บทที่ 103 ข้าต้องการสร้างคุณความดีเพื่อสำนัก!
ในเทือกเขารกร้างแห่งนี้ ลูกศิษย์จากสำนักธาราเทพมีไม่เยอะ แค่ประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น เพราะยังไงซะสำหรับลูกศิษย์ฝ่ายในแล้วแม้ว่าที่นี่จะมีสัตว์ร้ายขั้นสร้างฐานรากอยู่น้อยมาก แต่ก็มีอันตรายที่แน่นอนอยู่
ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงผู้ที่คิดว่าตนเองแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมาที่นี่
ภายใต้การตะโกนบอกอย่างถี่ยิบของป๋ายเสี่ยวฉุน ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนได้ยินเสียงของเขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ได้ยินคำเกลี้ยกล่อมของป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนจากไปพร้อมของขวัญแทนคำขอบคุณที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้ แต่ก็ยังมีสองสามคนที่นิสัยยโสเย็นชา สีหน้าเหยียดหยาม แฝงไว้ด้วยความดูหมิ่น คิดว่าเป็นเสียงขอความช่วยเหลือ จึงไม่สนใจเสียงร้องเรียกของป๋ายเสี่ยวฉุน แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ถึงขั้นที่ในใจมีความคิดจะรอให้คนที่เรียกดับสิ้นไปก่อนแล้วค่อยไปเอาถุงเก็บของของอีกฝ่ายมาด้วยซ้ำ
พวกเขายังคงเดินทางไปมาอยู่ในนี้เพียงลำพัง แรกเริ่มพวกเขายังไม่รู้สึกถึงอะไร แต่ไม่นานก็พบว่าสัตว์ร้ายของที่นี่มีอาการผิดปกติ แต่ละตัวแม้แต่นิสัยก็ยังเปลี่ยนไป กลายเป็นคลุ้มคลั่งงุ่นง่าน
ซ่างกวานเทียนโย่วก็อยู่ในเทือกเขารกร้างนี้ ได้ยินเสียงเรียกของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน แต่ก็แค่ดวงตาเปล่งประกายวาบ ไม่ได้ให้ความสนใจ ภารกิจที่เขารับมาเหมือนของป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นคือตามหาสัตว์กาฝาก เวลานี้เขาตกตะลึงอย่างมาก เขาเห็นกับตาตัวเองว่าหมียักษ์ตบะเทียบเคียงกับพลังรวมลมปราณขั้นหกตัวหนึ่งกอดต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้น แล้วกระแทกกระทั้นกายเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง…
ภาพเช่นนี้เขาไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก ระหว่างทางเขายังเห็นกระต่ายตัวหนึ่งที่กล้าเข้ามาโจมตีตนเอง ความบ้าคลั่งในดวงตาเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย ขณะเดียวกันก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบ
“ทะแม่งแฮะ หรือว่าเทือกเขารกร้างนี้จะเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้น!!” ซ่างกวานเทียนโย่วสูดหายใจเฮือก เขานึกถึงยากระสันซ่านของป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาทันที ใจหายแวบ
