บทที่ 104 ข้ารับรอง…
ป๋ายเสี่ยวฉุนพกพาความกลัดกลุ้มกลับเข้ามาในถ้ำด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม ทอดถอนหายใจอยู่ตรงนั้น สุดท้ายก็รู้สึกปลงขึ้นมา
“คนคนหนึ่งหากยอดเยี่ยมมากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี อย่างข้าเนี่ย แม้แต่สำนักก็ยังกังวล ตัดสิทธิ์ทำภารกิจของข้าสิบปี แถมทุกเดือนยังให้คะแนนคุณความดีกับข้าด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนบ่นด้วยความเบิกบานใจ รู้สึกว่าตัวเองดีเลิศเกินไป ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะทำเช่นไรดี…
“ช่างเถอะๆ ในเมื่อไม่ให้ข้าไปทำภารกิจ ถ้าอย่างนั้นข้าก็หลอมยาแล้วกัน เดิมทีไปทำภารกิจก็เพื่อหาคะแนนคุณความดีเพิ่มอยู่แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองได้พลีชีพเพื่อสำนัก เดินเข้าไปในห้องหลอมยา
“จะต้องเข้าใจวิธีการหลอมยาระดับสามทั้งหมดให้ได้!” พอเหยียบย่างเข้ามาในห้องหลอมยา สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอาจริงเอาจังขึ้นมา
เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปี
ตลอดครึ่งปีนี้ ทุกวันนอกจากเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำหนดเพื่อบำเพ็ญตบะแล้ว เวลาอื่นๆ ที่เหลือล้วนอยู่ในห้องหลอมยา เมื่อไม่มีวัตถุดิบก็เอาคะแนนคุณความดีไปแลกมา ตลอดทั้งร่างก็ค่อยๆ คล้ายคนบ้าขึ้นมาเล็กน้อย มีท่าทีราวกับว่าหากไม่เข้าใจการหลอมยาวิเศษระดับสามทั้งหมดก็จะไม่ยอมหยุดเด็ดขาด
ระหว่างนั้นเจอกับปัญหายากบางส่วน เขาก็เคยไปสอบถามหลี่ชิงโหว หลี่ชิงโหวพอได้ยินปัญหาเหล่านั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะลึงอย่างมาก การศึกษาค้นคว้าวิถีโอสถเช่นนี้ ในสายตาของเขามองว่าไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์โอสถธรรมดาจะทำได้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดไปถึงผลคะแนนของป๋ายเสี่ยวฉุนบนป้ายศิลาพืชหญ้า หลี่ชิงโหวก็เต็มไปด้วยความรอคอยต่อวิถีโอสถของป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนมีความเข้าใจต่อวิถีโอสถไม่เหมือนกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความตั้งมั่นเช่นนี้ หลี่ชิงโหวปลื้มอกปลื้มใจอย่างมาก ไม่ได้บอกคำตอบกับป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง แต่สนับสนุนให้เขาทดลองเยอะๆ มีแค่ทดลองทำด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะได้รับวิถีโอสถที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง หากแค่ทำตามกฎเกณฑ์ทั่วไปเพียงอย่างเดียว ก็ย่อมไม่มีทางกลายเป็นปรมาจารย์โอสถผู้บุกเบิกเส้นทางใหม่ได้อย่างแน่นอน!
