Skip to content

เล่ห์ลีอา 1

 วันที่เริ่มเขียน 1 กุมภาพันธ์ 2550

เล่ห์ลีอา

Chapter 1 ลักพาตัว!

นาฬิกาเรือนใหญ่บนตึกสูงของมหานครนิวยอร์กบอกเวลาเที่ยงคืนเศษ

ณ หน้าร้านอาหารซีซ่าซึ่งเป็นร้านอาหารแบบอิตาเลียนอันมีชื่อเสียงโด่งดังของเมือง ผู้จัดการหนุ่มสุดหล่อของร้านผู้มีดวงตาสีน้ำทะเล ผมสีน้ำตาลสั้นยาวแค่ต้นคอ ผิวขาวสะอาด สูงหกฟุต กำลังยืนรอส่งแขกคนสุดท้ายในค่ำคืนนี้ขึ้นรถลีมูซีนคันหรูสีดำที่จอดรออยู่ด้านหน้าร้านชิดริมฟุตบาท

ภายในรถ พนักงานขับรถชายนั่งประจำที่คนขับ พร้อมด้วยชายร่างยักษ์รูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดันผิวเข้มแต่งกายด้วยกางเกงสเลคสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเน็คไทสีดำทับด้วยสูทสีดำบ่งบอกว่าเป็นบอดิการ์ดยืนรอเปิดประตูรถอยู่ด้านข้าง

ชายหนุ่มมาดคมเข้มหล่อชนิดนายแบบดังของโลกก็ยังทาบไม่ติด เขามีรูปร่างสูงหกฟุตครึ่ง ใบหน้าคมคร้าม ผิวสีแทนคมเข้ม ดวงตาดำใหญ่ยาวรีดุดันนิดๆ จมูกโด่งเป็นสันสวยปลายงุ้มเล็กน้อยเหมือนปากเหยี่ยว ริมฝีปากรูปกระจับรับกับใบหน้า ผมดำยาวจรดกลางหลังรวบไว้ด้วยห่วงทองคำ สวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินซีดเผยให้เห็นช่วงขาใหญ่แข็งแรง กับเสื้อโปโลสีขาวเน้นให้เห็นกล้ามอกเป็นลอนสวยบ่งบอกถึงการออกกำลังกายเป็นประจำ ด้านหลังชายหนุ่มมีบอดิการ์ดอีกสองคนยืนประกบชายหนุ่มไว้ สอดส่ายสายตาเพื่อระวังภัยให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายซึ่งกำลังจะเดินขึ้นรถลีมูซีนคันใหญ่ที่จอดรออยู่ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังก้าวเข้าไปในรถ

ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!…

เสียงร้องเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังก้องลอยมากระทบโสตประสาทเมื่อพวกเขาหันไปมองที่มาของเสียง ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างผอมบาง สูงประมาณห้าฟุตครึ่ง ผมสีอ่อนยาวเป็นลอนสวยเลยช่วงเอวลงมา ปอยผมยาวปรกหน้าทำให้ไม่เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้น เธอเดินมาตามทางเท้าด้วยท่าทางเร่งรีบ แสงไฟจากหลอดนีออนบนเสาไฟข้างทางส่องให้เห็นชุดที่หญิงสาวสวมใส่เป็นเดรสสั้นเกาะอกสีลาเวนเดอร์พลิ้วไหวแนบเรือนร่างยาวเหนือเข่าเล็กน้อย เผยให้เห็นช่วงขาเรียวยาวบนรองเท้าส้นสูงที่ส่งเสียงก้องตามจังหวะก้าวเดิน ในมือถือกระเป๋าใบเล็กใบหนึ่ง

ชายหนุ่มมองตามจังหวะก้าวเดินของหญิงสาวนางนั้นที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เหล่าบอดิการ์ดของชายหนุ่มต่างจับตามองหญิงสาวคนนั้นอย่างระแวดระวังพร้อมกับมองไปรอบๆ บริเวณคอยระวังภัยตามหลักสูตรที่ได้รับการฝึกฝนมา

จนกระทั่งหญิงสาวนางนั้นถูกชนเกือบจะล้มลงกับพื้น เสียงหวานใสร้องอุทานด้วยความเจ็บปนตกใจ “อุ๊บบบบบ!!!!!”

