บทที่ 194 รู้สึกใหม่อีกครั้ง
ยังไม่ถึงเวลากลางวันหลานเยี่ยก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ตาทั้งสองข้างลืมขึ้นเห็นหลานเฟิงนอนลงอยู่ข้างตนเอง นอนหลับยังไม่มีทีท่าจะตื่น
ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจของหลานเยี่ยนั้นมีเสียงน้ำไหลตลอดเวลา เหมือนใบไม้แดง เหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ ยิ่งมองหลานเฟิงก็ยิ่งลึกล้ำขึ้น
หลานเฟิงขยับจับขนตาของหลานเฟิงเล็กน้อย ยาวมาก สวยงามมาก จากนั้นหลานเยี่ยก็ค่อยๆ ไล่นิ่วลงไปด้านล่าง ดวงตาก็สวย เหตุใดถึงได้เกิดมาน่ามองเช่นนี้ จากนั้นก็จมูก ดั้งโด่งตรง ลองจับบิดแล้วยังรู้สึกสบายด้วย
จากนั้นก็เป็นริมฝีปาก ริมฝีปากนุ่มมาก สบายมาก หลานเยี่ยจับพลัดจับผลูเอาริมฝีปากตนเองแนบลงไป ยังไม่ลืมแลบลิ้นเลียเล็กน้อย จากนั้นหลานเยี่ยก็เข้าใจว่าในใจรู้สึกอย่างไร
หลานเฟิงกำลังหลับสนิท ฝันไปอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว ในความฝันเขาและหลานเยี่ยขี่ม้าด้วยกันที่เขาหลานวั่ง จู่ๆ หลานเยี่ยก็หยุดลง หันมาจุมพิตดวงตาของตน จมูกของตน ตอนที่ยังไม่ทันถึงริมฝีปาก หลานเฟิงก็ตื่นขึ้นมาเสียก่อน
ตอนแรกยังรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อตื่นแล้วก็ต้องพบว่าหลานเยี่ยกำลังประกบอยู่บนริมฝีปากของตน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน จู่ๆ ดวงตาทั้งสองคู่ก็สบมองกัน หลานเยี่ยตกใจรีบลุกขึ้นมา คิดเคยคิดว่าหลานเฟิงกลับพลิกกดเขาเอาไว้ลงบนเตียง
สิ่งที่ทำให้หลานเฟิงตกใจมากที่สุดคือหลานเยี่ยไม่ขัดขืน แต่กลับยิ้มแย้มหัวเราะน้อยๆ มองเขา ผ่านไปครู่หนึ่ง หลานเฟิงรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ลูบแผ่นอกของตนเองดู เหมือนว่ามีอะไรบางอย่าง ความรู้สึกที่เงียบสงบอย่างมากลึกล้ำอย่างมาก
หลานเฟิงเลิกลูบแผ่นอกของตนเอง ผ่านไปไม่นานก็ต้องถลึงตาโตในทันใด
“เสี่ยวเยี่ย ข้า…” หลานเยี่ยดึงเขาลงมา กอดเขาไว้
“ข้าจำได้หมดแล้ว จำขึ้นมาได้หมดแล้ว อีกทั้งยังสามารถรับรู้ความรู้สึกของเจ้าจากมุกหลิววั่งได้แล้ว เหมือนน้ำพุใส เหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ ลึกล้ำอย่างมากสบายอย่างมาก หลานเฟิง จริงๆ แล้วเจ้ารักข้าถึงเพียงนี้”
หลานเฟิงเอนตัวนอนลงบนร่างหลานเยี่ย ถูกหลานเยี่ยกอดเอาไว้ ตื้นตันใจอย่างมาก เมื่อครู่สิ่งที่ส่งถ่ายมาจากหลานเยี่ยล้วนเป็นความรักที่ล้นเหลือ ความรักที่ทำให้เขายินดีบ้าคลั่ง ความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน
หลานเยี่ยสามารถสัมผัสได้ถึงอาการสั่นสะท้านของเขา ตบหลังเขาเบาๆ หลานเฟิงลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น จุมพิตเขาลงไป จุมพิตที่อ้อยอิ่งและสงบใจช่างสบายเช่นนี้เอง
เจียงหลิงเดินวนเวียนอยู่หน้าประตู จะเคาะประตูก็ไม่ใช่ ไม่เคาะก็ไม่ใช่ สุดท้ายจึงตัดสินใจเคาะประตู ครั้งที่หนึ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหว ครั้งที่สอง ไม่มีความเคลื่อนไหว ครั้งที่สามยัง ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
เจียงหลิงลนลานแล้ว คราวนี้จะทำเช่นไร เจียงหลิงร้อนใจ ข่าวทางจิ่วหลิวได้กระจายออกไปแล้วต้องรีบฉวยโอกาส
เจียงหลิงฮึดตัดสินใจ ตอนนี้เป็นช่วงกลางวันน่าจะไม่มีอะไรกระมัง อีกทั้งคำสั่งของท่านหัวหน้าแม่ทัพคือหากจิ่วหลิวมีข่าวให้บอกเขา เขาจำเป็นต้องเชื่อฟังทำตามคำสั่ง คิดอย่างถูกต้องมีเหตุผลเช่นนี้เจียงหลิงจึงผลักประตูเข้าไป
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ต้องยืนซื่อไป ทั้งสองคนกำลังจุมพิตกันอยู่บนเตียงอย่างดูดดื่ม เสื้อผ้าของหลานเยี่ยนั้นไหลลงมาถึงไหล่ พอเจียงหลิงเห็นแล้วก็รีบถอยออกจากห้องไป พลางปิดงับประตูลง
“ข้า ข้า ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ท่านหัวหน้าแม่ทัพ ทางด้านจิ่วหลิวส่งข่าวมาแล้วทางทิศตะวันออกของตระกูลเยี่ยถูกครอบครองแล้ว ข้าบอกท่านแล้ว ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้าขอตัวขอรับ” เจียงหลิงรีบหนีไปด้วยความร้อนรน
ตอนที่ประตูถูกปิดลงเสียงดังทำให้ทั้งสองคนได้สติ หลานเยี่ยตั้งสติได้รีบผลักหลานเฟิงออก ใส่เสื้อผ้าของตนให้ดีจากนั้นก็ได้ยินเสียงเจียงหลิงพูดจากด้านนอก
ฟังคำพูดของเจียงหลิงแล้ว หลานเฟิงหันหน้ามามองหลานเยี่ยทีหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา ใบหน้าของหลานเยี่ยแดงก่ำ
“หัวเราะอะไร เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น” หลานเยี่ยพูดออกมาด้วยความโกรธ
“โทษข้าทั้งนั้น แต่ไฟถูกจุดขึ้นมาแล้ว เอาลงไม่ได้จะทำเช่นไร” หลานเยี่ยเหลือบมองลงไปด้านล่างทีหนึ่ง รีบสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย วิ่งออกนอกห้องไป หลานเฟิงหัวเราะพลางมองตามเขา ไม่นานก็ออกไปเช่นเดียวกัน