสือสองพี่น้องดวงตาเป็นประกาย แทบจะกระโดดตามออกไป

บรรยากาศในลานดีขึ้นมาก เสียเวลาไปกับเรื่องหานกังไม่น้อย มองไปไกลๆ ก็เห็นพระอาทิตย์เริ่มค่อนไปทางตะวันตกแล้ว

นายกองธงใหญ่สี่คนจัดการครบแล้ว ตอนนี้ไม่มีคนมารายงานเพิ่ม แสดงให้เห็นว่าที่อื่นๆ ก็ลงทัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ไม่มีเหตุไม่คาดฝันอันใด ครั้งนี้ทุกคนนับว่าเสร็จงานผ่อนคลายได้แล้ว ทุกคนก็มีท่าทีสบายๆ ยามนี้เอง หวังทงหันไปทางคนนำทางของเก่อลี่ ถามว่า

“นายกองร้อยเหยียนพักที่ไหน ปฏิบัติหน้าที่ที่ใด เจ้ารู้หรือไม่?”

ในเมื่อเก่อลี่ส่งมานำทาง คนเช่นนี้ก็ย่อมคุ้นเคยถนนหนทางแถบนี้ ลังเลครู่หนึ่งก็ตอบว่า

“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยรู้ว่านายกองร้อยเหยียนพักที่ไหน”

หวังทงพยักหน้า หันไปกล่าวกับถานเจียงว่า

“ถานเจียง เจ้านำคนสิบคนไปจับตัวเจ้าคนแซ่เหยียนมา กุข่าวทำลายการฝึกทหารใหม่ของข้า ยุยงให้ทหารแตกแยก นี่มีโทษหนัก วันนี้จะต้องลงโทษให้ครบทุกกระทง!!”

ถานเจียงเงียบไป ก่อนจะประสานมือรับคำสั่งพาคนออกไป ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าไปไกลแล้ว หวังทงก็โบกมือให้ทุกคนกล่าวว่า

“อย่ามัวแต่มาอัดแน่นกันอยู่ที่นี่ ออกไปได้แล้ว!”

ทุกคนรวมทั้งหานกังก็เดินออกจากบ้านมา หานกังยังดึงประตูปิด ถนนสายนี้นับว่าไม่เลว จะหาร้านน้ำชาสักร้านนั่งก็คงมี พวกหวังทงเข้าไป ก็โยนเงินลงบนโต๊ะ ให้พวกเขาเอาน้ำชาและขนมมา ทำงานมาถึงตอนนี้ แม้ว่าได้กินอาหารกลางวันไปแล้ว แต่ก็ยังหิวอยู่เล็กน้อย

ห้องครัวต้มหมี่แล้วยกมา ถานเจียงนำคนผู้หนึ่งกลับมา คนผู้นั้นสวมชุดนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรถูกมัดอยู่บนหลังม้า

พอมาถึงประตูหน้าร้านน้ำชา ก็นำตัวลงมา นายกองร้อยคุกเข่าตะโกนดัง

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร!!?”

ทุกคนในร้านน้ำชาท่าทางไร้ความรู้สึก หวังทงกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า

“เฆี่ยนแส้ 30 เอาให้หนัก!!”

หวังทงออกคำสั่ง ทหารข้างกายก็รีบเข้ามาจับกด เฆี่ยนหลังอย่างแรง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version