ตอนที่ 719 ถูกปล้น
กลางเขาเงียบสลัด ทุกคนหลับสนิท เสียงปืนไฟดังขึ้น มีไม่กี่คนสะดุ้งตกใจ แต่นกในภูเขาพากันส่งเสียงร้องดัง คนคุ้มกันรอบนอกตะโกนดังขึ้น ทุกคนพากันแตกตื่น
ยามนี้เจ้ากระสอบอ้วนไม่ได้สติหลุดเหมือนตอนดื่มสุรา ตอนลุกขึ้น มือคว้าดาบสั้น แต่ดาบสั้นนั้นร่วงลงพื้นทันที
ในค่ายพักเขาพวกเขา มีชายถือขวานสิบกว่าคนกำลังคุมตัวคนคุ้มครองและคนรถของเจ้ากระสอบอ้วนไว้ กองไฟยังไม่ดับ แสงไฟส่องให้เห็นว่าที่แท้เป็นพวกคุ้มกันและคนงานขบวนพ่อค้าที่มากับรถใหญ่สิบคันนั่น
กลางวันคนพวกนี้นิสัยดียิ่ง คิดไม่ถึงว่าพอตกดึกอยู่ๆ ก็แข็งกร้าวเช่นนี้ แม้ว่าสิบกว่าคนนี้จะไม่เท่าไร แต่เจ้ากระสอบอ้วนก็ต้องกลืนคำด่าลงท้อง เพราะบนเขายังมีคนวิ่งลงมาสมทบอีก
สองข้างทางมืดสนิท เริ่มแรกมีแสงอยู่บ้าง แต่เหมือนเริ่มจุดไฟต่อกัน จากนั้นก็เป็นแสงวิบวับเต็มไปทั่ว คนมากประสบการณ์ย่อมรู้ว่าแสงเช่นนี้คือคบไฟ
เจ้ากระสอบอ้วนได้ยินเสียงคนคุ้มกันเริ่มสูดลมหายใจดังเฮือก แต่เขากลับไม่อาจสูดแม้แต่ลมหายใจ บนเขาอย่างน้อยราว 300 คน
“สหาย พวกเจ้ารู้ไหมว่านี่เป็นสินค้าผู้ใด?”
เห็นสิบกว่าคนในวงขบวนรถจับตามองตนเองอยู่ สีหน้านิ่ง เจ้ากระสอบอ้วนกล่าวอย่างโมโหหนักว่า
“นี่เป็นสินค้าส่งมอบแด่ท่านข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิง พวกเจ้าปล้นไป หรือว่ายังคิดว่าจะใช้ชีวิตบนทุ่งหญ้านอกด่านต่อไปได้? ผ้าแพรเครื่องเทศพวกเจ้าเอาไปได้ เรื่องนี้ข้าไม่เอาเรื่อง……”
กล่าวไม่ทันจบ ก็ดิ้นเสียงคนคุ้มกันรถคนหนึ่งส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น กลิ้งร่วงจากรถ มีคนด้านนอกตะโกนดังขึ้นว่า
“คนข้างในทำตัวดีๆ หน่อย อย่าได้คิดเล่นลูกไม้!!”
หัวหน้าผู้คุ้มกันรีบก้าวเข้าไปด้านหน้าคนที่ร่วงลงมา อาศัยแสงจากคบไฟ เจ้ากระสอบอ้วนเห็นลูกธนูปักอยู่ที่ไหล่ของคนผู้นั้น ค่ำคืนมืดนี้ถึงกับยิงแม่นเพียงนี้
ลูกธนูปักอยู่ที่ไหล่ของคนผู้นั้น คงเพราะเมื่อครู่คิดจะทำอะไรสักอย่าง ได้ยินด้านนอกส่งเสียงร้องดังเจ็บปวดมาอีก ก็ตะโกนเสียงดังไปว่า
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าคิดเล่นลูกไม้!!”