และเวลานี้ในถุงเก็บของของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีแกนกลางของสัตว์กาฝากมากถึงสามสิบกว่าชิ้นแล้ว เขายังคงโปรยผงยากระสันซ่านไปด้วยความฮึกเหิม จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องตะลึงระคนดีใจ เนื่องจากเขาได้ค้นพบจุดตัดของเทือกเขาเป็นรูปอักษรเลขแปด (八) แห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่มีช่องทางลมที่ใหญ่มากช่องหนึ่ง…
คล้ายว่าลมจากรอบด้านเมื่อพัดผ่านจุดนี้จะต้องถูกดึงดูดเข้ามาและกระจายออกไปยังพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเทือกเขารกร้าง ความเร็วลมเร็วมาก จากการวิเคราะห์ของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลาสามวันก็สามารถพัดผ่านพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเทือกเขารกร้างได้ เมื่อยืนอยู่ด้านล่างช่องลมแห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจำเป็นต้องใช้พละกำลังมหาศาลถึงจะทำให้ร่างตัวเองไม่โดนลมพัดปลิวไป นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้เข้าใกล้เกินไปนัก
ผมของเขาปลิวไสว มองช่องลมด้านบนก็ให้ตื่นเต้นขึ้นมา
“ที่นี่ก็คือสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการแพร่กระจาย!! อีกทั้งในเทือกเขาก็ไม่น่าจะมีสหายร่วมสำนักแล้ว ข้าสามารถวางใจเก็บเกี่ยวได้อย่างเสรีแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม เพื่อไม่นำความพินาศมาสู่สหายร่วมสำนัก หลายวันมานี้เขาต้องมอบแกนกลางให้ไปถึงสิบกว่าชิ้น แต่ก็ไม่ได้เสียดายอะไร เพราะเขามั่นใจมากว่าจะต้องได้แกนกลางจากที่นี่ไปมากกว่าเดิม เวลานี้จึงคล้ายมองเห็นคะแนนคุณความดีเหลือคณานับลอยเข้าสู่กระเป๋าของตัวเอง
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เอายากระสันซ่านทั้งหมดออกมาทันที พอบีบจนแหลกละเอียดทั้งหมดแล้วก็สาดไปทางช่องลม เมื่อลมของที่นี่พัดวูบไปหนึ่งครั้งก็ถูกม้วนตลบไปเบื้องหน้า กระจายออกไปในเทือกเขารกร้างเกินครึ่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่บนยอดเขา มองป่าผืนใหญ่ด้วยความทะนงองอาจ ความรู้สึกของยอดฝีมือลุกโชนขึ้นมา
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน เพื่อสร้างความผาสุกให้แก่เทือกเขารกร้างแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ คาดว่าอีกหลายปีต่อมา สัตว์ร้ายของเทือกเขาแห่งนี้คงจะมีเพิ่มมากขึ้นอีกเยอะเลย…นี่เป็นคุณงามความดีของข้าโดยแท้”
ขณะที่เขาทอดถอนใจอยู่นั้นเอง เสียงคำรามแหบพร่าดังลอยมาจากในผืนป่าที่ห่างออกไปไม่ไกล ตามมาติดๆ ด้วยเสียงคำรามแหบแห้งนับไม่ถ้วนที่ดังก้องต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ ไม่นาน…เสียงคำรามแหบแห้งนี้ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แพร่ไปทั่วไม่หยุด หนึ่งวันผ่านไป สองเขตของเทือกเขารกร้าง…มีเสียงร้องน่าหวาดผวา สามวันต่อมา…ครึ่งหนึ่งของเทือกเขารกร้าง บ้าคลั่งกันอย่างสมบูรณ์แบบ!