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับกำลังใจอย่างมากจึงยิ่งคลั่งในการศึกษาค้นคว้าเข้าไปใหญ่
และในสำนักก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ เนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ไปทำภารกิจอีก คนไม่น้อยล้วนถอนหายใจโล่งอกอยู่ในใจ โดยเฉพาะเจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงที่ในที่สุดก็รู้สึกได้ถึงความสงบสุขขึ้นมาเสียที คิดว่าตนเองตัดสิทธิ์การทำภารกิจของป๋ายเสี่ยวฉุนไปสิบปีนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง
เขาค่อยๆ วางใจลง มีอยู่ครั้งหนึ่งยามเดินหมากกับหลี่ชิงโหวยังเอ่ยถึงป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย
“ป๋ายเสี่ยวฉุนเด็กคนนี้ช่วงนี้เอาแต่หลอมยา ในสำนักจึงกลับสู่สภาพปกติ หลอมยาเป็นเรื่องที่ดี งั้นก็ให้เขาหลอมยาไปเถอะ จะได้ไม่ส่งผลกระทบกับคนอื่นด้วย”
“ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้มาหาข้าด้วย ถามข้าเรื่องการหลอมยา ข้าเห็นว่าความคิดมากมายของเขาล้วนแปลกใหม่ ให้เขาลองพิจารณาดูเอาเอง แบบนี้ถึงจะสามารถเดินไปบนวิถีโอสถของตัวเองได้ ตำรับยาที่ถ่ายทอดกันมาในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรทุกวันนี้ ไม่ว่าตำรับไหนก็ล้วนต้องผ่านความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วนถึงจะทำสำเร็จ เด็กคนนี้เรียนรู้ตามคนรุ่นก่อนๆ เป็นเด็กดีคนหนึ่งเลยล่ะ” หลี่ชิงโหวอมยิ้ม ทั้งสองคนพึงพอใจกับความสงบสุขตลอดครึ่งปีนี้อย่างมาก
แต่ความพึงพอใจนี้อยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่นัก หลายวันต่อมาเสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าเสียงหนึ่งดังไปทั่วเขาเซียงอวิ๋น มันออกมาจากถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน ดังสนั่นไปแปดทิศ ทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายในจำนวนนับไม่ถ้วนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาพร้อมความตกใจ ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกก็ยังตกใจจนจิตใจสะท้านไหว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!”
“สวรรค์ หรือว่ามีคนโจมตีสำนักธาราเทพของพวกเรา!”
ขณะที่ทุกคนกำลังฮือฮากันอยู่นั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งออกมาจากห้องหลอมยาพร้อมไอสำลักไปด้วย ใบหน้าดำปี๋ น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาหมด กระโดดตูมลงไปล้างตัวในน้ำพุทันที เสร็จแล้วถึงได้ขึ้นมาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ถึงกับระเบิดเลยรึ?” เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย เตาหลอมในถ้ำเป็นสิ่งของตามธรรมเนียมของลูกศิษย์ฝ่ายใน แม้ว่าจะถูกสร้างจำลองขึ้นมา แต่รูปแบบก็ไม่ต่างไปจากในหอหลอมยา ตามหลักแล้วต่อให้ยาวิเศษเสียหาย เตาหลอมก็ไม่มีทางระเบิดได้
แต่เมื่อครู่นี้เตาหลอมกลับระเบิด แม้แต่ค่ายกลของถ้ำก็ยังถูกกระตุ้นไปด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดยังไงก็คิดไม่ออก ถอนหายใจท่ามกลางความลังเล เริ่มฝึกคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร เนื่องจากการฝึกในช่วงที่ผ่านมานี้ ตบะของเขาใกล้จะฝ่าทะลุขั้นแล้ว ขาดอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รีบร้อน หลังจากฝึกวิชาคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรเสร็จก็กลืนยาวิเศษเพิ่มพลังเข้าไปอีกหนึ่งเม็ด จากนั้นเคลื่อนพลังอมตะมิวางวาย แสงสีเงินตลอดทั้งร่างยิ่งเปล่งประกายวาววับ อีกทั้งดูเหมือนปรากฏแสงสีทองรำไร
จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเก็บวิชายุทธ์ เขายืนอยู่ในถ้ำ หลังจากดวงตาทั้งคู่ปิดลงก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้น ในกายเคลื่อนสัจจคาถาของวิชาเขตแดนธารา เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ดวงตาของเขาก็ลืมโพลงขึ้นมา คำรามเสียงดังไปด้านหน้าหนึ่งครั้ง
