№ 723 ไม่เชื่อใจหรือ?
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วแววตาสั่นไหวเล็กน้อย แล้วเผยรอยยิ้มออกมา “ช่วยน่ะช่วยได้ จะรักษาชีวิตเขาเดาว่าคงไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ฟื้นมาเป็นอย่างไรก็พูดได้ยาก รับประกันว่ารักษาได้ แต่ไม่รับประกันว่าจะหายดี”
“รักษาชีวิตไว้ได้ก็ดี ที่เหลือต้องดูวาสนาเขาแล้ว” เจ้าสำนักกล่าว ถามขณะมองเฟิ่งจิ่วว่า “จะช่วยอย่างไร? ต้องการของจำพวกยาทิพย์อะไรหรือไม่?”
“เรื่องนี้…”
หางเสียงเธอลากยาวเล็กน้อย มุมปากยกขึ้น มองเจ้าสำนักพลางบอกว่า “อยากจะช่วยเขาต้องล้างเลือดที่ไหลในสมอง ดังนั้นข้าต้องเปิดช่องบนศีรษะเขาเสียก่อน แล้วชำระล้างก้อนเลือดที่แข็งตัวและอุดตัน ยาทิพย์อะไรตอนนี้ยังไม่ใช้ แต่ข้าต้องการผู้ช่วยสองคน ท่านเจ้าสำนักเรียกหมอสองคนนั้นเข้ามาช่วยข้าอีกแรงแล้วกันขอรับ!”
แค่ได้ยินเช่นนี้ รองเจ้าสำนักไม่เพียงนิ่งงัน แม้แต่เจ้าสำนักเองยังอึ้งไปทันที ในดวงตามีความตะลึงจากความเหลือเชื่อ “เปิดช่องบนศีรษะเขา? ชะ เช่นนี้จะทำได้หรือ?”
เขาไม่เคยได้ยินว่าเปิดช่องตรงศีรษะได้ ส่วนศีรษะบอบบางและอันตรายถึงชีวิต จะเปิดช่องได้อย่างไร? นะ นี่คงไม่ใช่คำพูดไร้สาระกระมัง?
“เวลามีจำกัด ตอนนี้ให้หมอสองคนนั้นเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดเสียใหม่และล้างมือก่อนเข้ามา” เฟิ่งจิ่วไม่ได้สนใจสองคนที่นิ่งอึ้ง กล่าวกับอาจารย์หลี่ว์ข้างๆ ที่แทบจะตกใจตาค้างว่า “รบกวนสั่งคนยกพวกน้ำสะอาดเข้ามาด้วยขอรับ”
ทว่ากลับไม่มีคนตอบรับคำพูดเธอหรือขยับเขยื้อนสักนิด เธอจึงขมวดคิ้วมองเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักอย่างอดไม่ได้ “คนคนนี้จะช่วยหรือไม่ช่วย? ถ้าไม่ช่วยข้าจะไปแล้ว”
สามคนในห้องได้ยินก็พลันได้สติกลับมา ไม่รอให้เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักเอ่ยปาก ก็ได้ยินอาจารย์หลี่ว์เอ่ยถามอย่างยากจะยอมรับอยู่บ้างว่า “เปิดช่องบนศีรษะ? แล้วคนคนนี้ยังมีชีวิตได้ด้วยหรือ?”
เฟิ่งจิ่งได้ฟังแล้วเลิกคิ้ว “สงสัยในทักษะการแพทย์ข้าหรือ? ในเมื่อไม่เชื่อจะมาหาข้าทำไม?” เธอที่เดิมทีคิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าสีหน้าเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
แคลงใจในทักษะการแพทย์ สำหรับหมอแล้วนี่คือการดูถูก
เธอไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องช่วยคน ในเมื่อพวกเขาไม่เชื่อ เช่นนั้นจะอยู่ไปทำไม?
เห็นเฟิ่งจิ่วหันกายเดินออกไปด้วยสีหน้าเฉยชา เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักตั้งสติกลับมาได้ พอนึกถึงตัวตนภูตหมอของเขาแล้ว ทั้งสองใจสั่นสะท้าน รีบไล่ตามไป
“เฟิ่งจิ่ว พวกเราเชื่อเจ้า หากไม่เชื่อคงไม่เชิญเจ้ามาช่วยเขาหรอก”
รองเจ้าสำนักเข้าขวางเบื้องหน้าเฟิ่งจิ่ว ปั้นหน้ายิ้มเอ่ยว่า “เจ้าอย่าใส่ใจคำพูดอาจารย์หลี่ว์เลย พวกเราไม่ได้ไม่เชื่อเจ้า แค่ไม่เคยได้ยินวิธีรักษาเช่นนี้ ดังนั้นจึงตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง”
“จริงด้วยเฟิ่งจิ่ว เวลากระชั้นชิดแล้ว ขอเจ้ารักษาอาจารย์หลูไวหน่อยเถอะ!” เจ้าสำนักเอ่ยปากด้วย รู้สึกเสียใจกับความลังเลและสงสัยก่อนหน้านี้
พวกเขาไปขอร้องอีกฝ่ายมาช่วยรักษาอาจารย์หลู แต่มาถึงที่นี่ได้ยินคำพูดเขาแล้วกลับเกิดความเคลือบแคลงใจต่อเขา
อาจารย์หลี่ว์เห็นเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักเป็นเช่นนี้ ก็รู้ว่าตนเองพูดผิดไป จึงมาคำนับเบื้องหน้าเฟิ่งจิ่ว และเอ่ยอย่างขออภัย “ข้าแค่เป็นห่วงเหล่าหลู ไม่ได้มีเจตนาอื่น หากคำพูดข้าทำให้เจ้าโกรธ ข้าก็ต้องขออภัย ขออภัยด้วย”
เฟิ่งจิ่วแววตาวูบไหวเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าอาจารย์หลี่ว์บอกจะขอโทษก็ขอโทษเลย
รองเจ้าสำนักเห็นเฟิ่งจิ่วมองอาจารย์หลี่ว์โดยไม่พูดอะไร ก็นึกถึงตอนที่กวนสีหลิ่นใช้อาหารรสเลิศล่อเขาให้ตื่น ทันใดนั้นจึงกล่าวเลียนแบบ “เฟิ่งจิ่ว ขอแค่เจ้าออกหน้าช่วย ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร เจ้าอยู่ในสำนักศึกษา อาหารจากห้องครัวจะมีของเจ้าชุดหนึ่งไปตลอด”
…………………