ประสานกับเสียงของหญิงชราร่างใหญ่ “โอ้ยยยยย!!!!!”

หญิงชราร่างใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าปอนลักษณะคล้ายคนจรไร้บ้านซึ่งมีเกลื่อนมหานครนิวยอร์ก เดินพรวดพราดโผล่ออกมาจากซอยด้านข้างของร้านอาหารอย่างกะทันหันตัดหน้าหญิงสาวที่กำลังเดินผ่าน หญิงชราล้มลงบนพื้น ตุบ!

หญิงสาวเซถลานิดหน่อยแต่ยังทรงตัวไว้ได้ เมื่อเห็นหญิงชราถูกชนล้มลงไปกองอยู่บนพื้น เธอจึงทรุดตัวลงข้างๆ หญิงชราเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เสียงหวานใสไถ่ถามหญิงชรารัวเร็วเป็นชุด “ขอโทษค่ะคุณป้า เจ็บตรงไหนบ้างคะ? ลุกไหวไหมคะ?”

“ป้าไม่เป็นไรมากหรอกจ้ะหนู เอ้อ…หนูช่วยพยุงป้าลุกขึ้นหน่อยนะ ป้าลุกเองไม่ค่อยไหวจ้ะ” หญิงชราตอบพร้อมกับยึดแขนของหญิงสาวพยุงตัวลุกจากพื้น พร้อมกับอาศัยจังหวะที่หญิงสาวช่วยพยุงตัวเองยืนขึ้นล้วงสเปรย์ที่ซุกซ่อนเอาไว้ในมือฉีดใส่ใบหน้าของหญิงสาว ฟู่!

“อุ้ย! อะไรกันเนี่…” หญิงสาวอุทานไม่ทันจบประโยคก็หมดสติทันที

“ฮู่!” หญิงชรารับร่างของหญิงสาวที่หมดสติด้วยด้วยฤทธิ์สเปร์ยยาสลบกำลังจะล้มลง เธอโอบประคองหญิงสาวร่างบางไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้กับพรรคพวกที่รอคอยอยู่

ลึกเข้าไปในซอยเปลี่ยวไร้ผู้คนด้านข้างร้านอาหารอิตาเลียนซอยเดียวกับที่หญิงชราเดินออกมา ชายกลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าปิดมิดชิด ปกปิดใบหน้าด้วยหมวกไหมพรมสีดำ เห็นเพียงดวงตา นั่งรออยู่ในรถตู้สีดำติดฟิล์มทึบ จอดติดเครื่องยนต์อยู่อย่างเงียบๆ

เมื่อเห็นหญิงชราฉีดสเปรย์ใส่หญิงสาว ก็รีบเคลื่อนรถตู้มาจอดเทียบข้างหญิงชราและหญิงสาวทันที

ชายหนุ่มรูปหล่อหน้าร้านอาหารอิตาเลียนเห็นเหตุการณ์ลักพาตัวเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา จึงสั่งบอดิการ์ดสั้นๆ “ช่วยผู้หญิงคนนั้นเร็ว!”

“แต่ว่าฝ่า…” บอดิการ์ดผู้มีอาวุโสมากที่สุดเอ่ยแย้งด้วยกลัวว่าจะเป็นแผนร้ายจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างๆ ที่หมายจ้องจะสังหารเจ้านายของเขา แต่เมื่อเจอสายตาดุดันพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจของผู้เป็นนาย บอดิการ์ดนายนั้นจึงหุบปากทันทีพร้อมกับทำตามความประสงค์ของผู้เป็นนายโดยไม่รอช้า แต่ก็ยังช้ากว่าผู้เป็นนายที่ชักปืนออกจากซองข้างเอวยิงใส่กลุ่มโจรลักพาตัว “ปุ! ปุ! ปุ!”