พลังอำนาจที่น่าตื่นตะลึงระลอกหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากร่างของเขา ราวกับว่ารอบด้านล้วนเปลี่ยนแปลงไปหมด มีไอน้ำปรากฏให้เห็นเลือนราง แต่อยู่ได้แค่เวลาหนึ่งชั่วลมหายใจทั้งหมดนี้ก็สลายหายไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนเรี่ยวแรงหดหายลงไปเล็กน้อย เช็ดเหงื่อออก วิชาเขตแดนธารานี้เขาฝึกฝนอยู่แทบทุกวัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังมีพลังปรากฏขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ยังต้องพยายามต่อไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนพักอยู่ชั่วครู่ หลังจากยุติการฝึกฝนของวันนี้แล้วก็คิดถึงเรื่องที่เตาหลอมยาระเบิดขึ้นมาอีก ครึ่งปีมานี้ยาวิเศษระดับสามที่เขาทดลองหลอม แม้ว่าจะทำสำเร็จ แต่ส่วนใหญ่กลับมักจะล้มเหลว
ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยใจอย่างมาก ยามนี้ครุ่นคิดอยู่นาน ก็เริ่มมองเห็นสาเหตุที่เตาหลอมระเบิดได้รำไร
“หลังจากพลังของยาดุเดือดขึ้นจึงไม่มั่นคง เลยทำให้ระเบิด?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มคิดอะไรขึ้นได้ รีบออกไปข้างนอกทันที ใช้คะแนนคุณความดีแลกเอาเตาหลอมยากลับมา เริ่มหลอมยาต่อ
และทุกคนของเขาเซียงอวิ๋นก็ค่อยๆ รู้ว่าเสียงระเบิดก่อนหน้านี้มาจากถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนสีหน้าเหยเก แม้ไม่รู้ว่าเสียงนี้เกิดจากอะไร แต่ก็พอจะกล้อมแกล้มรับได้
เพียงแต่ว่า…หลายวันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในห้องหลอมยาของถ้ำ กำลังรวบรวมสมาธิและพลังทั้งหมดควบคุมยาวิเศษในเตาหลอม แต่การหลอมยาวิเศษระดับสามนั้นยากเกินไป ยามคนอื่นหลอมล้วนอาศัยประสบการณ์และโชคช่วย สิบครั้งสามารถหลอมสำเร็จสักสามครั้งก็ถือว่าโชคดีอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนแสวงหาความประณีตถึงขีดสุด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้จะไม่ยอมล้มเลิกเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื่องจากเขาควานหาในทุกขั้นตอน หรือถึงขั้นที่ว่าแต่ละขั้นตอนจะต้องทดลองทำอยู่หลายครั้ง ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา
เวลานี้ดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันเบิกกว้าง เขาสัมผัสได้ว่ายาวิเศษในเตาหลอมอยู่เหนือการควบคุม และก็ยิ่งมองเห็นว่าเตาหลอมเกิดรอยปริร้าว ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ปีกด้านหลังกระพือหนึ่งครั้ง บินพรวดออกไปจากห้องหลอมยา
แทบจะทันทีที่เขาออกมานั้นเอง เสียงกัมปนาทที่รุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ก็ดังลอยออกมา
คนจำนวนไม่ถ้วนตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋นฮือฮา แต่ละคนกว่าจะข่มกลั้นอารมณ์ลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สามวันให้หลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องหลอมยาก็กรีดร้องเสียงแหลม หลังจากหนีออกมาด้วยความรวดเร็ว เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดินครั้งที่สามก็เกิดขึ้น ทั้งยังน่าตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
โดยเฉพาะเจ็ดวันต่อมา ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาอยู่ด้วยใจที่หวาดผวา ทันใดนั้นก็ต้องสูดลมหายใจเฮือก หลบหนีออกมาด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี เบื้องหลังของเขา เสียงกัมปนาทครั้งที่สี่ดังราวหูจะดับ ห้องหลอมยาพังถล่มลงมาเกือบครึ่ง
สะท้านสะเทือนเขาเซียงอวิ๋นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลูกศิษย์ทุกคนดวงตาแดงก่ำ หลังจากแต่ละคนสืบข่าวจนได้ความว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหลอมยา แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าเขาหลอมยาอะไรกันแน่ถึงได้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเช่นนี้
“ข้าไปถามหอหลอมยามาแล้ว ช่วงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปแลกเอาเตาหลอมมาตั้งเจ็ดแปดเตาแล้ว!”
