Skip to content

A Will Eternal 142

บทที่ 142 ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแต่ละสำนัก

อ่านคำแนะนำของหุบเหวกระบี่อุกกาบาตจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าข้างในนั้นอันตรายเกินไป ขณะที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดก็มองเห็นคำแนะนำรวมไปถึงภาพวาดของคนจากสามสำนักที่อยู่ในแผ่นหยกอีกครั้ง จึงรีบเงยหน้าขึ้นมองหา เริ่มเทียบใบหน้าของลูกศิษย์สำนักธาราโอสถและสำนักธาราทมิฬไปทีละคน

โดยเฉพาะลูกศิษย์ที่มีการแนะนำเป็นพิเศษในแผ่นหยก เขาก็ยิ่งสังเกตอย่างจริงจังมาก แล้วก็ต้องอกสั่นขวัญแขวนขึ้นเรื่อยๆ

“สำนักธาราโอสถ จ้าวโหรว ถนัดการแปลงกาย และเคยใช้วิชาการแปลงกายนี้ทำให้คนสามคนที่อยู่ในระดับเดียวกันเข่นฆ่ากันเองภายในเวลาชั่วพริบตา! ร้ายกาจขนาดนี้เชียว สามารถเทียบเคียงกับเวทแปลงกลของกงซุนหว่านเอ๋อร์ได้เลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ลอบมองไปก็เห็นหญิงสาวอายุน้อยผู้หนึ่งของสำนักธาราโอสถทันที รูปโฉมของนางงามล้ำ ผิวพรรณบอบบางราวกับว่าแค่เป่าก็แตกสลายได้ เวลานี้นางกำลังจ้องตากับกงซุนหว่านเอ๋อร์ นัยน์ตาโชนแสง แค่อยู่ตรงนี้ก็เริ่มประลองกันอย่างลับๆ เสียแล้ว

“สำนักธาราทมิฬ เหลยซาน ฝึกหล่อหลอมร่างกาย ตลอดทั้งร่างคือเพลิงอัสนี พละกำลังมหาศาลอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เวทคาถาลึกล้ำ ภายใต้การไล่ฆ่าจากนักพรตสร้างฐานราก สามารถหนีเอาชีวิตรอดได้เจ็ดวันเต็ม ร่างมีวิญญาณอัคคีจึงสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วเหนือคนทั่วไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนอ่านมาถึงตรงนี้ก็รีบเหล่มองสำนักธาราทมิฬ แล้วก็เจอเหลยซานได้ในทันที นั่นคือชายฉกรรจ์ร่างกายล่ำสันบึกบึนผู้หนึ่ง ขณะที่นั่งขัดสมาธิ รอบกายมีประกายเพลิงอัสนีหมุนวนเป็นเกลียว พละกำลังน่าตื่นตะลึง เหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงหัวเราะชั่วร้ายใส่ป๋ายหนึ่งครั้ง นัยน์ตาเผยแววพิฆาต

“ศัตรูของเขาน่าจะเป็นหลู่เทียนเหล่ยถึงจะถูก พวกเล่นสายฟ้าเหมือนกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบดึงสายตากลับ มองไปที่แผ่นหยกอีกครั้ง

“สำนักธาราโอสถ ฟางหลิน ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของสำนักธาราโอสถรุ่นนี้ เมื่อครึ่งปีก่อนชื่อเสียงไม่โด่งดัง เพิ่งจะมาโดดเด่นอย่างกะทันหันเมื่อไม่นานมานี้ เชี่ยวชาญวิถียาพิษ การสังหารและการโจมตีเด็ดขาด ฝึกวิชาเตากระถางฟ้าดินสำเร็จ ความสามารถเหนือล้ำเกินจุดสูงสุดของขั้นรวมลมปราณ ยากที่จะประมาณการ มีเพียงการรบสองครั้งเป็นตัวอย่างให้เห็นเท่านั้น การรบครั้งหนึ่งสังหารนักพรตรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบที่ก่อกบฏเจ็ดคนจนสิ้น ตัวไร้ร่องรอยบาดเจ็บ อีกการรบหนึ่งคือทำลายอาวุธคุ้มกันที่มีพลังเทียบเท่าสร้างฐานราก และสังหารสายลับของนอกสำนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง รีบค้นหาอีกฝ่าย ก็ได้เห็นชายหนุ่มสีหน้าไร้อารมณ์ผู้หนึ่ง