“เฮ้ยยยยย!!!!!” กลุ่มโจรร้ายร้องอุทานด้วยความตกใจ พร้อมกับหันไปมองที่มาของกระสุนสามนัดที่ฝังลงไปบนประตูรถ เฉียดชายสองคนที่กระโดดลงจากรถเพื่อรับตัวหญิงสาวในอ้อมแขนของหญิงชรา ทำให้พวกนั้นชะงักทันควัน

เมื่อเห็นว่ากระสุนปืนมาจากชายกลุ่มหนึ่งที่หลบอยู่ด้านข้างของรถลีมูซีนคันใหญ่จอดอยู่หน้าร้านอาหารอิตาเลียน และอีกหลายกระบอกกำลังเล็งมาทางพวกตน แถมปากกระบอกปืนแต่ละกระบอกยังสวมที่เก็บเสียงไว้อีกด้วย

เมื่อถูกขัดขวาง พวกนั้นจึงตะโกนสั่งหญิงชราเป็นภาษาอาราบิคว่า “ทิ้งผู้หญิงไว้! รีบไปเร็ว!”

“ไม่ได้! ต้องพาเธอไปให้ได้” หญิงชราค้านเสียงแข็งด้วยภาษาเดียวกัน

“พาไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร พวกมันมีอาวุธอยู่ในที่กำบัง เราเสียเปรียบนะ!” เสียงเดิมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

ทำให้หญิงชราละล้าละลังเพราะต้องการพาจะหญิงสาวไปด้วยให้ได้ หนึ่งในกลุ่มโจรคนหนึ่งจึงผลักหญิงสาวในอ้อมแขนของหญิงชราลงบนพื้นแล้วคว้าแขนหญิงชราฉุดขึ้นรถหนีไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อกลุ่มโจรลักพาตัวจากไปโดยทิ้งหญิงสาวเอาไว้ ชายหนุ่มเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงยืนขึ้นแล้วเก็บปืนใส่ซองข้างเอวเอาไว้ดังเดิมพร้อมกับมองไปทางหญิงสาวที่ถูกทิ้งไว้

“ซาอิดไปพาเธอมาซิ มาลิกนายรีบไปสำรวจดูยังมีพวกมันอยู่อีกรึเปล่า” เสียงห้าวกังวานของชายหนุ่มตะโกนสั่งบอดิการ์ดของตน แล้วหันไปบอกกับผู้จัดการหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยกัน ซึ่งแอบอยู่หลังเสาข้างประตูร้าน “มิทซ์โผล่หัวออกมาได้แล้ว  พวกมันไปกันหมดแล้ว”

มิทซ์ผู้จัดการร้านอาหารซีซ่า ตั้งแต่เห็นชายหนุ่มชักปืนยิงใส่เหล่าโจรลักพาตัวก็กระโจนเข้าไปแอบหลังเสาข้างประตูร้านพร้อมกับลูกจ้างของร้านที่ยืนรอส่งชายหนุ่มขึ้นรถอยู่หน้าร้านด้วยกันอย่างว่องไวยิ่งกว่าลิง

ส่วนลูกน้องในร้านไม่ต้องสั่งความกันมากเพียงแค่เห็นผู้จัดการหนุ่มรีบหลบหลังเสาเท่านั้นแหละ พวกเขาก็รีบหลบทันทีเพราะร้านซีซ่ามีแขก VIP มาใช้บริการเป็นประจำ เหตุลอบฆ่าลอบสังหารจึงมีให้พวกเขาได้ตื่นเต้นเสมอ

ผู้จัดการสุดหล่อค่อยๆ โผล่หน้าออกมามองเมื่อได้ยินเสียงรถวิ่งออกไป เมื่อเห็นเหตุการณ์สงบแล้วจึงค่อยๆ เดินมาสมทบกับชายหนุ่ม

“โอ้! ขอบคุณพระเจ้า ผมนึกว่าจะได้ไปหาท่านเร็วๆ ซะแล้ว ขอบคุณที่ยังไม่อยากเห็นหน้าตาอันหล่อเหลาบาดใจนางฟ้าของผม โอ้! ขอบพระคุณท่านมากครับ” เสียงห้าวอารมณ์ดีที่เอ่ยขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าของผู้จัดการหนุ่มทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ หัวเราะไปตามๆ กัน

“มิทซ์แต่ถ้านายยังไม่หุบปาก ฉันจะส่งนายไปเฝ้าพระเจ้าเร็วๆ” ชายหนุ่มบอกเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้ในความอารมณ์ดีเกินใครของผู้จัดการหนุ่มปากมาก

“หึ!” มิทซ์จึงส่งค้อนให้ชายหนุ่มไปหลายๆ ที พร้อมกับเอ่ยถามชายหนุ่มอย่างจริงจัง “อิสมินพวกมันเป็นใครกันน่ะ? แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? มาเดินอยู่ข้างถนนคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ ทำไม? พวกมันเป็นศัตรูของนายรึเปล่า?”