ขณะที่ครึ่งหนึ่งของเทือกเขารกร้างแห่งนี้คลุ้มคลั่งกันไปหมดนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนบินออกไปด้วยความรวดเร็ว ทุกระยะห่างหนึ่งช่วงจะต้องทิ้งยาหอมนารีเอาไว้เกินครึ่ง หลังจากที่ล่อสัตว์ร้ายทั้งหมดของเขตนี้แล้วก็ทำการเก็บเกี่ยวแกนกลางของสัตว์กาฝาก
ตลอดทางมานี้เขาพึงพอใจอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ได้แกนกลางมา ยังมีความรู้สึกพอใจที่ได้สร้างความผาสุกให้กับตลอดทั้งเทือกเขารกร้างแห่งนี้ด้วย โดยเฉพาะหลังจากที่มองเห็นสัตว์ร้ายแต่ละตัวเกิดอารมณ์กำหนัด เริ่มกระโจนเข้าหากันไปมา ความรู้สึกผาสุกเช่นนั้นก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้น
“ข้าเป็นคนดีคนหนึ่ง ต่อไปสัตว์ร้ายทุกตัวของเทือกเขาแห่งนี้จะต้องซาบซึ้งในตัวข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนบินทะยานไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทิ้งยาหอมนารีเอาไว้อีกกำใหญ่
ในเทือกเขา ลูกศิษย์ไม่กี่คนของสำนักธาราเทพที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจเสียงร้องเรียกของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้แต่ละคนล้วนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง พวกเขามองสัตว์ร้ายรอบกายแต่ละตัวที่คลุ้มคลั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ร้ายพวกนั้นยังกระโจนใส่กันไปมาอีกด้วย…ทุกคนสูดลมหายใจเฮือก
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
“ภาพนี้…ทำไมถึงได้คุ้นตานัก…” ลูกศิษย์เหล่านี้ตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด พากันแตกตื่น แต่ละคนรีบหนี คิดจะไปจากที่นี่
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ซ่างกวานเทียนโย่วเองก็ไม่สนใจจะไปเข่นฆ่าสัตว์ร้ายอีกแล้ว รีบบินทะยานออกไปไกล เขารู้สึกว่าที่นี่น่าหวาดกลัวเกินไป ยิ่งหลังจากที่ภาพของเป่ยหันเลี่ยลอยขึ้นมาในสมองของเขา สีหน้าของซ่างกวานเทียนโย่วก็ยิ่งซีดเผือด สั่นเทาไปทั้งตัว
แต่พวกเขาแทบทุกคนล้วนอยู่ในจุดลึกของเทือกเขารกร้างแห่งนี้เสียแล้ว คิดจะจากไปไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่สัตว์ร้ายครึ่งหนึ่งของเทือกเขารกร้างกำลังบ้าคลั่งแบบนี้ก็ยิ่งยากเกินจะเปรียบ…
ป๋ายเสี่ยวฉุนบินทะยานอย่างมีความสุขไปตลอดทาง คอยทิ้งยากระสันซ่านเอาไว้อย่างต่อเนื่อง หลังจากล่อสัตว์ร้ายจำนวนมากได้แล้วก็ทำการเก็บเกี่ยวแกนกลาง จนกระทั่งครึ่งเดือนผ่านไป เมื่อเขาออกจากเทือกเขารกร้าง ในถุงเก็บของของเขาก็มีแกนกลางของสัตว์กาฝากเกือบสองร้อยชิ้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากออกจากเทือกเขารกร้างก็ตรงดิ่งกลับไปยังสำนัก
จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปได้หลายวัน พวกซ่างกวานเทียนโย่วก็พากันทยอยออกมา ทุกคนสีหน้าทุกข์ระทม ผมเผ้ายุ่งเหยิง กระเซอะกระเซิงอย่างถึงที่สุด นัยน์ตาเคว้งคว้าง ตอนที่เดินออกมาจากเทือกเขาต่างก็เงยหน้าขึ้นฟ้าเปล่งเสียงร้องเศร้ากำสรด
ส่วนเรื่องที่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในเทือกเขาแห่งนี้กันแน่…ได้กลายเป็นปริศนาไปตลอดกาล
ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อตะบึงมาตลอดทาง กลับเข้าสำนักมาด้วยความคึกคัก รีบไปที่จุดภารกิจ ลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่ตรงจุดภารกิจ พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเอาแกนกลางสัตว์กาฝากออกมาทีเดียวสองร้อยชิ้น ตาก็แทบจะถลนออกมานอกเบ้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดทุกชิ้นแล้ว ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกตากว้างอ้าปากค้างไปเรียบร้อย
เขาอยู่ที่จุดภารกิจนี้มาหลายปี ภารกิจของสัตว์กาฝากมักจะมีขึ้นเป็นประจำ แต่คนหนึ่งอย่างมากที่สุดก็เอากลับมาได้แค่สิบกว่าชิ้นเท่านั้น แถมนั่นยังต้องใช้เวลาเป็นปีๆ
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปแค่ไม่กี่เดือน พอกลับมาก็เอามาได้เยอะถึงเพียงนี้
“ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องท่านเจ้าสำนัก ลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ ผู้ชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ป๋ายเสี่ยวฉุน…” ลูกศิษย์ฝ่ายในผู้นี้สูดลมหายใจเฮือก เลื่อมใสป๋ายเสี่ยวฉุนจนถึงขีดสุด หลังจากตรวจนับเรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้คะแนนคุณความดีไปเกือบสองแสนคะแนน เขาพยายามแสดงท่าทางสุขุมเยือกเย็น แต่กลับปกปิดความภาคภูมิใจเอาไว้ไม่มิด
เรื่องนี้ก็สะท้านสะเทือนชายฝั่งทิศใต้เช่นกัน ได้คะแนนคุณความดีสองแสนคะแนนรวดในครั้งเดียว ไม่ว่าใครที่ได้ยินก็ล้วนไม่อยากเชื่อ และหลังจากลูกศิษย์ที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเกลี้ยกล่อมให้ออกไปจากเทือกเขารกร้างพากันบอกสาเหตุให้คนอื่นฟังด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน สามเขาแห่งชายฝั่งทิศใต้ ลูกศิษย์ฝ่ายในทุกคนพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็พากันหวาดหวั่นใจ
“นี่มันหัวหน้าหมาป่าชัดๆ!!”
“บ้าคลั่งเกินไปแล้ว เขาถึงขั้นสาดยากระสันซ่านไว้ในเทือกเขารกร้างซะเกือบครึ่ง!!”
“ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ห้ามไปที่นั่นเด็ดขาด…”
ขณะที่พากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นเอง ซ่างกวานเทียนโย่วและลูกศิษย์อีกหลายคนที่สภาพกระเซอะกระเซิงก็พากันทยอยกลับเข้ามา ซ่างกวานเทียนโย่วเดิมทีก็รู้อยู่แล้วว่าสาเหตุมาจากป๋ายเสี่ยวฉุนจึงดีหน่อย แต่คนอื่นๆ ที่เหลือในเวลานี้เพิ่งจะเข้าใจ ทุกคนล้วนเปล่งเสียงคำรามเศร้ารันทด แทบจะกระอักเลือก แต่กลับทำอะไรป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ เพราะยังไงซะ…เสียงร้องเรียกถี่ยิบของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาล้วนได้ยินกันทั้งหมด ในใจให้นึกเสียใจ หากตอนนั้นตอบรับไปหนึ่งคำ บางทีอาจจะไม่น่าเวทนาอย่างตอนนี้ก็ได้
เนื่องจากภารกิจครั้งนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บเกี่ยวได้มากมาย เขาจึงเกิดความสนใจอย่างลึกล้ำ ดังนั้นร่างของเขาจึงมักจะเข้าๆ ออกๆ ที่จุดรับภารกิจเป็นประจำ ทุกครั้งล้วนเลือกภารกิจการเก็บเกี่ยวสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ร้าย
ราวกับว่าติดใจไปแล้ว ทุกครั้งที่รับภารกิจมาก็จะหลอมยาแล้วออกไปข้างนอกทันที และทุกครั้ง…จะต้องมีลูกศิษย์ส่วนหนึ่งคลุ้มคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีภารกิจหรือไม่มีภารกิจก็ล้วนเป็นบ้ากันไปหมด เพราะสถานที่ใดก็ตามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปเยือน คนอื่นก็อย่าคิดไปที่นั่นในช่วงเวลาอันใกล้เด็ดขาด