“เสียงนั่นคือเสียงเตาหลอมยาระเบิด ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาอะไรอยู่กันแน่ สมควรตายเอ๊ย เขาไม่กลัวจะระเบิดตัวเองตายเลยรึ!” ภายใต้ความโกรธแค้นของทุกคน เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น…ยังไม่สิ้นสุด ยังคงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
เวลาหนึ่งเดือน เสียงกัมปนาทที่ดังออกมาจากในถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนมากพอเจ็ดครั้ง และรุนแรงขึ้นในทุกครั้ง โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย ถึงขั้นที่ทำให้ตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋นสั่นไหว ถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกือบจะถูกระเบิดจนพังไปด้วย
ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนต้องรีบวิ่งหนีออกมา ลูกศิษย์ฝ่ายในและฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นล้วนคลุ้มคลั่งกันไปหมด หนึ่งเดือนมานี้พวกเขาถึงขนาดไม่กล้าฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง เพราะทุกครั้งจะต้องถูกปลุกให้สะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำให้ใจของพวกเขาเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เคว้งคว้างกันไปหมด ถูกทรมานจนดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แต่ละคนแทบจะสะกดกลั้นไฟโทสะเอาไว้ไม่อยู่
แม้แต่ค่ายกลเก็บเสียงก็แทบจะใช้ไม่ได้ผลกับเสียงนี้ ทำให้ไฟโทสะของลูกศิษย์ทุกคนโหมซัดสาด แม้แต่ผู้อาวุโสเองก็ยังตกอกตกใจ รู้สึกเหลือเชื่อในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ขึ้นมา
“นี่คือเสียงเตาหลอมยาระเบิด ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้กำลังหลอมยาอยู่รึ? เขา…เขาหลอมยาอะไรอยู่กันแน่!”
ยังไม่จบสิ้น เมื่อมาถึงเดือนที่สองเสียงก็ดังยิ่งกว่าเดิม ดังสนั่นหวั่นไหวไม่หยุดถึงสิบกว่าครั้ง ทุกๆ สองวันแทบจะต้องมีให้ได้ยินหนึ่งครั้ง จนกระทั่งลูกศิษย์ของเขาเซียงอวิ๋นทนไม่ไหวอีกต่อไป ต่างก็คลุ้มคลั่งพากันรวมตัวไปดักรอฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่นอกถ้ำ เปล่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกล้ำกลืน รีบออกมาอธิบาย มองเห็นลูกศิษย์นับพันที่อยู่นอกถ้ำ สีหน้าเขาก็พลันซีดขาว สุดท้ายก็ตบหน้าอกเล็กๆ ของตัวเองเต็มแรง พอรับรองว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีกต่อไปแล้ว นี่ถึงได้สยบความโกรธแค้นของทุกคนลงไปได้
กว่าจะส่งทุกคนกลับไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้ามุ่ยกลับเข้ามาในถ้ำ มองห้องหลอมยาที่พังถล่มไปแล้วเกินครึ่ง ทอดถอนใจเดินเข้าไปข้างใน เอาเตาหลอมยาอันใหม่ออกมาแล้วเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ใจอยากจะไปถามหลี่ชิงโหวให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอนึกได้ว่าหลี่ชิงโหวให้ลองศึกษาและพินิจพิเคราะห์ด้วยตัวเอง เขาจึงกัดฟันขบคิดต่อไป
หลายวันต่อมา เขาพลันตบขาตัวเองดังป้าบ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย
“ใช่แล้ว ต้องเป็นเพราะไม่ได้อุ่นเตาแน่นอน!” คิดมาถึงตรงนี้ก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันที ทดลองใหม่อีกครั้ง…กลางดึกคืนหนึ่ง ทุกคนของเขาเซียงอวิ๋นล้วนได้ยิน…เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งตกใจจนเกือบจะอกแตกตาย ถลาออกมาด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง คำรามแหบแห้งเสียงเศร้ากำสรด
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!! ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ข้าก็จะตีเจ้าให้ได้!”
ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว กลางดึกของค่ำคืนนี้ ลูกศิษย์ฝ่ายในแทบทุกคนล้วนพุ่งถลาออกมา แม้แต่โจวซินฉีเองก็ยังปรากฏตัวด้วยความอ่อนเพลีย ตรงดิ่งมายังถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรับรองด้วยใบหน้าแย้มยิ้มอีกหลายครั้ง พวกเขาก็จนใจ ท่าทีของป๋ายเสี่วฉุนดีเกินไป ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี หากท่าทีร้ายกาจก็ยังพอว่า อย่างมากก็ต่อยตีกันสักทีสองที แต่ตอนนี้…ทำได้แค่เพียงกัดฟันยอมรับ
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเข้ามาในถ้ำด้วยความเหนื่อยล้า อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เขารู้สึกว่าการยืนหยัดทำตามอุดมการณ์ของตัวเองช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด!” เขากัดฟัน เอาเตาหลอมยาออกมาอีกหนึ่งอัน จ้องเขม็งไปที่มัน ครั้งนี้ไตร่ตรองอยู่นานพอครึ่งเดือน เขาได้หาปัญหาทั้งหมดออกมาแล้ว ถึงขั้นที่ว่ายังใคร่ครวญทุกรายละเอียดอยู่นานมาก
“ไฟใต้เตา สาเหตุต้องเป็นเพราะไฟใต้เตาแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นพรวด ดวงตามีเส้นเลือดฝอย หลอมยาอีกครั้ง…ห้าวันต่อมา ตอนเช้าตรู่ เสียงกัมปนาทหนึ่งที่ทำให้หลี่ชิงโหวเบิกตากว้างอ้าปากค้าง หรือแม้แต่เขาจื่อติ่งและเขาชิงเฟิงก็ยังได้ยิน ไก่หางวิเศษตัวสั่น แต่ละตัวน้ำลายฟูมปาก ลูกศิษย์ฝ่ายในถูกทำให้สะเทือนจนตาพร่ามัว…
ส่วนถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้ค่ายกลทั้งหมดถูกเปิดใช้อย่างพร้อมเพรียงกัน ไฟใต้เตาพลันระเบิดตูมออก ถึงขนาดไปกระตุ้นค่ายกลใหญ่ของเขาเซียงอวิ๋น ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเกียกตะกายปีนออกมา ตลอดทั้งร่างของเขาเป็นสีดำปิ๊ดปี๋ แต่นัยน์ตากลับฉายแววตื่นเต้น ในที่สุดเขาก็หาสาเหตุพบแล้ว
“ไม่ใช่ไฟใต้เตาเป็นตัวกระตุ้น แต่เป็นเพราะการส่งผลกระทบต่อกันและกันของยาวิเศษ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ที่สิ้นสุด ถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ยาวิเศษระดับสาม…คือการเน้นย้ำถึงวิธีที่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน!”
ไม่นาน ตั้งแต่เบื้องบนอย่างเหล่าผู้อาวุโสของเขาเซียงอวิ๋น จนถึงเบื้องล่างอย่างลูกศิษย์ฝ่ายนอกล้วนเคลื่อนพลกันอย่างเกรียงไกรมายังที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุน ในมือของทุกคนล้วนถือก้อนหินเอาไว้ ถูกคนนับหมื่นจ้องมองมาด้วยความแค้นเคือง ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนด้วยความกระวนกระวายใจ ตบหน้าอกแรงๆ หนึ่งที
“ข้ารับรอง…” เขายังไม่ทันพูดจบ คนจำนวนไม่น้อยก็เขวี้ยงหินออกมาทันที ยังไงซะเป็นสหายร่วมสำนักกันย่อมไม่ต่อสู้กันด้วยเวทมนตร์คาถาที่นี่ แต่ถ้าเป็นก้อนหินก็ไม่แน่…
“รับรองกับผีน่ะสิ!” ก้อนหินจำนวนมหาศาลที่อัดแน่นด้วยความโกรธแค้นลอยเข้ามาดังโครมคราม
———