Skip to content

A Will Eternal 1006

บทที่ 1006 เหตุและผล

บางทีเรื่องจริงอาจจะต่างไปจากสิ่งที่คิดอยู่บ้าง แต่ตอนที่ตู้หลิงเฟยเดินออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยิ้มขื่นก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะเข้าใจได้แล้ว

ในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ศึกครั้งที่เทียนจุนก่อกบฏ ทรยศต่อทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุย ราชวงศ์จักรพรรดิขุยที่พ่ายแพ้อย่างราบคาบไม่เพียงแต่สูญเสียแผ่นดินใหญ่ทงเทียนที่อยู่อาศัย ยังเสียเวทลับของราชวงศ์จักรพรรดิขุยอย่างบทอมตะของวิชาอมตะมิวางวายไปด้วย!

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ราชวงศ์จักรพรรดิขุยที่ไปตั้งรกรากอยู่ในแดนทุรกันดารจึงเหลือแค่บทมิวางวาย บางทีอาจเพื่อต่อต้านเทียนจุน หรือไม่ก็เพื่อความหวังอย่างใดอย่างหนึ่ง…

ภายใต้การยื่นมือเข้าแทรกแซงของคนเฝ้าสุสาน บทมิวางวายจึงไม่ใช่วิชาการฝึกตนที่มีเพียงสายเลือดของจักรพรรดิขุยเท่านั้นที่ถึงจะสามารถฝึกได้อีกต่อไป แต่ได้แพร่กระจายไปทั่วจนแม้แต่ในสำนักของแผ่นดินทงเทียนเองก็ยังมีบทมิวางวายฉบับไม่สมบูรณ์แบบอยู่ด้วย

ใช้วิธีการเช่นนี้มาทำให้บทมิวางวายไม่สาบสูญ ให้ทุกคนที่มาจากโลกทงเทียนสามารถฝึกเวทลับที่เคยเป็นของจักรพรรดิขุยได้ต่อไป

ส่วนเทียนจุนที่ได้บทอมตะมาก็ไม่ได้ขัดขวางเรื่องนี้ เพราะหลังจากที่เขาศึกษาบทอมตะแล้วก็พบว่าตนมิอาจฝึกได้ นั่นจึงทำให้เขาเกิดความคิดที่บ้าคลั่งอย่างหนึ่งขึ้นมา

เขาต้องการให้นักพรตที่ฝึกบทมิวางวายและบทอมตะมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น จากนั้นก็ให้พวกเขามาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อทำการหลอมยาอมตะมิวางวาย เมื่อกินยาเม็ดนี้เข้าไปก็จะทำให้เขาได้รับพลังอันเป็นรากฐานของวิชาอมตะมิวางวาย

เพื่อเรื่องนี้ เทียนจุนจึงทำการศึกษามาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นโครงกระดูกที่อยู่รอบตำหนักใต้ดินแห่งนี้ หรือโครงกระดูกของอดีตจักรพรรดิขุยทั้งสามโครงก็ล้วนเป็นส่วนที่เหลือทิ้งไว้หลังจากการศึกษาและทดลองของเขาทั้งสิ้น

เพียงแต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าบทอมตะจะฝึกได้ยากยิ่งกว่าบทมิวางวายเสียอีก เป็นเหตุให้หลายปีมานี้ที่แม้เทียนจุนจะบ่มเพาะคนที่ฝึกบทอมตะมานับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวกันหมด ไม่มีใครประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงแม้แต่คนเดียว ซ้ำร้ายคนส่วนใหญ่ยังฝึกได้แค่ผิวเผินด้วย

จนกระทั่งลูกศิษย์ใหญ่ของเขา…

บุรพาจารย์หันเหมินแห่งสายเหนือที่พอฝึกบทอมตะ นางกลับประสบความสำเร็จอย่างที่เขาคาดไม่ถึง นี่จึงทำให้ไฟแห่งความกระตือรือร้นของเทียนจุนถูกจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

และเวลานี้เอง ในฝั่งแดนทุรกันดารกลับมีบุคคลมากความสามารถผู้หนึ่งปรากฏตัว คนผู้นี้ถูกขนานนามว่าบรรพบุรุษโลหิต บางทีอาจเป็นเพราะคนผู้นี้มีพรสวรรค์สุดยอดเลิศล้ำ หรือไม่ก็เพราะเขามีสายเลือดของจักรพรรดิขุยอยู่ในกาย แต่สรุปก็คือเขาฝึกบทมิวางวายได้สำเร็จ ตบะฝ่าทะลุ กายเนื้อครึ่งเทพ!

