บทที่ 106 กระต่ายคลั่ง!
เวลานี้สวีเป่าไฉและลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยกำลังดำเนินการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถ ผู้เฒ่าสวีมองดูอยู่ด้านข้าง เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจังอย่างยิ่ง แต่เวลานี้เอง นกกลุ่มหนึ่งบินผ่านมา เสียงปุๆ ดังขึ้นๆ ลงๆ… ขี้นกจำนวนไม่ถ้วนร่วงลงมาในพริบตาราวกับห่าฝน สวีเป่าไฉก็ดี ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการทดสอบเลื่อนขั้นก็ดี และยังมีคนที่มองดูอยู่รอบด้าน หรือแม้แต่บนผมของผู้เฒ่าสวีเอง ยามนี้ล้วนเต็มไปด้วยขี้นก…
ทุกคนอึ้งงัน แต่ละคนเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มองเห็นนกกลุ่มนั้นปล่อยขี้นกลงมามากมายต่อเนื่อง แล้วบินออกไปไกล…
“นกฝูงนี้…ไม่ค่อยคุ้นตาเลย…”
“สมควรตายเอ๊ย พวกมันเป็นอะไรกัน ถึงได้…ถึงได้ถ่ายท้องไม่หยุดแบบนี้!!” ลูกศิษย์ทุกคนร้องอย่างแตกตื่น ผู้เฒ่าสวีอึ้งไปครู่ หน้าถอดสี
เฉินจื่ออ๋างและจ้าวอี้ตัว ยามนี้ทั้งสองคนกำลังจ้องมองกันอย่างเคียดแค้นบนทางเส้นหนึ่งของภูเขา
“วันนี้ ที่นี่ พวกเราสองคนจะต้องตัดสิน…” ความขัดแย้งของพวกเขาเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนอยู่ฝ่ายนักการ เวลานี้ก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้น สายตาของคนทั้งคู่เปล่งประกายเผ็ดร้อน แต่ขณะที่ยังพูดไม่จบ ทันใดนั้นบนพื้นที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาก็มีปลามีขากลุ่มหนึ่งห้อทะยานผ่านมา
ระหว่างที่คนทั้งสองอึ้งงันก็มองเห็นแมวอีกหลายตัวที่เรอดังราวกับฟ้าผ่าอยู่ตลอดเวลา กำลังไล่ตามปลาพวกนั้นไปอย่างรวดเร็ว ภาพนี้ทำให้ทั้งสองคนสูดหายใจเฮือก รู้สึกเหมือนไม่เป็นความจริง ลืมการฟาดฟันระหว่างกัน ต่างอ้าปากกว้างเบิกตาค้าง
“นี่มัน…เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นปลามีขาไหม?” จ้าวอี้ตัวรู้สึกว่าตนเองประสาทหลอนจึงถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ข้ายังมองเห็นแมวที่เรอเหมือนฟ้าผ่าด้วย…” เฉินจื่ออ๋างกล่าวอย่างเลื่อนลอย
กลางไหล่เขา เวลานี้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยเปล่งเสียงร้องอย่างตกตะลึง เพราะมีกระต่ายตาแดงก่ำกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามากัดพวกเขา แม้ว่าจะถูกใช้กำลังเข้ายับยั้ง กระต่ายเหล่านี้ก็ยังคงบ้าคลั่งเช่นเดิม ฟันขบกันมีเสียงดังกึ๊ดๆ ทำให้คนที่ได้ยินสยองขวัญ
โดยเฉพาะกระต่ายอีกตัวหนึ่งที่นั่งอยู่บนไก่ขนาดมหึมา มันพูดอยู่ตลอดเวลาว่า
“เอ๊ะ?”
“เจ้าพูดได้?”
“ฮ่าๆ ยานี่ไม่เลวเลย ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนร้ายกาจเสียจริง แม้แต่กระต่ายก็ยังพูดได้”
ยามนี้ตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋นบ้ากันไปหมดแล้ว…คนจำนวนไม่ถ้วนพอได้ยินประโยคนี้ก็เข้าใจได้โดยพลัน เรื่องพวกนี้เป็นฝีมือของป๋ายเสี่ยวฉุน!