วาจานี้กล่าวออกไป ไม่ใช่ภาษาจีน แต่เป็นภาษามองโกล เจ้ากระสอบอ้วนนำขบวนมาบนทุ่งหญ้านอกด่านหลายครั้ง หัวหน้าคุ้มกันก็เช่นกัน สองคนเหมือนพูดขึ้นพร้อมกันทันทีอย่างไม่ได้นัดหมายว่า
“ไม่ใช่ชาวเผ่าแถวนี้”
สองคนเข้าประคองคนเจ็บถอยกลับมา ที่ไหล่มีธนูปักอยู่ สีหน้าหัวหน้าคุ้มกันแปรเปลี่ยน ตะโกนดังขึ้นว่า
“ทุกคนอย่างเคลื่อนไหว นิ่งไว้ นิ่งไว้ พี่น้องเราอย่างตื่นตระหนกไป พวกเรามีเรื่องอะไรคุยกันได้ ฆ่ากันตายไป วันหน้ายากประสาน”
วาจาครึ่งแรกกล่าวกับคนของตน หากครึ่งหลังกล่าวกับพวกชายหนุ่มที่อยู่ในวง ถึงตอนนี้ จึงมีค่อยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นว่า
“พวกเจ้าไม่ขยับ พวกเราก็ไม่สังหาร!”
เจ้ากระสอบอ้วนกับหัวหน้าคุ้มกันพอได้ยินเช่นนี้จะดีใจได้อย่างไร สีหน้าเริ่มดำคล้ำ หัวหน้าคุ้มกันขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นก็ให้ลูกน้อยยกไฟส่องสว่าง เขายกสองมือขึ้นยืนที่สูงตะโกนดังว่า
“ทุกท่านๆ การค้าตระกูลหวงเราอยู่แผ่นดินหมิง มีหน้ามีตาอยู่บ้างที่ข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิง การค้าเส้นนี้ก็มักไปมาประจำ ทุกท่านหากหวังเงินทอง ผ้าแพร เครื่องเทศ สุราพวกนี้เอาไปได้ แต่อย่าได้สังหารคน ไม่เช่นนั้น วันนี้สะใจ วันหน้ายังต้องพบกันอีก!!”
“มารดาเจ้าสิ พูดมาได้เป็นฉากๆ พวกเจ้าทุกคนทิ้งอาวุธแล้วเดินออกไป ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ยั้งมือ”
เจ้ากระสอบอ้วนโดดลงจากรถ เดินไปทางคบไฟ พอเห็นด้านหน้าสีหน้าก็เคร่งเครียดทันที พวกชายฉกรรจ์ที่ลงมาจากเขาหลายร้อย ล้วนมีดาบยาวทวนสั้น มีคนสะพายธนูมาด้วย แต่ละคนอยู่ในชุดสั้นหนังแพะ รองเท้าหนังวัว ใบหน้าทาสีดำเมี่ยม
เมื่อครู่ในใจยังรู้สึกมีทางรอด แต่พอได้ยินวาจาล่าสุดที่เต็มด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม ในใจเจ้ากระสอบอ้วนก็ไม่กล้าคิดเล่นลูกไม้อื่นอีก หัวหน้าผู้คุ้มกันก็ระบายอารมณ์อัดแน่นออกมาก่อนตะโกนขึ้นว่า
“ทุกคนอย่าลงมือ สู้ไม่ได้ตายเปล่า ชีวิตมีค่า ทิ้งอาวุธแล้วเดินออกไปซะ!!”
หัวหน้าผู้คุ้มกันเดินคอตกลงมา ผู้ช่วยข้างๆ เข้าไปกระซิบว่า
“พี่สี่ ให้พี่น้องเราแอบซ่อนชิ้นสั้นๆ สองสามอัน ดูว่าได้หรือไม่……”
กล่าวไม่ทันจบก็ถูกหัวหน้าผู้คุ้มกันตบหน้าไปหนึ่งฉาด หัวหน้าผู้คุ้มกันกระชากคอเสื้อมาอย่างแรงตวาดด่าว่า
“ด้านในสิบกว่า ด้านนอกหลายร้อย พอลงมือ ใครจะหนีได้ทัน บ้านเจ้าเพิ่งมีบุตรชายสามเดือน เจ้ามารอช้าอะไร รีบไสหัวออกไปเร็ว”
“……พวกเขาไว้ชีวิต……”
“หากต้องการสังหารทิ้ง คงไม่จำเป็นต้องรอสังหารตอนนี้ กลางวันลงมือ ก็สังหารได้เกลี้ยงเหมือนกัน กลับไปค่อยคิดหาทาง เมืองกุยฮว่าเฉิงไปเมืองต้าถง ไหนเลยจะมีที่ให้พวกเขาเหิมเกริมเช่นนี้ได้”
หัวหน้าคุ้มกันกล่าวเช่นนั้น พวกเจ้ากระสอบอ้วนก็พากันทิ้งอาวุธคอตก เริ่มเดินออกไป ขบวนพ่อค้าใหญ่สุดยังเช่นนี้ ที่เหลือก็ยังตกใจจนไม่อาจคุมสติได้ โดยเฉพาะยามได้รู้ว่าคนที่เดินทางมาด้วยกันสองวันหนึ่งคืนนี้เป็นโจรหลังม้า จึงกลัวกันถึงขีดสุด
แต่พวกโจรก็ไม่ได้ระวังอะไรพวกเขา มีขบวนพ่อค้าบางขบวนไม่มีคนคุ้มกัน สินค้าไม่คุ้มค่าที่จะจ้างคนคุ้มกัน แต่ตอนนี้ก็คิดได้เองว่ารอดชีวิตแล้ว มีขบวนพ่อค้าสองกลุ่มรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องนี้ทำให้พวกเขาตกใจจริงๆ
“ผ้าแพรไหม เครื่องเทศ ไม่เอาหมด ของพวกนี้อย่างไรก็ขายได้สองหมื่นตำลึงเลยนะ กลับไปนายจ้างคงไว้ชีวิตพวกเขาเนอะ?”