คำถามเป็นชุดจากปากของผู้จัดการหนุ่มทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอิสมินเกิดความเบื่อหน่ายในความปากมากของผู้จัดการหนุ่มอีกรอบ “เฮอะ!”

ซาอิดเดินไปอุ้มหญิงสาวจากพื้นฟุตบาทพาเข้าไปด้านในของร้านอาหาร

มิทซ์จึงรีบเดินตามไปสั่งการกับพนักงานในร้านทันที ชี้นิ้วไปที่โซฟารับแขกชุดใหญ่ที่มีโต๊ะกระจกวางขวางอยู่ “เอ้า! เอาโต๊ะออกเร็ว  อย่ามัวยืนทื่อกันอยู่ซิ ซาอิดนายพาผู้หญิงคนนั้นมาไว้ที่โซฟาก่อน ส่วนนายโทรเรียกตำรวจที อย่ามัวชักช้า ว่องไวกันหน่อยซิ”

มิทซ์บอกกับบอดิการ์ดร่างยักษ์ที่อุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนเรียกอย่างคุ้นเคยก่อนจะหันไปสั่งกับพนักงานอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้กับโทรศัพท์ แต่ยังไม่ทันที่พนักงานคนนั้นจะโทรศัพท์ตามคำสั่งของผู้จัดการ ชายหนุ่มที่เดินตามบอดิการ์ดของตนเข้ามาก็ขัดขึ้นก่อน “ไม่ต้องโทรหรอก โทรไปก็เสียเวลา แล้วถ้าข่าวรั่วไปถึงหูพวกนักข่าว คงละเลงข่าวกันใหญ่โต จะทำให้เสียชื่อร้านซะเปล่าๆ”

“งั้นก็ได้” ผู้จัดการหนุ่มจึงพยักหน้ารับคำสั่งของชายหนุ่ม แล้วจึงหันไปสั่งพนักงานทันที “ไม่ต้องโทรแล้ว ไปหยิบมาตินนี่มาแล้วกัน  อ้อ! แล้วบอกทุกคนด้วยว่าให้ปิดปากให้สนิทล่ะ ถ้าฉันรู้ว่าเรื่องในคืนนี้รั่วไหลไปถึงหูคนนอกจากใครล่ะก็…คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ”

สั่งเสร็จแล้วก็เดินมายืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มซึ่งยืนดูบอดิการ์ดของตนกำลังวางหญิงสาวลงบนโซฟายาว ปากก็บ่นพึมพำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หยุด “ให้ตายเถอะ……….”

ซาอิดวางหญิงสาวลงบนโซฟา เมื่อเจ้านายของตนโบกมือให้ถอยห่างออกไปเพื่อจะได้เห็นหญิงสาวชัดตา เขาก็รีบถอยห่างออกมาทันที

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆ หญิงสาวพร้อมกับรับสูทตัวยาวที่ผู้จัดการหนุ่มยื่นให้คลุมร่างหญิงสาวเอาไว้กันประเจิดประเจ้อ แล้วเอื้อมมือไปปัดปอยผมสีบรอนซ์ที่ปรกหน้าของหญิงสาวออก เผยให้เห็นดวงหน้างดงามไร้เครื่องสำอางใดๆ แต่งแต้มเอาไว้  ชายหนุ่มถึงกับตะลึงในความงดงามของหญิงสาว