เขตที่อยู่ของลูกศิษย์ฝ่ายใน คางคกหลายตัวกระโดดไปมาอยู่บนพื้น ลูกศิษย์ฝ่ายในทุกคนที่มองเห็นพวกมันล้วนสำลักลมหายใจ ดวงตาพวกนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างน่าขนพองสยองเกล้า
และยังมีเสือเก้าหัวอีกหนึ่งตัวที่บุกตะลุยไปทั่วทั้งสำนัก คำรามเสียงแหบห้าวอย่างต่อเนื่อง ทั้งวันนี้ตลอดเขาเซียงอวิ๋นวุ่นวายกันไปหมด คนจำนวนนับไม่ถ้วนสะท้านสะเทือน ออกมาข้างนอกกกันอย่างพร้อมเพรียง
และยังมีลิงอีกหนึ่งตัว…ที่ถึงขั้นปีนขึ้นไปบนหอเรือนที่อยู่ของหลี่ชิงโหว ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเขาเซียงอวิ๋นก่อนจะนั่งลง มองสวีเหม่ยเซียงที่ก่อนหน้านี้มาพูดคุยเรื่องเก่าๆ กับหลี่ชิงโหวและเพิ่งจากไป มันก้มหน้าเท้าคาง ครุ่นคิด…
หลี่ชิงโหวหน้าเขียวคล้ำ ยืนอยู่นอกหอเรือนพลางเงยหน้ามองลิงตัวนั้น ขณะที่กำลังจะระบายโทสะ เสียงปุดังหนึ่งครั้ง ขี้นกมากมายเกินจะนับตกลงมาจากฟากฟ้า ทำให้เขาอึ้งงัน
เขาเซียงอวิ๋นไม่ได้ครึกครื้นเช่นนี้…มานานมากๆ แล้ว ลูกศิษย์ฝ่ายนอกเหลือคณานับ และยังมีลูกศิษย์ฝ่ายในล้วนเคลื่อนพล สัตว์เล็กสัตว์น้อยพวกนี้ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรให้กับพวกเขา มีเพียงนกที่ขี้ตลอดเวลากลุ่มนั้นกลุ่มเดียว ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าร่างกายเล็กๆ แค่นั้นบรรจุเอาขี้นกไว้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร…
และยังมีกระต่ายตัวนั้นที่แรกเริ่มพูดได้เพียงสามประโยค แต่ไม่นานก็ค่อยๆ พูดได้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางเลียนแบบมันก็ทำได้เยอะขึ้น ถึงท้ายที่สุด แม้แต่เสียงก็ยังดังอย่างถึงขีดสุด ตะเบ็งเสียงแหบเสียงแห้ง
“สวรรค์ นี่มันอะไรกัน!”
“เจ้าเห็นหรือยัง กระต่ายพูดได้ด้วย!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน นี่ต้องเป็นฝีมือเจ้าอย่างแน่นอน!”
“ข้าจะบอกอะไรให้ เมื่อวานข้าเห็นผู้เฒ่าโจวกับนกฟ่งเหนี่ยวพวกนั้นของเขาอยู่ในห้องด้วยกัน และมีเสียงแปลกประหลาดดังออกมาจากด้านใน…”
“ศิษย์พี่หญิงโจวซินฉี แล้วก็ศิษย์พี่หญิงตู้หลิงเฟย ต่อให้มีป๋ายเสี่ยวฉุนขวางกั้น ข้าสวีเป่าไฉก็จะต้องได้พวกเจ้ามาครอบครอง!”
“ศิษย์พี่โหวอวิ๋นเฟยท่านร้ายจริง อย่าซี้…อ๋า…นี่คืออะไร ข้าเห็นลิงหลายตัวชักกระตุก!”
“ศิษย์น้องหญิงเหม่ยเซียง ไม่ใช่ว่าข้าหลี่ชิงโหวใจจืดใจดำ รอตบะของข้าฝ่าทะลุเหยียบย่างเข้าสู่ยาอายุวัฒนะเมื่อใด จะต้องขอเจ้ามาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน!”
