บทที่ 138 ไม่เข้าใจ
เดินคดเคี้ยววนไปมา หลานเยี่ยก็เดินตามหลานเฟิงมาถึงจวนแห่งหนึ่ง นั่นคือหอเย่ว์เยี่ย หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ถือโคมไฟ เหมือนกำลังส่องทางให้กับลูกที่กลับบ้าน
เพราะหลานเฟิงได้บอกสถานการณ์ของหลานเยี่ยให้หลานเม่ยรู้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นทั้งสองคนแม้จะเห็นหลานเยี่ยเดินวนไปมาอยู่รอบนอกม่านพลังตระกูลหลาน แต่ไม่ได้ออกไปรับเขา ให้เขาเข้ามาในเขาหลานวั่งคนเดียว หาทางกลับบ้านเพียงลำพัง
เมื่อเห็นหลานเม่ยที่อยู่หน้าประตู หลานเยี่ยยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร แม้เขาจะจำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ความรู้สึกที่คนผู้นี้มอบให้เขานั้นคุ้นเคยอย่างมาก
หลานเม่ยก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มให้หลานเยี่ยน้อยๆ จากนั้นก็ค้อมเอวลงเล็กน้อยแสดงถึงความเคารพ มอบโคมไฟให้หลานเฟิงจากนั้นก็เดินออกไป
หลานเฟิงถือโคมไฟ เปิดประตูใหญ่หอเย่ว์เยี่ย สิ่งที่เข้ามาปะทะใบหน้าคือกลิ่นหอมดอกไม้ คือกลิ่นสดชื่นของน้ำค้าง เมื่อเห็นดอกไม้ใบหญ้าเต็มสนามจู่ๆ ความรู้สึกที่เหมือนจะเข้าใจของหลานเยี่ยก็กลายเป็นสับสนวุ่นวาย
หลานเฟิงพาหลานเยี่ยเข้าไปข้างใน หลานเยี่ยมองเห็นภาพทิวทัศน์ภายในทั้งหมด นอกจากดอกไม้ ก็ยังคงเป็นดอกไม้ กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้คนลุ่มหลง
หลังจากเข้าไปก็เห็นว่าฝั่งซ้ายมีห้องอยู่สองสามห้อง หลานเฟิงพาเขาเข้าไปดูทีละห้อง เมื่อเปิดประตูห้องหนึ่งออก ภายในนั้นตกแต่งไปด้วยสีฟ้า
“นี่เป็นห้องนอนของเจ้า ในห้องข้าเป็นคนตกแต่ง เจ้าไม่เคยพูดอะไรมาก่อน เหมือนว่าไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้” ภายในห้องมีเสื้อผ้าสีฟ้าสองสามชุด ควรต้องพูดว่าเสื้อผ้าทั้งหมดล้วนเป็นสีฟ้า
และเสื้อผ้าบนตัวของหลานเยี่ยในตอนนี้เป็นสีเหลืองอ่อน
“เสื้อผ้าทั้งหมดของเจ้าล้วนเป็นข้าที่จัดเตรียม เป็นสีฟ้าทั้งสิ้น เพราะข้าคิดว่าสีฟ้านั้นเหมาะสมกับเจ้าที่สุด” หลานเยี่ยมองดูเสื้อผ้าบนร่างของตน ยิ้มแย้มไม่ได้พูดอะไร เสื้อผ้าที่มู่หลีเตรียมไว้ให้เขานั้นหนึ่งวันหนึ่งสี อาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาล้วนสวมใส่สีฟ้า แลดูซ้ำซากไปเสียหน่อย
พวกเขาเดินมาอีกห้องหนึ่ง ของภายในนั้นมีน้อยนิด นอกจากของที่จำเป็นแล้วก็ไม่มีอะไรอีก
“นี่คือห้องของข้า อยู่ข้างห้องเจ้า เพราะตอนแรกตกดึกทุกคืนเจ้ามักฝันร้าย พลังกระแสวิญญาณวุ่นคลั่ง อยู่ข้างเจ้าก็ง่ายกับการดูแลเจ้ามากกว่า”
หลานเยี่ยมองเขาทีหนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
สุดท้ายพวกเขาก็เดินมาถึงห้องโถง หลานเยี่ยใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว ไม่มีทางอื่น หิวมาก แล้ว จึงทำได้แค่ถาม
“ดังนั้นเมื่อไรพวกเราจะได้กินข้าวหรือ”
พอได้ยินประโยคนี้หลานเฟิงก็หัวเราะออกมา หัวเราะแล้ว ทำให้หลานเยี่ยเห็นแล้วนิ่งค้าง เขาคิดว่าคนคนนี้หัวเราะไม่เป็นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าพอหัวเราะขึ้นมาแล้วดูดีไม่น้อย หลานเยี่ยคิดถึงใบหน้าของมู่หลีที่มักจะมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่เสมออีกครั้ง ครานี้คงจะโมโหจริงกระมัง เป็นตนเองแท้ๆ ที่ไม่ให้เขาออกห่างจากตนเอง แต่ตนเองกลับห่างจากเขามา
“เดี๋ยวนี้” โต๊ะด้านข้างมีกล่องอาหารอยู่กล่องหนึ่ง หลานเฟิงเปิดออกทีละชั้น ในนั้นมีอาหารหลากหลายประเภท นำออกมาวางไว้บนโต๊ะทีละจาน มีเพียงขนมอบสับปะรดเท่านั้นที่ไม่เห็น หลานเยี่ยมองกล่องอาหารที่แทบจะว่างเปล่าอย่างคาดหวัง สุดท้ายแล้วก็เห็นขนมอบสับปะรดที่อยู่ในใจมานานอยู่ชั้นล่างสุด แต่หลานเฟิงกลับไม่เอาออกมา
มองดูสีหน้าน้อยใจของหลานเยี่ย หลานเฟิงก็หัวเราะออกมาอย่างใจร้าย
“แต่ก่อนนี้เจ้าไม่ยอมกินข้าวดีๆ กินแค่ขนมอบสับปะรดเท่านั้น กินมานานขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นเจ้าเบื่อ ข้าไม่เคยเข้าใจเลยว่าแท้จริงแล้วอร่อยอะไรขนาดนั้น หลังจากที่เจ้าจากข้าไปแล้วข้าจึงลอง ก็อร่อยจริง มีรสชาติของความทรงจำแฝงอยู่”
“ครั้งนี้พวกเรากินข้าวก่อนดีหรือไม่ สำหรับทวนความทรงจำ พวกเราค่อยๆ เริ่มไปช้าๆ เจ้ายินยอมสร้างความทรงจำกับข้าอีกครั้งหรือไม่”
แต่หลานเยี่ยกลับเพียงนั่งมองขนมอบสับปะรดอย่างเต็มไปด้วยความหวัง ไม่ได้ฟังว่าเขาพูดอะไร
หลานเฟิงคิดว่าหลานเยี่ยที่เป็นเช่นนี้น่าจะมีความสุขกระมัง แต่ข้ายังคงไม่อาจควบคุมความเห็นแก่ตัวของตนเองได้
เพียงแค่อยากครอบครองเจ้าเท่านั้น