“โอ้! มิสมิยาโบวิทซ์นี่หว่า! เธอเป็นอะไรมากป่ะ? เธอจะตายรึเปล่าอิสมิน?” เสียงห้าวอุทานสูงปรี๊ดจากผู้จัดการหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทำให้ชายหนุ่มนามอิสมินหันไปมองอย่างรำคาญก่อนจะตอบ “จากที่เห็นเธอแค่สลบไปเท่านั้นเอง คงไม่เป็นอะไรมากหรอก อีกซักพักเธอก็ตื่นเองแหละ มิทซ์นายรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ?”  อิสมินถามพร้อมกับขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยความสงสัย

มิทซ์จึงรีบอธิบายทันที “เอ่อ…คือมิสมิยาโบวิทซ์เป็นแขกที่มากินข้าวกับองค์อัมมาน* พ่อของนาย ก่อนที่นายจะมาที่ร้านน่ะ นายไม่รู้จักเธอรึ?”

*(กษัตริย์อัมมาน อัลลา ซาลาฮาดีน พระประมุขผู้ปกครองประเทศเอจา ประเทศเล็กๆ ในตะวันออกกลางที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมัน)

คำอธิบายพร้อมคำถามจากเพื่อนรักทำให้คิ้วเข้มของเจ้าชายอิสมินซึ่งมีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าชายรัชทายาทของประเทศเอจาพระโอรสพระองค์เดียวของกษัตริย์อัมมานและราชินีชารีน่าขมวดยิ่งขึ้น พร้อมกับถามย้ำว่า “แขกของเสด็จพ่อ?”

สำหรับเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีน ผู้หวงพระบิดาดั่งจงอางหวงไข่ตั้งแต่ทรงสูญเสียพระมารดาราชินีชารีน่า อัลลา ซาลาฮาดีนไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อตอนพระองค์อายุเพียง 7 ปี การพบกันระหว่างพระบิดาของพระองค์เองกับหญิงสาวสวยงดงามที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ย่อมสร้างความสงสัยให้เจ้าชายอิสมินยิ่งนัก

“ใช่แล้วล่ะ อ้าว นี่นายไม่รู้รึว่าพ่อนายนัดกินข้าวกับผู้หญิงคนนี้น่ะ? ฉันเห็นพ่อนายสนิทสนมกับเธอมากๆ เลยนะ เป็นไปได้ยังไงกันที่นายไม่รู้จักเธอ?” มิทซ์รีบตอบแล้วถามทันทีเมื่อเห็นเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีน ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาโคลัมเบียทำท่าว่าไม่รู้จักหญิงสาวคนนี้

สายตาของเจ้าชายอิสมินจับจ้องหญิงสาวที่นอนสลบหลับใหลไม่ได้สติบนโซฟายาวอีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา แขกสาวสวยของพระบิดามีรูปร่างแบบบางผิวขาวผุดผ่องอมชมพูเนียนละเอียดอย่างไม่เคยต้องแสงแดด ผมบรอนซ์ยาวสลวยแผ่สยายเต็มหมอนอิงที่หนุนศีรษะเอาไว้ ใบหน้างดงามดั่งจิตกรฝีมือเอกของโลกปั่นแต่งยังไม่งดงามเท่า คิ้วโค้งดั่งคันศร ดวงตาหลับพริ้มละไม จมูกโด่งงดงาม ริมฝีปากบางสีแดงสดดั่งกลีบกุหลาบ แก้มแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดเป็นสีชมพูจางๆ ตามธรรมชาติ

เจ้าชายอิสมินมองหญิงสาวอย่างครุ่นคิดเพราะรู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาว แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยพบหญิงสาวคนนี้ที่ไหน ก็สาวงามขนาดนี้  ไม่มีทางที่พระองค์ผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศจะจดจำไม่ได้ ต่อให้พบกันเพียงครั้งเดียวก็ย่อมจำได้แม่นยำ

เขาหันไปสบตากับเพื่อนรักรักแล้วตอบด้วยสายตาดุๆ “ฉันรู้แต่ว่าเสด็จพ่อมีนัดดินเนอร์กับซีอีโอไฮเทคคอร์ป* แล้วฉันก็ไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้เลย ไม่เคยเห็นเธอมาก่อนด้วย ถ้าฉันเคยพบกับเธอฉันต้องจำได้ซิ เสด็จพ่อไม่ได้นัดไว้กับซีอีโอของไฮเทคคอร์ปหรอกรึ? เพราะวันนี้ท่านมีนัดดินเนอร์กับซีอีโอของไฮเทคคอร์ปนะตามที่ฉันได้ยินมาน่ะ มิทซ์นายเล่ามาให้ละเอียดนะ เอาแต่เนื้อๆ นะ น้ำไม่ต้อง!”