“ฮ่าๆ ยานี่ไม่เลวเลย ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนร้ายกาจเสียจริง แม้แต่กระต่ายก็ยังพูดได้” กระต่ายตัวนี้วิ่งไปทั่ว คำพูดที่พูดก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แถมมันยังหูดียิ่งนัก ขอแค่เป็นคำพูดที่ได้ยิน ก็จะคัดลอกออกมาได้คล้ายคลึงประโยคจริงมาก คนไม่น้อยค่อยๆ หน้าถอดสี เพราะเจ้ากระต่ายสมควรตายตัวนี้หูดีเกินไป แทบจะพูดความลับของลูกศิษย์ทุกคนออกมาหมด ทั้งยังบอกชื่อบอกแซ่เสียด้วย
ในนี้ยังมีเรื่องราวไม่น้อยที่พอทุกคนฟังแล้วล้วนรู้สึกไม่อยากเชื่อ โดยเฉพาะท่อนของหลี่ชิงโหวนั่น…เรื่องนี้ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ทุกคนสะท้านสะเทือนกันไปหมด แม้แต่ผู้เฒ่าหลายคนก็ยังเบิกตากว้าง
สวีเป่าไฉอึ้งตะลึง โหวอวิ๋นเฟยตาค้าง หลี่ชิงโหวตัวสั่นเทิ้ม
และเวลานี้เองป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลับมาจากตลาด เขากลับมาด้วยความพึงพอใจ เอาสัตว์เล็กสัตว์น้อยกลับมามากยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาเผยแวววาดหวัง ครั้งนี้เขาจะทดลองยาประหลาดให้หมด แต่เพิ่งจะขึ้นเขาเซียงอวิ๋นมา ยังไม่ทันเดินไปได้สักกี่ก้าวขี้นกก็ตกลงมา ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหลบฉาก ขมวดคิ้วเงยหน้ามองท้องฟ้า
มองเห็นนกกลุ่มหนึ่งบินผ่านไป
“เอ๊ะ คุ้นๆ แฮะ…” ขณะที่เขากำลังแปลกใจ ทันใดนั้นพุ่มหญ้าข้างกายก็ขยับดังสวบสาบ ปลามีขากลุ่มหนึ่งห้อทะยานออกมาจนป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ที่ตามมาติดๆ คือแมวเรอดังเป็นฟ้าผ่าซึ่งไล่ตามมา ลูกตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า หลังจากนั้น…ลิงกลุ่มหนึ่งที่ชักกระตุกไปด้วยพลางพ่นฟองขาวออกจากปากก็วิ่งผ่านร่างเขาไปอย่างรวดเร็ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น สูดลมหายใจเฮือก รูขุมขนตลอดร่างลุกชัน
“นี่…นี่…เป็นไปไม่ได้!” ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น เอากระบี่วิหคทองออกมาแล้วบินพรวดออกไป ปีกด้านหลังกระพือ เสียงฮูมดังหนึ่งครั้ง ถลาขึ้นเขาเซียงอวิ๋นไป
ตลอดทางเขาเห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยทุกตัว อีกทั้งระหว่างทางสายตาของคนไม่น้อยที่มองมายังเขาก็ล้วนแฝงไว้ด้วยความแปลกประหลาด ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน กลับมาดูในถ้ำก็พบว่าประตูใหญ่ของถ้ำเปิดออก ด้านในแทบจะว่างเปล่า มีเพียงห่านใหญ่สี่ห้าตัวที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับผู้พิทักษ์
“พวกมันออกไปได้ยังไง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากเชื่อ เขาเหมือนจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่างจึงหันขวับกลับไป มองเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งทะยาน ปากก็ปล่อยคำพูดมากมายออกมาไม่หยุด โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่น…
“ฮ่าๆ ยานี่ไม่เลวเลย ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนร้ายกาจเสียจริง แม้แต่กระต่ายก็ยังพูดได้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตาเหลือก กระต่ายตัวนั้นมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำตาเหลือกทันทีเช่นกัน หมุนตัวขยับร่างหนึ่งทีก็หนีไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าตัวเองก่อเรื่องแล้ว รีบบินทะยานไปด้านหน้ากำลังจะคว้าจับกระต่ายตัวนั้นไว้ เจ้ากระต่ายตัวนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรความเร็วถึงได้เพิ่มอย่างพรวดพราด พริบตาเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่อึ้งงัน เวลาเดียวกันนี้เขาก็ได้ยินเสียงคำรามโกรธขึ้งของหลี่ชิงโหวดังลอยมาจากยอดเขาเซียงอวิ๋น
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเก็บกวาดให้สะอาด หากยังเหลือสัตว์ที่ยังไม่ได้จัดการแม้แต่ตัวเดียว หรือยังเหลือขี้นกอยู่อีกก้อนเดียว ข้าจะส่งเจ้าไปหุบเขาหมื่นอสรพิษ! โดยเฉพาะเจ้ากระต่ายสมควรตายนั่น ทำให้มันหุบปากด้วย!!”