บางทีหากไม่มีการปรากฏตัวของเทียนจุน หากเขาไม่ทรยศต่อราชวงศ์จักรพรรดิขุย ถ้าเช่นนั้นตอนที่บรรพบุรุษโลหิตฝึกบทมิวางวายได้สำเร็จ ด้วยพรสวรรค์ของเขาต้องสามารถฝึกบทอมตะต่อได้อย่างแน่นอน

และก็มีความเป็นไปได้ที่บรรพบุรุษโลหิตจะกลายมาเป็นผู้ที่ฝึกทั้งบทอมตะและบทมิวางวายได้สำเร็จ จากนั้นตบะก็ฝ่าทะลุเลื่อนสู่ขอบเขตของเทียนจุนอย่างแท้จริง!

กลายมาเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่จะเดินออกไปจากโลกใบนี้ตามความหมายที่แท้จริงอย่างที่คนเฝ้าสุสานเคยบอกเอาไว้!

และบุรพาจารย์หันเหมินกับบรรพบุรุษโลหิตท่านนี้ เดิมทีคนทั้งสองยืนอยู่คนละฝ่าย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงเกิดความรักต่อกัน เป็นเหตุให้สุดท้ายค้นพบแผนการของเทียนจุน เรื่องราวที่ตามมาหลังจากนั้น…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พอจะรู้จากปากของบุรพาจารย์หันเหมินมาบ้างแล้ว

บุรพาจารย์หันเหมินทรยศต่ออาจารย์ตัวเอง และถูกเทียนจุนฆ่าตายไปพร้อมกับบรรพบุรุษโลหิต!

บรรพบุรุษโลหิตตายดับ ร่างจมดิ่งสู่ก้นแม่น้ำทงเทียน มีเพียงมือข้างเดียวที่ยื่นออกมาอย่างไม่ยินยอม…บุรพาจารย์หันเหมินสิ้นชีพ ทิ้งวิญญาณแยกไว้หนึ่งดวงให้จำแลงมาเป็นเจินหลิงที่ซ่อนตัวอยู่ในสำนักธาราเทพ เพื่อหวังได้เห็นสำนักธาราโลหิตที่อยู่ไกลๆ …ได้เห็นคู่บำเพ็ญตนของนาง

ขณะเดียวกัน…เรื่องไม่คาดฝันครั้งนี้ก็ทำให้การผสานรวมหลอมยาครั้งแรกตามแผนการของเทียนจุนล้มเหลว

และเห็นได้ชัดว่าเทียนจุนไม่คิดจะล้มเลิกแผนการนี้ ในช่วงเวลาหลังจากนั้น ด้านหนึ่งเขาตามหาวิธีการอย่างอื่นที่จะทำให้เขาออกไปจากโลกใบนี้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ทดลองอย่างต่อเนื่องที่จะทำขั้นตอนสุดท้ายของแผนการหลอมยาอมตะมิวางวายให้สำเร็จ

หากยังไม่มีใครสามารถฝึกบทอมตะได้สำเร็จเป็นคนที่สอง บางทีแผนการนี้อาจจะค่อยๆ ถูกเทียนจุนทอดทิ้งไปในท้ายที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่าในขณะที่เทียนจุนยังไม่ล้มเลิกความคิดนี้ ตู้หลิงเฟยบุตรสาวของเขา…

กลับกลายมาเป็นคนที่สองที่ฝึกบทอมตะได้สำเร็จ!

และเมื่อกระดูกของตู้หลิงเฟยลายมาเป็นสีเหมือนผลึกใส ก็สามารถมองออกว่าการฝึกบทอมตะของตู้หลิงเฟย ไม่พูดว่าถึงระดับเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้ในบทมิวางวาย แต่ดูจากความเร็วของตบะนางที่เพิ่มขึ้นพรวดพราดแล้วก็แทบจะไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

เพราะอย่างไรซะ…เบื้องหลังของนางก็คือเทียนจุน ภายใต้การปลูกฝังจากเทียนจุน การฝึกตนของตู้หลิงเฟยย่อมต้องราบรื่นอย่างถึงที่สุด

แต่ขณะเดียวกัน สำหรับการที่ลูกสาวของตัวเองฝึกบทอมตะ ต่อให้เทียนจุนจะอำมหิตไร้ปราณีแค่ไหน แต่ในใจเขาก็ยังสั่นคลอน ด้านหนึ่งคือความปรารถนาที่จะได้ไปจากโลกใบนี้ อีกด้านหนึ่งคือต้องสละลูกสาวของตัวเอง การเลือกครั้งนี้…ทำให้เทียนจุนลังเลตัดสินใจไม่ได้