“……รักษาชีวิตไว้นั้นเป็นเรื่องสำคัญ!!”
ทางนั้นกำลังวิพากษ์วิจารณ์ก็ถูกสายตาโจรปลอมตัวมาถลึงตาใส่ จึงไม่กล้าส่งเสียงต่อ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเดินมาด้านหน้า ย่อมมีคนไปคุมพวกคนคุ้มกันแทน พอหัวหน้าผู้คุ้มกันเห็นโจรแบ่งงานกันทำ รู้จักหน้าที่ ก็ยิ่งไม่คิดจะต่อต้านอีก
วงในเปิดพื้นที่ว่าง พวกโจรเริ่มลากสัตว์เทียมรถมาเทียมรถ ในเมื่อไม่สังหาร ปล่อยตัวกลับไป ก็ต้องทิ้งรถไว้ให้สองสามคัน นำรถม้าไปมากก็ไม่สะดวก อย่างไรก็ต้องขับไล่พ่อค้าพวกนี้ไปก่อน
ผ้า เครื่องกระเบื้องเคลือบ ผ้าแพรไหมของชิ้นใหญ่ไม่อาจเอาไว้ ขนยาก น้ำหนักมาก แต่เครื่องประดับและเครื่องเทศมีราคาก็นำไปด้วย
พวกโจรคุมตัวผู้คุ้มกันอยู่รอบๆ พวกผู้คุ้มกันกำลังขนย้ายสินค้าท่าทีเหมือนมีแผน เหมือนว่ารถม้าไหนเอาไว้ รถม้าไหนให้โจรไป วางแผนไว้หมด
ชายฉกรรจ์ย่อตัวลงนั่งมองแสยะยิ้ม คว้าดาบออกมาชี้ไปที่รถม้าคันหนึ่ง กล่าวว่า
“รถม้าคันนี้ข้าเอาไปด้วย ขนของขึ้นไปคันนี้ให้หมด!”
เจ้ากระสอบอ้วนหัวไหว รีบยิ้มแห้งๆ เข้ามากล่าวว่า
“นายท่านท่านนี้ รถม้าคันนี้ล้อไม่ดี เคลื่อนได้ช้า ใช่ว่าทำให้นายท่านยุ่งยากหรือ เปลี่ยนอีกคันไหม!”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นยืนขึ้น แสยะยิ้มเดินไปยังหน้ารถม้า รถม้าบรรทุกสินค้าพอควรแล้ว ชายฉกรรจ์ผู้นั้นโดดขึ้นรถม้า ชักดาบยาวออกมาเคาะสองสามที อยู่ๆ ก็หยุด ใช้ดาบงัด สีหน้าเจ้ากระสอบอ้วนกับหัวหน้าผู้คุ้มกันแปรเปลี่ยน
หัวหน้าผู้คุ้มชะงักขึ้นหน้าด้วยสัญชาตญาณ หากคนคุมตัวเขาไว้ไม่ปล่อยให้ทำได้ ตวัดดาบมากันไว้ทันที ใช้ดาบจิ้มไปที่หน้าท้องอย่างแรง หัวหน้าคุ้มกันทนไม่ไหวได้แต่คุกเข่าลงกับพื้น
มีคนโยนเศษไม้แห้งเข้าไปเพิ่มเปลวไฟ เปลวไฟลุกโชน สว่างไม่น้อย ชายฉกรรจ์บนรถก้มลงคว้าของหนึ่งขึ้นมา ดูเหมือนเสื้อผ้า ก่อนจะโยนลงพื้นส่งเสียงดังเหมือนโลหะ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นยิ้มกล่าวว่า
“เครื่องประดับจะเท่าไรกัน เครื่องเทศจะเท่าไรกัน เกราะชั้นดีพวกเจ้า ขายไปได้ กำไรก้อนโตเชียวนะ!!”