ได้ยินคำว่าหุบเขาหมื่นอสรพิษ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจมาได้ ผิวหนังเงินคงกระพันสำเร็จไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังตัวสั่นอยู่ดี ความหวาดกลัวที่เขามีต่อหุบเขาหมื่นอสรพิษอยู่ในขั้นสูงสุด ยามนี้จึงหน้าม่อยคอตก เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นลูกตาก็แทบจะถลนออกจากเบ้า
เขามองเห็นว่าบนหลังคาของหอเรือนมีลิงตัวหนึ่งนั่งเท้าคางอยู่ตรงนั้น เผยสีหน้าครุ่นคิด
ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ รีบไปที่ยอดเขา ร่างกระโดดลอยพรวดหนึ่งที ตรงดิ่งเข้าหาเจ้าลิง ลิงนั่นผินหน้ามามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง นัยน์ตาเผยความปลงอนิจจัง ประหนึ่งกำลังเสพสุขกับอิสรภาพที่ยากจะได้รับ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่ตะลึง ยกมือขึ้นคว้าจับเจ้าลิงนั่นมาไว้ในมือ โยนเข้าไปในถุงเก็บของ
จากนั้นเขาถึงได้รีบจากไปด้วยความระมัดระวัง ห้อทะยานอยู่บนเขาเซียงอวิ๋นไปตลอดทาง ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของลูกศิษย์นับไม่ถ้วน ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยคอตก พอจับเอาเสือเก้าหัว แล้วก็คางคกที่มีดวงตาขึ้นเต็มตัวมาได้ก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานไก่ที่ตัวใหญ่เท่าช้าง ปลาที่มีขากลุ่มนั้น แล้วก็แมวเรอล้วนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนทยอยจับไป ส่วนกลุ่มเป็ดที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้านั้นจับได้ง่ายที่สุด แค่ไม่กี่ทีก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนรวบไปได้หมด
ลิงที่ชักกระตุกกลุ่มนั้นก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนโยนเข้าไปในถุงเก็บของทีละตัวเช่นกัน เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ที่จับยากที่สุดก็คือนกที่ขี้ตลอดเวลาพวกนั้น ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้จับพวกมันมาได้ไม่เหลือสักตัว จนกระทั่งถึงตอนกลางคืน เขานับไปนับมา อยู่ๆ ก็พบว่ากระต่ายพูดได้หายไป
หาอยู่นาน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบด้วยความเศร้าใจว่าเขาหาไม่เจอ เจ้ากระต่ายนั่นซ่อนตัวเก่งเกินไป
“เฮ้อ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวหนึ่งที มองขี้นกบนเขาเซียงอวิ๋น ท่ามกลางความจนใจ เขาต้องใช้เวลาตลอดทั้งคืนถึงจะเก็บกวาดขี้นกบนเขาเซียงอวิ๋นได้สะอาดเอี่ยม ตอนพระอาทิตย์ขึ้นเขาลากสังขารที่เหนื่อยล้าของตัวเองกลับเข้ามาในถ้ำ กองพังพาบอยู่ตรงนั้น เหนื่อยจนหลับไป
เช้าตรู่ ลูกศิษย์ของเขาเซียงอวิ๋นมองภูเขาที่เปลี่ยนโฉมใหม่หมด แต่ละคนย้อนนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้วพลันเข้าใจวิถีโอสถของป๋ายเสี่ยวฉุนได้อย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าทุกคนที่ถูกนกขี้ใส่ล้วนโกรธเคืองอยู่ในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไงซะพวกเขาเองก็ดูออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน
แต่ก็เพราะการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจเหล่านี้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ในใจของทุกคนจึงร่ำร้องด้วยความเศร้าสลด ความหวาดผวาที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้โดยตรง
การหลับครั้งนี้ยาวนานไปถึงช่วงบ่าย หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นขึ้นมาก็ไม่กล้าทดลองยาประหลาดอีกต่อไป เขาออกจากภูเขาไปยังป่ารกร้าง หาสถานที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เปิดถุงเก็บของปล่อยสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหมดออกมา
“พวกเจ้าเป็นอิสระแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองสัตว์เหล่านั้น กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ยังไม่ทันได้กินยาประหลาดแยกย้ายกันไปในพริบตาเดียว แต่พวกที่กินยาประหลาด แต่ละตัวล้วนหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองพวกมัน แล้วก็หยิบยาอีกหลายเม็ดออกมาจากในถุงเก็บของ
“กินยาเม็ดนี้แล้วไม่แน่ว่าพวกเจ้าบางส่วนอาจจะฝึกบำเพ็ญตบะด้วยตัวเองกันได้ ต่อไปอย่าไปก่อเรื่องอีกล่ะ ครั้งนี้พวกเจ้าเล่นงานข้าซะอ่วมเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ยาสัตว์ทุกตัว ตัวละหนึ่งเม็ด สุดท้ายก็โบกมือ ตอนที่หมุนตัวกำลังจะจากไป เสือเก้าหัวตัวนั้นพลันแผดเสียงคำรามออกมาหนึ่งครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมอง เสือเก้าหัวมองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตามีแววแปลกประหลาด คล้ายต้องการจดจำป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ให้แม่นมั่น แล้วจึงหมุนกายทะยานจากไปไกล
เป็ดเหล่านั้นและกลุ่มนกที่อยู่บนฟ้า ยังมีปลาบนพื้นดิน แมวเรอ ห่านใหญ่ที่คล้ายผู้พิทักษ์ คางคกดวงตาเต็มร่าง และยังมีลิงที่ชักกระตุกกลุ่มนั้นล้วนเป็นเหมือนเสือเก้าหาง มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยแววตาชอบกล ถึงได้แยกย้ายกันไป
ตัวสุดท้ายที่จากไปคือลิงที่ชอบครุ่นคิดตัวนั้น มันมองป๋ายเสี่ยวฉุน ในดวงตาฉายแววเฉลียวฉลาด ถึงขั้นให้ความรู้สึกถึงประสบการณ์อันโชกโชนได้อย่างเลือนราง
มันมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งทีก็หมุนกายจากไปไกล
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน เมื่อครู่นี้เขามีความรู้สึกเข้มข้นอย่างหนึ่ง คล้ายว่าเจ้าลิงตัวนี้ได้กลายเป็นผู้เฒ่าที่ชาญฉลาดคนหนึ่ง ประสบการณ์อันโชกโชนที่เผยให้เห็นทางสายตาเช่นนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
เขาหยิบแผ่นหยกออกมาท่ามกลางความเงียบงัน หาบันทึกเกี่ยวกับยาที่ลิงตัวนั้นกินเข้าไป เดิมทีนั่นคือยาวิเศษที่ถูกเขาบันทึกไว้ว่าเป็นยาเสีย เวลานี้เขาจึงบันทึกเข้าไปใหม่
“ยาเม็ดนั้น…มีสรรพคุณที่ข้าไม่เข้าใจ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มองเงาร่างที่แยกย้ายกันไป นัยน์ตาเผยแววอวยพร สัตว์พวกนี้เปลี่ยนแปลงไปเพราะเขา เขาหวังจากใจจริงว่าพวกมันจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข
เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนกายสยายปีกหนึ่งครั้ง กลับไปด้วยความรวดเร็ว
———