ดังนั้น…ถึงได้มีศึกไร้เทียมทานในแดนทุรกันดารครั้งนั้นเกิดขึ้น เขาร่วมมือกับเด็กหญิงหมายสังหารคนเฝ้าสุสาน ดังนั้น…ถึงได้มีเรื่องที่พยายามอาศัยเรือรบของมารดาแห่งผีหนีไปจากที่แห่งนี้

น่าเสียดายที่ทุกอย่างล้วนล้มเหลว

ตอนนั้นเทียนจุนบ้าคลั่งไปแล้ว เขาคอยพูดพึมพำประโยคเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา…

“ไอ้แก่คนเฝ้าสุสาน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเจ้าบีบบังคับข้า!!”

ในสายตาของเทียนจุน นี่เป็นเพราะคนเฝ้าสุสานบีบบังคับให้ตนจำต้องเลือกเดินทางเส้นสุดท้ายนี้ เขาไม่ยินยอม แต่เขากลับไม่มีทางเลือกมากนัก ดังนั้นถึงได้ตัดสินใจโจมตีแดนทุรกันดารเพื่อตัดสินชี้เป็นชี้ตาย

เขาเลือกที่จะทำลายทุกชีวิตในแดนทุรกันดาร เลือกที่จะสังหารคนเฝ้าสุสาน สลายแม่น้ำอเวจี ตัดขาดสายเลือดทั้งหมดของราชวงศ์จักรพรรดิขุย และเวลานี้เอง…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฝึกบทมิวางวายได้สำเร็จตามหลังจากบรรพบุรุษโลหิต!

เมื่ออยู่ต่อหน้าทางเลือกที่หากไม่เสียสละเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองก็ต้องจบสิ้นอายุขัยของตัวเอง ความบ้าคลั่งที่มาจากความปรารถนาในการไปจากโลกใบนี้ทำให้เทียนจุนเลือกข้อแรก…ดังนั้น อาศัยบทเรียนจากความล้มเหลวในอดีต ครั้งนี้เขาจึงใช้…ผนึกทาสควบคุมตู้หลิงเฟยโดยตรง!

จากนั้นเขาก็รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัว จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกบทมิวางวายได้สำเร็จจริงๆ เขาจึงยื่นมือออกไปจับตัวป๋ายเสี่ยวฉุนมาจากแดนทุรกันดารโดยที่ไม่มีใครสามารถขัดขวางได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยิ้มขื่นมองตู้หลิงเฟยที่เดินออกมาจากด้านหลังของเทียนจุน

ตู้หลิงเฟยในสายตาของเขาสีหน้าแข็งทื่อราวกับหุ่นไม้ตัวหนึ่ง ไม่มีความมีชีวิตชีวาใดๆ มีเพียงตราผนึกที่อยู่ในส่วนลึกของดวงตาเท่านั้นที่กะพริบวูบวาบถี่รัว แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด

“ตู้ตู้น้อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก เขาหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนอยู่แม่น้ำสายเหนือที่เทียนจุนหลอกใช้นางและตนมาล่อใบหน้าผี นึกถึงความผิดหวังและเศร้าเสียใจในดวงตาของตู้หลิงเฟยเมื่อครั้งนั้น

“อย่าได้โทษข้า…เดิมทีข้าเองก็ไม่อยากทำอย่างนี้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะคนเฝ้าสุสาน!!” เทียนจุนแหงนหน้าแผดเสียงหัวเราะดังลั่น ในเสียงหัวเราะนั้นแฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนคล้ายมีความเสียใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง แต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวรวมอยู่ด้วย ทว่าที่มากไปกว่านั้นคือความคลุ้มคลั่งรุนแรง

เทียนจุนเป็นบ้าไปแล้ว ความบ้าคลั่งที่ฉายออกมาในดวงตาของเขาตอนนี้คล้ายสามารถตลบทั้งฟ้าดินให้พลิกคว่ำ เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่เหลือความเยือกเย็นสุขุมเฉกเช่นในอดีต มีเพียงสีเลือดที่แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งในดวงตา ก่อนที่เขาจะยกมือขวาขึ้นทำมุทราชี้ไปทางตู้หลิงเฟย!