*(ไฮเทคคอร์ปเป็นกลุ่มบริษัทคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดาวเทียมชั้นนำที่ล้ำสมัยที่สุดในขณะนี้)

มิทซ์สบตาดุๆ จึงรีบเล่าให้ฟังโดยเร็ว “คือพ่อนายมาที่ร้านตั้งแต่ก่อนหกโมงเย็น ขอใช้ห้องไดมอน* บอกว่ามีนัดกับมิสมิยาโบวิทซ์ตอนหกโมงเย็น สั่งให้ฉันเตรียมอาหารให้ แล้วพอซักหกโมงตรงมิสมิยาโบวิทซ์เธอก็มาที่ร้าน ขอพบกับพ่อนายตามนัด พอมิสมิยาโบวิทซ์เข้าไปพบพ่อนายแล้ว ท่าทางสนิทสนมกันมากเลยล่ะ ฉันกะพวกพนักงานคนอื่นๆ ก็ถูกระเห็จออกมานอกห้องจนทุ่มตรงถึงได้ให้ฉันยกอาหารเข้าไปได้ แล้วพอสองทุ่มพ่อนายรับประทานเสร็จแล้วมิสมิยาโบวิทซ์เธอก็กลับไป หลังจากมิสมิยาโบวิทซ์กลับไปแล้วนายก็มาถึงตอนสองทุ่มครึ่ง แล้วพ่อนายไม่ได้บอกรึว่าท่านนัดกับมิสมิยาโบวิทซ์น่ะ?”

*(ห้องอาหารส่วนตัวห้องหนึ่งในร้านอาหารซีซ่า แยกเป็นสัดส่วน ตกแต่งหรูหรา สำหรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัว)

คำบอกเล่าของเพื่อนรักทำให้เจ้าชายอิสมินยิ่งมีหน้าตางุนงงมากขึ้นไปอีก เขาถามเพื่อนรักปากมากอีกครั้ง “แล้วซีอีโอของไฮเทคคอร์ปล่ะไม่ได้มาที่นี่หรอกรึ?”

“ฉันไม่เห็นซีอีโอไฮเทคคอร์ปเลยนะ นอกจากมิสมิยาโบวิทซ์นี่แหละที่กินข้าวกับพ่อนายน่ะ แต่เรื่องอื่นเกี่ยวกับมิสมิยาโบวิทซ์ฉันไม่รู้หรอก เพิ่งจะได้พบเธอก็วันนี้แหละ ฉันก็เลยไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร? บ้านช่องห้องหออยู่ที่ไหน? ทำงานอะไร? แต่งงานหรือยัง? อันนี้ฉันว่าคงยังนะเพราะที่นิ้วนางของเธอยังว่างอยู่ แต่เธอไม่ใช่ซีอีโอของไฮเทคคอร์ปแน่ๆ  เพราะฉันรู้จักกับซีอีโอของไฮเทคคอร์ปน่ะซิ ซีอีโอของไฮเทคคอร์ปน่ะเป็นตาแก่เรื่องมากจู้จี้จุกจิก ขอแถมนิดนึงหัวล้านมันเลื่อมสะท้อนแสงอาทิตย์แสบตายิ่งกว่ากระจกซะอีก ชอบมากินข้าวที่ร้านฉันบ่อยๆ  เรื่องอื่นถ้านายอยากรู้ก็ไปถามพ่อนายเอาเองเถอะ” มิทซ์ตอบย้ำพร้อมอธิบายยืดยาว

