№ 722 ช่วยได้หรือไม่?
“เฟิ่งจิ่ว” เจ้าสำนักมาเรียกด้านหน้าเขา
“ท่านเจ้าสำนัก นั่งกินด้วยกันไหมขอรับ?”
เธอเงยหน้ามองเจ้าสำนักตรงหน้า ในใจรู้สึกแปลกๆ ทำไมพวกเขาถึงใจดีเลี้ยงอาหารเธอมื้อใหญ่เช่นนี้? หากบอกว่าพี่ชายเอากลับมาจากห้องครัว เช่นนั้นก็ไม่น่ามีคนมากมายเพียงนี้มาล้อมเธอไว้ที่นี่ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“ไม่หรอก”
เขายิ้มๆ จากนั้นค่อยมีท่าทีจริงจัง เอ่ยว่า “อันที่จริงพวกเรามาหาเจ้า อยากจะเชิญเจ้าไปช่วยอาจารย์หลูเสียหน่อย ขอแค่เจ้ายอมช่วยเขา หากมีความต้องการหรือเงื่อนไขอะไรก็คุยกันได้ทั้งนั้น”
เฟิ่งจิ่วที่กินอาหารได้ยินคำพูดนี้ มือก็ชะงักไป “อาจารย์หลู? ล้มป่วยหรือ”
ระหว่างพูดคุยเธอยังยัดอาหารใส่ปาก ในหัวกำลังครุ่นคิดว่าที่แท้เป็นเพราะเรื่องนี้ แต่ทำไมพวกเขาถึงอยากมาหาเธอ? เพราะคำเตือนวันนั้นหรือ?
กวนสีหลิ่นหั่นเนื้อย่างให้นางพลางกล่าว “ใช่ ได้ยินว่าอาจารย์แซ่หลูคนนั้นล้มไประหว่างคาบเรียน พวกนักปรุงยากับหมอของสำนักศึกษาเข้าไปดูแล้ว อาการอันตรายมาก ซ้ำยังแจ้งว่าป่วยโรคร้ายแรง บอกว่าจะมีชีวิตอีกแค่ไม่กี่ชั่วยาม ตอนนี้คงเหลือเวลาแค่สองชั่วยามเท่านั้น”
เฟิ่งจิ่วกินน้ำแกงไก่ไปครึ่งค่อนชาม ดวงตาแวววาว ไม่พูดไม่จาทำแค่ฟังไป
กวนสีหลิ่นเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้เฟิ่งจิ่วฟัง สุดท้ายยังบอกว่า “ข้าเห็นพวกเจ้าสำนักรออยู่นอกอาศรมเกือบสองชั่วยาม จึงถือป้ายคำสั่งรองเจ้าสำนักไปนำอาหารจากห้องครัวมาให้เจ้า”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเข้าใจเสียส่วนใหญ่แล้ว
เธอวางชามในมือลง เช็ดๆ ปากพลางมองเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนัก “พูดเช่นนี้ ทั้งสองท่านก็รู้แล้วสิ?” เธอไม่ได้บอกว่าพวกเขารู้อะไร แต่รู้ว่าทั้งสองคนฟังคำพูดประโยคนี้เข้าใจ
“เจ้าวางใจเถอะ เรื่องอื่นพวกเราจะไม่เอ่ยถึง”
ต่อให้เขารักษาอาจารย์หลูเรียบร้อย ทุกคนจะรู้แค่ว่าเขารู้ทักษะการแพทย์ แต่ไม่คิดเชื่อมโยงเขากับภูตหมอเข้าด้วยกัน ถึงอย่างไรใครก็นึกไม่ถึงว่าภูตหมอจะวิ่งโร่มาที่สำนักศึกษาของพวกเขา
เพียงแต่ แม้ได้ยินว่าภูตหมอมีทักษะการแพทย์ฟื้นชีวิตคนใกล้ตายได้ ทว่าอาการอาจารย์หลูคนนั้นก็ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าเขาจะช่วยคนกลับมาได้หรือไม่?
“ข้าจะไปดูก่อนแล้วกัน!” เธอกล่าวจบก็ลุกขึ้นบอก “ต้องดูสักหน่อยว่าอาการเป็นอย่างไร ถึงจะรู้ว่าช่วยได้หรือไม่ เวลามีจำกัดจะรีรอไม่ได้” ระหว่างพูด เธอหยิบขนนกบินตรงเอวโยนขึ้นกลางอากาศ หลังจากขึ้นนั่งก็มุ่งหน้าไปยังห้องแนะแนวการสอน
เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักเห็นดังนั้นก็รีบตามไป
รอจนพวกเขาไปแล้ว เยี่ยจิงจึงมองกวนสีหลิ่นที่กำลังเก็บข้าวของ ถามว่า “เฟิ่งจิ่วมีวิธีช่วยจริงหรือ?”
“เสี่ยวจิ่วบอกแล้ว ต้องดูอาการก่อน” เขาแบ่งพวกเนื้อย่างให้เหล่าไป๋กับอสูรกลืนเมฆาที่ออกมาจากด้านในอาศรมรวมถึงหมีดำตัวใหญ่ตัวนั้น ส่วนน้ำแกงโสมไก่วิญญาณก็ยกเข้าอาศรมเฟิ่งจิ่วไป ว่าจะเก็บไว้ให้นางบำรุงร่างกาย
ทำทุกอย่างเสร็จก็สั่งสามสัตว์อสูรให้เฝ้าอาศรมไว้ ถึงจะตอบเยี่ยจิงว่า “จะไปดูหน่อยหรือไม่?”
“ไป” เยี่ยจิงพยักหน้า ร่วมทางไปกับเขา
ครั้นมาถึงห้องแนะแนว เฟิ่งจิ่วเดินเข้าไปด้านในท่ามกลางสายตาของอาจารย์หลี่ว์ที่จ้องมองอย่างขุ่นเคือง มาตรวจอาการอย่างละเอียดถึงหน้าเตียงที่อาจารย์หลูนอนอยู่
“หลอดเลือดสมองเสียหาย เลือดออกในสมอง สาหัสมากจริงๆ” เธอเอ่ยอย่างเฉยชา พลางเปิดคอเสื้อเขาเพื่อตรวจดูปัญหาตับในร่างกาย
รองเจ้าสำนักแค่ได้ยินว่าหลอดเลือดสมองเสียหายและเลือดออกในสมอง ม่านตาก็หดลงทันที ถามเสียงสั่นเครือว่า “ชะ เช่นนั้นจะช่วยได้หรือไม่?”
…………………………