การชี้ครั้งนี้ทำให้ตู้หลิงเฟยตัวสั่นสะท้าน นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังคงทึ่มทื่อ ครั้นจึงเดินเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนช้าๆ ท่ามกลางความขมขื่นของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาเห็นตู้หลิงเฟยค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ จนกระทั่งก้าวเข้ามาในบ่อเลือดสีดำ เลือดสีดำเปรอะเปื้อนกระโปรงยาวสีขาวสะอาดของนาง

อักขระประหลาดพวกนั้นรีบพากันไต่ขึ้นมาตามกระโปรงที่กลายเป็นสีดำอย่างละโมบ พวกมันปีนไต่ไปทั่วร่างของตู้หลิงเฟยแล้วว่ายวนไม่หยุด ทำให้ตู้หลิงเฟยในเวลานี้ยิ่งมองดูแปลกพิลึกเข้าไปใหญ่

นางเดินไปอย่างนี้จนกระทั่งมาอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น…แล้วกดลงไปบนกระหม่อมของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง ระหว่างที่นางยกมือขึ้นมา จู่ๆ ทั่วร่างของนางก็มีแสงผลึกใสเจิดจ้าแผ่ประกาย…

ปราณของบทอมตะระเบิดพวยพุ่งขึ้นจากร่างของตู้หลิงเฟย

ขณะเดียวกัน เสียงหัวเราะของเทียนจุนก็ดังออกมาพร้อมๆ กับที่เขายกมือขวาขึ้นตบลงไปบนพื้นอย่างแรง ตำหนักใต้ดินสะเทือนไหว ค่ายกลรอบด้านเปล่งประกายแสงบาดตา ท่ามกลางแสงวูบวาบพวกนี้ โครงกระดูกที่ประกอบกันขึ้นเป็นค่ายกลเริ่มหลอมละลาย แม้แต่โครงกระดูกสามโครงที่เคยเป็นของอดีตจักรพรรดิขุยก็กำลังละลายอย่างต่อเนื่องไม่ต่างกัน…

เมื่อโครงกระดูกหลอมละลาย เมื่อค่ายกลเปล่งประกายเจิดจ้า บ่อน้ำสีดำที่อยู่ใจกลางค่ายกลก็พลันเดือดพล่านแล้วหมุนคว้างอย่างต่อเนื่อง อักขระมากกว่าเดิมผุดออกมาจากในบ่อแล้วพากันไหลบ่าเข้าหาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกับตู้หลิงเฟย!

มุดหายเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของคนทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นสะท้าน ทว่าในดวงตาของเขากลับฉายความเจ็บแค้นและเศร้าใจมากกว่า!

เขาเศร้าใจกับสิ่งที่ตู้หลิงเฟยต้องเผชิญ เขาเจ็บแค้นความใจดำของเทียนจุน!

“จะต้องตายแล้วหรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มขื่น

เขาพยายามร้องเรียกบุรพาจารย์หันเหมินอยู่ในใจอีกครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมาคล้ายถูกลั่นดาลปิดผนึก อักขระจำนวนมากที่ไหลกรากเข้ามาบนร่างของเขาแผ่แสงสีทองเจิดจ้าอย่างที่มิอาจควบคุมได้ พอแสงสีทองสว่างขึ้นมาก็ทำการขานรับกับแสงผลึกใสบนร่างของตู้หลิงเฟยทันที

หลังจากการขานรับเช่นนี้เปลี่ยนมาเป็นรุนแรงถึงขีดสุด ค่ายกลก็โคจรไปถึงจุดสูงสุด ครั้นจึงส่งแรงดึงดูดขุมหนึ่งที่ไร้คำบรรยายไปให้กับตู้หลิงเฟย!

แรงดึงดูดนี้พลันพุ่งทะลักทลายตามมือของตู้หลิงเฟยเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนในเสี้ยววินาที ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง มองตู้หลิงเฟยที่สีหน้าเฉยเมย ก่อนที่เขาจะค่อยๆ …หลับตาลง

ทว่าวินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ของเขาปิดเข้าหากัน ดวงตาของตู้หลิงเฟยกลับมีแสงแห่งการดิ้นรนรุนแรงเปล่งวาบขึ้นมา ร่างของนางสั่นเทา มือขวาที่สั่นระริกของนางคล้ายต้องการยกขึ้น ดูเหมือนว่าต่อให้จะโดนผนึกทาส แต่สัญชาตญาณของนางก็ไม่ต้องการทำร้ายป๋ายเสี่ยวฉุน!!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version