“ซีอีโอไฮเทคคอร์ปฉันก็รู้จักโว้ย!  ฉันต้องถามพ่อชั้นแน่ๆ แต่ไม่ใช่คืนนี้ เพราะดึกดื่นป่านนี้เสด็จพ่อคงจะหลับไปแล้ว และอีกอย่างพรุ่งนี้เช้าเสด็จพ่อก็จะกลับเอจาตั้งแต่เช้า ก็คงต้องรอถามเอาวันหลังแหละ”  เจ้าชายอิสมินตอบเพื่อนรัก แล้วก็ครุ่นคิดเมื่อได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียดจากเพื่อนรัก นอกจากชื่อของหญิงสาวผู้เป็นแขกปริศนาของพระบิดาก็ไม่มีข้อมูลอื่นที่จะทำให้ทราบเกี่ยวกับเจ้าหล่อนเลย เขาจึงหันไปถามเหล่าองครักษ์ทันที “พวกนายพอจะรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”

ถามแล้วก็มองไล่เรียงเหล่าองครักษ์ทีละคน แต่ก็ไม่มีใครซักคนให้คำตอบได้

เหล่าองครักษ์ต่างก็มีสีหน้างุนงงไม่แพ้กันก่อนจะตอบอย่างจนปัญญา “พวกเราไม่ทราบครับ”

แล้วสายตาของเจ้าชายหนุ่มก็สะดุดเข้ากับกระเป๋าถือใบเล็กดีไซน์เก๋ไก๋สีเดียวกับชุดของหญิงสาวในมือขององครักษ์นายหนึ่ง

“ราอูลเอากระเป๋ามาดูซิ”

เขาสั่งแล้วยื่นมือไปรับมาแล้วเปิดออกเทสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าใบเล็กลงบนโต๊ะใกล้ตัว ในกระเป๋าใบน้อยมีเพียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กดีไซน์เรียบง่ายสีเงินแต่ราคาไม่เล็กหนึ่งเครื่อง เงินสดจำนวนหนึ่ง เครดิตการ์ดหนึ่งใบของธนาคารแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งมีชื่อเสียงมากทางด้านเป็นแหล่งเก็บทรัพย์สินของมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยทั้งหลายของโลก และก็เป็นหนึ่งในธนาคารที่ราชวงศ์อัลลา ซาลาฮาดีนแห่งเอจา ใช้บริการเป็นประจำ กับคีย์การ์ดโรงแรมแกรนด์เอจา*หนึ่งใบ

*(โรงแรมหรูห้าดาวหนึ่งในธุรกิจส่วนตัวของเจ้าชายอิสมิน อัลลา ซาลาฮาดีน)

มือใหญ่จับโทรศัพท์มือถือเครื่องน้อยพลิกไปมา แต่ไม่สามารถกดดูได้เพราะถูกเข้ารหัสไว้ จึงหยิบเครดิตการ์ดขึ้นมอง บนเครดิตการ์ดพิมพ์ชื่อเจ้าของบัตรเอาไว้ว่า ‘Ms. LeA Miyabovitz’ (LeA อ่านว่า ลีอา)

จึงส่งเครดิตการ์ดให้กับองครักษ์แล้วสั่งว่า “ซาอิดนายดูชื่อบนเครดิตการ์ดนี่แล้วหาประวัติของเธอมา ฉันอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร”

“ครับ” หัวหน้าองครักษ์ซาอิดรับเครดิตการ์ดจากเจ้าชายอิสมินมาดูพร้อมกับล้วงเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปเครดิตการ์ดใบนั้นแล้วจึงส่งคืนให้กับเจ้านาย เจ้าชายอิสมินรับเครดิตการ์ดคืนจากองครักษ์แล้ววางไว้ตามเดิม แล้วหยิบคีย์การ์ดโรงแรมแกรนด์เอจาขึ้นมอง

“เอ่อ…ฉันว่ามิสมิยาโบวิทซ์คงจะพักอยู่โรงแรมของนายมั้ง?”  เสียงมิทซ์แทรกขึ้นเมื่อเห็นคีย์การ์ดในมือของเพื่อนรัก

คิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมก็ค่อยๆ คลายออกพร้อมกับความคิดที่แล่นวาบขึ้นมาทันควัน  จึงหันไปสั่งมิทซ์และเหล่าองครักษ์อย่างรวดเร็ว “เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้อย่าให้รั่วไหลไปถึงหูคนนอกนะ เข้าใจใช่ไหม?”