“สำนักธาราทมิฬ จิ๋วต่าว ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งที่ฝึกวิชาวายชีวาตม์ได้สำเร็จเป็นคนแรกในรอบสามพันปีมานี้ของสำนักธาราทมิฬ ซึ่งเล่ากันว่าวิชานี้สามารถดับทุกชีวิตให้สูญสิ้นไปได้ ทุกที่ที่ผ่านล้วนมลายสลายสิ้น และที่มากกว่านั้นคือสามารถรวมออกมาเป็นลายวางวาย เคยต่อสู้กับนักพรตสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ ฝีมือสูสีกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวชาหนึบ รีบเงยหน้าขึ้นหา มองเห็นชายหนุ่มหน้าตาเย็นชาผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไม่ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้มองเห็นว่าบนร่างของอีกฝ่ายมีอักขระหลายตัวร้อยเรียงกันคล้ายสายโซ่ลอยวนอยู่บนร่าง

แค่มองแวบเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกปวดดวงตา ราวกับว่าโลกด้านหน้ากลายเป็นสีดำไปหมด เขารีบดึงสายตากลับคืนมา รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างน่ากลัวเหลือเกิน ตอนที่อ่านแผ่นหยก ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันค้นพบอย่างกะทันหันว่าคำแนะนำของลูกศิษย์สำนักธาราโอสถนั้นละเอียดที่สุด ส่วนสำนักธาราทมิฬก็ค่อนข้างครบถ้วน แต่ข้อมูลของสำนักธาราโลหิตกลับมีเพียงสองข้อ

“สำนักธาราโลหิต สวีเสี่ยวซาน พรสวรรค์ธรรมดา สายเลือดบริสุทธิ์ของบุรพาจารย์รุ่นแรกของสำนักธาราโลหิต ตำแหน่งสูงส่ง นิสัยเหมือนลูกผู้ดีมีเงิน ของวิเศษมากมายนับไม่ถ้วน!”

“สำนักธาราโลหิต ซ่งเชวีย ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่ง ถูกขนานนามว่าอู๋จี๋น้อย มีพลังอำนาจอย่างอู๋จี๋จื่อเมื่อแปดร้อยปีก่อน วิชายุทธ์ไม่แน่ชัด มีเพียงการรบสยบสวรรค์ครั้งเดียว ใช้ตบะของรวมลมปราณสังหารนักพรตสร้างฐานรากเป็นประวัติการณ์ สำหรับลูกศิษย์รวมลมปราณแล้ว คนผู้นี้อันตรายอย่างถึงที่สุด หากฆ่าได้ถือเป็นการสร้างคุณความดีอย่างใหญ่หลวง!” ข้อมูลส่วนแรกของสำนักธาราโลหิตยังถือว่าปกติ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจ แต่ข้อมูลที่สองนี้ หลังจากที่เขาอ่านแล้วก็ต้องสำลักลมหายใจ ตาเหลือกทันที

“ฆ่า…ฆ่าสร้างฐานราก?” ใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน รู้สึกเหลือเชื่อ ยิ่งตัดสินใจเป็นแม่นมั่นแล้วว่าคนเหี้ยมโหดแบบนี้ น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของกุ่ยหยา ชีวิตเล็กๆ ของตัวเองจะเอามาทิ้งไว้ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด

เขาพบว่าคนของสี่สำนักในครั้งนี้น่ากลัวเกินไป ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้พอฝืนยอมรับความเหลือเชื่อนี้ได้ แต่อยู่ๆ ในใจก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

“ไม่รู้ว่าในแผ่นหยกของอีกสามสำนักจะมีข้อมูลของข้าอยู่หรือเปล่า แล้วถ้ามีจะแนะนำข้าไว้เช่นไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่รู้ขึ้นมาโดยพลัน และขณะที่ความอยากรู้ของเขากำลังดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นครุ่นคิดว่าจะลองหาลูกศิษย์ของสองสำนักที่หน้าตาเป็นมิตร แล้วขอแลกเปลี่ยนข้อมูลกันสักหน่อยนั้นเอง ทันใดนั้นความกดดันระลอกหนึ่งก็ตรงดิ่งลงมาจากฟากฟ้า

ตลอดทั้งนภากาศกลายเป็นสีเลือด สำนักธาราโลหิต…มาถึงแล้ว!