พอค้นต่อไปสักพัก ก็โยนของบางอย่างออกไป เสียงดังตึงตัง ล้วนเป็นดาบยาวและทวนยาว เห็นของพวกนี้ถูกโยนออกมา เจ้ากระสอบอ้วนกับพวกหัวหน้าก็หมดหวังอย่างแท้จริง
ขบวนพ่อค้าที่เหลือพากันส่งเสียงอุทานเบาๆ อย่างตกใจ เมืองกุยฮว่าเฉิงเปิดโรงหลอมอาวุธ ก็ทำอาวุธได้ แต่อย่างไรก็ไม่ได้คุณภาพเท่าของแผ่นดินหมิง
เมืองกุยฮว่าเฉิงผลิตอาวุธเอง หรืออาจทำการค้ากับแผ่นดินหมิง ก็ล้วนต้องส่งมอบให้กับข่านเผ่าอันต๋าและเผ่าในเครือ คนอื่นไม่อาจได้ไป
แต่เผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่านสู้กันเอง หรือกับคนอื่น หรือป้องกันตนเอง อาวุธเป็นสิ่งจำเป็น เกราะและอาวุธชั้นดีขายไปที่นั่นได้ก็จะได้ราคาดี เรียกได้ว่ากำไรก้อนโตแท้จริง เพราะไม่เพียงแต่อาวุธแผ่นดินหมิงห้ามขายออกนอกด่าน แต่อาวุธเผ่าอันต๋าก็ห้ามขายให้คนนอกเผ่าเช่นกัน
ด้วยเหตุที่ไม่ให้ ดังนั้นราคาจึงเรียกได้ว่าสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงได้กำไรมากมายมหาศาล ชายฉกรรจ์ผู้นั้นยิ้มกล่าวว่า
“เกราะ 300 ดาบ 500 ยังมีลูกธนูอีก 4,000 หอกโล่ 200 ของพวกนี้ขายได้หกหมื่นตำลึง เอาเครื่องเทศเครื่องประดับมาพรางตาทำไมกัน คิดว่าพวกข้าถือศีลกินเจให้หลอกง่ายๆ หรือไง?”
เจ้ากระสอบอ้วนสีหน้าแปรเปลี่ยน อดไม่ได้กล่าวว่า
“นายท่านคนดี ท่านรู้ไหมว่าสินค้าเหล่านี้ส่งให้ผู้ใด เป็นผู้ใดต้องการ รู้หรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นใบหน้าไม่รู้ว่าเอาอะไรมาทาจนดำเช่นนั้น แต่ยามยิ้มฟันขาววับ ได้ยินเจ้ากระสอบอ้วนมีน้ำเสียงข่มขู่ก็แสยะยิ้มกล่าวว่า
“ข้าก็อยากรู้ เจ้ากล้าพูดออกมาไหมล่ะ?”
เจ้ากระสอบอ้วนขยับปาก หากไร้เสียง ชายฉกรรจ์บนหลังม้าผู้นั้นหัวเราะดังลั่น ทุกคนเงียบกริบ พวกโจรนี่เหมือนรู้ว่ารถไหนมีอาวุธ หลังจากตรวจสอบทีละคันเสร็จ ก็เอาของเบาๆ มีราคาโยนขึ้นรถใหญ่ ขนย้ายของเสร็จ ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว
สินค้าบนขบวนรถที่น้ำหนักเบาและมีราคาถูกขนไปหมด เห็นโจรจากไปอย่างลอยนวล ทุกคนก็มองหน้ากันไร้สำเนียง หัวหน้าผู้คุ้มกันกับเจ้ากระสอบอ้วนก็อึ้งไป นานกว่าที่หัวหน้าคุ้มกันจะกล่าวขึ้นเสียงเบายิ่งว่า
“กลับไปรายงานอย่างไร!?”
“รายงานตามจริง ชายแดนไม่สงบ รายงานทางการๆ !!!”