“ครับ”

“ได้ตามที่นายต้องการเลยครับคุณเจ้าชาย”

เสียงประสานจากเหล่าองครักษ์และมิทซ์ขานรับคำสั่งทันที แล้วมิทซ์ก็หันไปกำชับพนักงานคนอื่นตามความประสงค์ของเพื่อนรักอย่างรวดเร็ว “พวกนายต้องรูดซิปปากให้ดีๆ ล่ะ”

เขาสั่งพลางทำท่ารูดซิปปากไม่พอ ยังทำท่านิ้วปาดคอขู่อีกด้วย ทำให้พวกพนักงานพากันพยักหน้าหงึกๆ “ครับๆ”

เจ้าชายอิสมินส่งสายตาดุๆ ให้เพื่อนรักก่อนจะเก็บสรรพสิ่งที่เทออกมาลงกระเป๋าใบน้อยตามเดิมแล้วส่งให้องครักษ์รับไป

เจ้าชายอิสมินมองหญิงสาวอีกครั้งแล้วช้อนร่างบางงดงามไว้ในอ้อมแขน อุ้มเธอขึ้นมาแล้วเดินไปยังลีมูซีนคันหรูอย่างรวดเร็วทำให้องครักษ์ที่ยืนอารักขาอยู่ใกล้ๆ ต้องวิ่งตามโดยเร็ว

“เฮ้ยยยยย!!!!!! แล้วนั่นนายจะทำอะไรน่ะ? นายจะพามิสมิยาโบวิทซ์ไปไหน?” มิทซ์รีบวิ่งตามมาถามอยู่ข้างรถ หน้าตาเลิ่กลั่กกับการกระทำของเพื่อนรัก

เจ้าชายอิสมินวางร่างบางงดงามของหญิงสาวบนเบาะที่นั่ง จัดท่านอนและเสื้อผ้าคลุมทับด้วยสูทที่ห่มให้เมื่อครู่ให้เรียบร้อยแล้วจึงก้าวเข้าไปนั่งในรถเคียงข้างหญิงสาวซึ่งยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นจากหลับใหลเลยซักนิด เขาหันไปตอบคำถามของเพื่อนรัก “ฉันจะพาเธอกลับไปโรงแรมกับฉันน่ะซิ  ก็ในเมื่อนายคิดว่าเธอพักที่นั่นอยู่แล้ว ฉันก็พาเธอไปด้วย นายจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาที่อยู่ของเธอแล้วพาเธอไปส่งยังไงล่ะ  ไม่ดีรึไง?”

มิทซ์จ้องหน้าเพื่อนรักแล้วถามเบาๆ หรี่ตามองเพื่อนรักอย่างไม่ไว้วางใจ เพราะความเป็นคาสโนว่าของเพื่อนรักติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ “พาเธอไปส่งแน่นะ? แล้วนายไม่ไปหาเอ?…ชื่ออะไรน้า?…คนล่าสุดของนายน่ะ? ฉันก็จำชื่อไม่ได้ด้วยซิ นัดกันไว้ไม่ใช่เหรอ?”

เจ้าชายอิสมินไม่ตอบคำถามของเพื่อนรักปากมากเพียงยักคิ้วให้แล้วเซย์กูดไนท์ “กูดไนท์มิทซ์ ยืมสูทของนายไปก่อนนะ พรุ่งนี้ฉันค่อยให้คนเอามาคืน เจอกันพรุ่งนี้นะ บ๊าย บาย”

“กูดไนท์อิสมิน แล้วคุยกับเธอดีๆ ล่ะ  เธอเป็นใครยังไม่รู้แต่ท่าทางพ่อนายจะให้เกียรติเธอมากนะ เดี๋ยวนายโดนพ่อยำเละแล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ” มิทซ์เซย์กูดไนท์ตอบพร้อมทั้งเตือนเพื่อนรักซึ่งมีท่าทีไม่ค่อยถูกชะตาหญิงสาวมากเพราะเจ้าหล่อนดันเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระบิดาของผู้เป็นเพื่อนรัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version