อันตรายมากเกินไป…
เทือกเขาอวิ๋นตวน เทือกเขาหันหลิน เทือกเขาจิ่งเฟิง เทือกเขาหยวนตง…
และในหนึ่งปีต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายร่างเป็นปีศาจคลั่งภารกิจ กวาดเอาภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ร้ายไปหมด ทุกครั้งล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล ขณะเดียวกันกับที่สั่นสะเทือนจุดภารกิจไปเสียทุกครั้ง ก็ทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายในจำนวนนับไม่ถ้วนยิ่งคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ถึงขั้นที่ว่าเมื่อภารกิจของสัตว์ร้ายที่เขาเซียงอวิ๋นไม่มีเหลือแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไปเขาชิงเฟิง เขาจื่อติ่ง แย่งเอาภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ร้ายทั้งหมดมา การไปครั้งนี้ทำให้ลูกศิษย์ของเขาจื่อติ่งและเขาชิงเฟิงทุกคนได้รู้ว่าอะไรคือคำว่าปีศาจคลั่งภารกิจ
จนถึงท้ายที่สุด ลูกศิษย์ฝ่ายในของชายฝั่งทิศใต้ทุกคนค้นพบอย่างสิ้นหวังว่า เทือกเขาใดก็ตามที่อยู่ใกล้กับสำนักล้วนไม่สามารถไปได้แล้ว ที่นั่นเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกิดกำหนัดอยู่ตลอดเวลา…
ภายใต้ความจนใจ ลูกศิษย์ฝ่ายในของทั้งสามเขาหลายร้อยคนรวมตัวกันส่งเรื่องไปยังสำนัก ขอร้องให้สำนักถอนสิทธิ์ในการทำภารกิจของป๋ายเสี่ยวฉุนออกไป…
เรื่องนี้แม้แต่หลี่ชิงโหวก็ยังไม่อาจยื่นมือเข้าแทรก หาได้ยากนักที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะกระตือรือร้นทำภารกิจให้ลุล่วงเช่นนี้ สุดท้ายแม้แต่เจ้าสำนักก็ยังปวดหัวไปด้วย เขาพบว่านับแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาอยู่ในสำนัก แทบทุกระยะหลังจากเว้นห่างไปช่วงหนึ่ง ตัวเองจะต้องปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะเขา ตอนนี้แค่ได้ยินชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็แทบจะถอนหายใจอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว
“เขาไม่ตั้งใจก็ยังดี แต่พอตั้งใจเช่นนี้…มันช่าง…เฮ้อ ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ ไม่ว่าอยู่ที่ใดเขาก็ช่างขยันสร้างเรื่องได้ดีแท้!”
“เขาอยากหลอมยานักไม่ใช่เหรอ งั้นก็ให้หลอมยา คะแนนคุณความดีสำนักออกให้ หวังแค่ว่าเขาจะหยุดลงได้บ้าง…”
เห็นว่าลูกศิษย์ฝ่ายในที่ยื่นเรื่อง จากเมื่อก่อนหลายร้อยคน ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นพันคนแล้ว เจ้าสำนักก็กัดฟัน หลังจากปรึกษากับหลี่ชิงโหว จึงถอนสิทธิ์ในการทำภารกิจของป๋ายเสี่ยวฉุนไปสิบปี
เขาเป็นลูกศิษย์คนเดียวในสำนักที่ไม่จำเป็นต้องทำภารกิจเป็นเวลาสิบปี อีกทั้งทุกเดือนทางสำนักยังมอบคะแนนคุณความดีจำนวนไม่น้อยให้อีกด้วย
“มีสิทธิ์อะไรกัน ข้าต้องการสร้างคุณความดีเพื่อสำนัก ข้าต้องการตอบแทนสำนัก พวกเจ้าทำกันเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากด้วยความโกรธแค้น ภายใต้สายตาของลูกศิษย์จุดภารกิจที่มองมาอย่างเคารพยำเกรงราวกับเขาคือเทพในร่างมนุษย์ ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง สุดท้ายก็เชิดคางขึ้นด้วยความจำใจ สะบัดปลายแขนเสื้ออีกหนึ่งที
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว จุดภารกิจ…ก็สิ้นราบพนาสูร” เขาส่ายหัวถอนหายใจ เผยให้เห็นถึงความเงียบเหงา จากไปอย่างกลัดกลุ้ม
———