№ 593 สองผู้อาวุโสกลับจวน
วันต่อมา พวกเฟิ่งจิ่วนั่งเรือเหาะออกไปเช่นเดียวกับตอนมาโดยมีเหล่าคนตระกูลหลินไปส่ง การเดินทางมาแคว้นมหาสันติทำให้ผู้เฒ่าเกิ่งได้เปิดหูเปิดตา และยิ่งตั้งมั่นที่จะฝึกบำเพ็ญให้บรรลุขั้น
มองเรือเหาะพวกเขาจากไปจนกระทั่งหายลับเข้ากลีบเมฆแล้ว เหล่าคนตระกูลหลินถึงจะพูดคุยพลางหันกายเดินกลับไปด้านในจวน
“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านขอรับ” หลินเฉิงจื้อเก็บคำพูดมาสองวัน หลังจากเห็นพวกเฟิ่งจิ่วจากไป ในที่สุดก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่
หลินป๋อเหิงหันกลับไปมองเขา เอ่ยให้สัญญาณว่า “มาที่ห้องหนังสือ” พูดจบก็สาวก้าวเดินไปด้านใน
ภายในห้องหนังสือ หลินป๋อเหิงนั่งลงมองลูกชายที่ตามเข้ามา ถามว่า “ว่ามา! มีเรื่องอะไร?”
“เป็นเรื่องสินสอดพวกนั้นของท่านน้าขอรับ” หลินเฉิงจื้อนั่งลงตรงโต๊ะ “ยาร้อยขวดนั้น ข้าคิดว่าคงไม่ใช่อย่างที่พวกเราคิด”
“ยาร้อยขวด?” หลินป๋อเหิงมองลูกชาย “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร? ราชวงศ์เฟิ่งหวงเพิ่งก่อตั้งมาแค่ไม่นาน เดิมทีจวนตระกูลเฟิ่งแม้เป็นกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่ง แต่ในสถานที่อย่างแคว้นระดับเก้าจะมียาดีแบบไหนได้?”
หลินป๋อเหิงรินน้ำชาดื่มพลางกล่าว “แต่ยานี้จะดีหรือไม่ก็เป็นน้ำใจจากพวกเขา พวกเราจะรังเกียจไม่ได้ เรื่องนี้เจ้าอย่าพูดถึงอีกเลย”
ได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ว่าบิดาเข้าใจเจตนาในคำพูดเขาผิดไป จึงส่ายหน้าโดยพลัน เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อ ไม่ใช่แบบนั้น แต่ข้าคิดว่ายานั้นไม่ธรรมดา เกรงว่าจะเป็นยาล้ำค่าจริงๆ”
หลินป๋อเหิงที่ดื่มน้ำชาชายตามองเขา เอ่ยถามอย่างใจเย็นว่า “ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น?”
“ท่านพ่อลืมเรื่องที่ตรวจสอบตอนนั้นแล้วหรือ? เฟิ่งจิ่วหลานสาวท่านอาเฟิ่งคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา หนำซ้ำท่านอาเฟิ่งเพิ่งกลับไปนานแค่ไหนเอง นึกไม่ถึงว่าจะบรรลุระดับจักรพรรดินักรบแล้ว จากข้อนี้ก็พอรู้ได้ว่าต้องมียาช่วยแน่ๆ ประกอบกับพวกเขายังส่งยาร้อยขวดมาอีก จึงยิ่งพิสูจน์เรื่องนี้ได้”
“เจ้าหมายความว่าพวกเขามีนักปรุงยา?”
หลินเฉิงจื้อพยักหน้า “ขอรับ หนำซ้ำเดาว่าคงเป็นนักปรุงยาที่ระดับไม่ได้ด้อยด้วย ดังนั้นข้าจึงคิดว่ายาร้อยขวดนั้นไม่ธรรมดา”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว หลินป๋อเหิงครุ่นคิดสักพัก บอกว่า “พวกเราคลุกคลีกับเรื่องยาค่อนข้างน้อย หากอยากรู้จริง เดาว่ามีแต่ต้องนำไปให้สมาคมนักปรุงยาตรวจสอบเสียหน่อย” ขณะพูดก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านรายงานดังมาจากด้านนอก
“ท่านผู้นำตระกูล พวกท่านผู้เฒ่ากลับมาแล้วขอรับ”
สองคนพ่อลูกในห้องหนังสือได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ต่างตกใจ รีบลุกขึ้นเดินออกไป หลินป๋อเหิงถามว่า “อยู่ที่ใด?”
“ตอนนี้อยู่ในห้องโถงใหญ่ขอรับ” เพิ่งสิ้นเสียงพ่อบ้าน หลินป๋อเหิงกับหลินเฉิงจื้อก็ไปยังห้องโถงใหญ่แล้ว
เมื่อมาถึงนอกเรือน ยังไม่ทันเข้าห้องโถง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะครึกครื้นจากด้านใน พวกเขาสองคนสาวก้าวเดินเข้าไป เห็นสองคนที่นั่งตรงตำแหน่งอาวุโส หลินป๋อเหิงก็รีบคารวะด้วยความเคารพ
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
“เป็นเจ้าใหญ่กับเฉิงจื้อนี่เอง!” ฮูหยินเฒ่าที่นั่งตรงตำแหน่งอาวุโสดูแล้วอายุประมาณหกสิบกว่า หน้าตาอ่อนโยน มองลูกชายและหลานชายด้วยแววตามีรอยยิ้ม
“เฉิงจื้อคารวะท่านปู่ท่านย่าขอรับ” หลินเฉิงจื้อคุกเข่าคารวะด้วยความเคารพ พร้อมก้มคำนับให้ผู้อาวุโสทั้งสอง
“ดีๆๆ ลุกขึ้นๆ เฉิงจื้อ เข้ามาให้ย่าดูหน่อย ช่วงนี้เจ้าไม่ได้ฝึกบำเพ็ญใช่หรือไม่ ทำไมวรยุทธ์ถึงไม่พัฒนาอะไรเลย?”
ได้ยินดังนี้ หลินเฉิงจื้อผุดรอยยิ้มเจื่อนทันควัน “ท่านย่า ข้ายังฝึกบำเพ็ญอยู่ เพียงแค่วรยุทธ์ยิ่งถึงขั้นสุดท้ายยิ่งบรรลุขั้นยาก หลานก็พยายามแล้วขอรับ”
……………………………………….