ไม่เหมือนกับค่ายกลนำส่งของสำนักธาราเทพ เมื่อสำนักธาราโลหิตปรากฏตัวอยู่เหนือภูเขาปี้ฟาง พลันเกิดเป็นรูปมือขาดสีเลือดขนาดมหึมาข้างหนึ่ง มือขาดนี้ใหญ่มาก คล้ายจะปิดท้องฟ้าได้เกือบครึ่ง บดบังแสงอาทิตย์ ย้อมชั้นเมฆบนนภาให้กลายเป็นสีชาด

เวลานี้บนมือขาดข้างนี้มีดวงตาขนาดยักษ์ค่อยๆ ลืมขึ้นมา ในดวงตามีเส้นเลือดฝอย แผ่ความเย็นยะเยียบและความน่าพิศวง เพียงแค่กะพริบตาลงหนึ่งครั้ง ตลอดทั้งเขาปี้ฟางก็สั่นสะเทือนทันที พื้นที่ว่างเปล่าตรงกลางระหว่างสามสำนักมีเงาร่างนับร้อยปรากฏกาย แต่ละร่างจากที่พร่าเลือนก็ชัดเจนขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อร่างของทุกคนเห็นเด่นชัดก็ยิ่งมีอำนาจกดดันแผ่กระจายออกมาจากท้องฟ้า คล้ายว่าหากมีคนกล้าฉวยโอกาสนี้ลอบโจมตี ถ้าเช่นนั้นมือขาดที่อยู่บนท้องฟ้าก็จะส่งพลังดับโลกาลงมาทำลายทุกคนที่ลอบจู่โจม

ฟ้าดินสั่นคลอน เงาร่างของสำนักธาราโลหิตที่ปรากฏขึ้นมีจำนวนมากกว่าสามสำนักที่เหลือ ซึ่งมีมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดคน เมื่อหักผู้แข็งแกร่งสร้างฐานรากที่เป็นผู้นำขบวนซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดแล้ว ลูกศิษย์ก็จะมีหนึ่งร้อยยี่สิบคนพอดี

ลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิตเหล่านั้น แต่ละคนสวมชุดคลุมยาวสีแดง สีหน้าเย็นชา คล้ายมีกลิ่นอายความกระหายเลือดให้เห็นรำไร ตอนที่มองมายังสามสำนักรอบด้านก็ทำท่าราวกับหมาป่าเห็นลูกแกะ

ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้ไม่ว่าลูกศิษย์คนใดของสำนักธาราโลหิตล้วนดูดุร้ายอย่างถึงที่สุด บนร่างของพวกเขามีไอชั่วร้ายรุนแรงลอยออกมา ดูเหมือนว่าระหว่างพวกเขาเองก็ไร้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน หลังจากที่ปรากฏตัวออกมาก็แยกย้ายกันทันที ทุกคนล้วนนั่งขัดสมาธิโดยรักษาระยะห่างกับคนอื่น

ลูกศิษย์สำนักธาราโอสถตื่นตระหนกกันไปหมด มีเพียงจ้าวโหรวและฟางหลินเท่านั้นที่ดวงตาเปล่งประกายแสงวาววับ ระมัดระวังตัวมากขึ้น

สำนักธาราทมิฬเองก็เป็นเช่นเดียวกัน นอกจากศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นแล้ว ลูกศิษย์คนอื่นล้วนใจสั่น ผวาพรั่นพรึงไปกับอำนาจสยบจากกลิ่นอายชั่วร้ายของลูกศิษย์สำนักธาราโลหิต

ในสำนักธาราเทพเองก็มีเสียงสูดลมหายใจเบาๆ ดังลอยมาให้ได้ยินเช่นกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ตอนที่มองไปยังสำนักธาราโลหิตก็นึกถึงคำแนะนำเกี่ยวกับสำนักธาราโลหิตในแผ่นหยกขึ้นมา

ในด้านของกฎสำนัก สำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาเน้นย้ำในเรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็ก สามารถเผชิญหน้ากับการถูกข่มขู่เอาชีวิตจากคนกันเองในสำนักได้ตลอดเวลา แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสำนักมาร ดังนั้นลูกศิษย์ที่เติบโตขึ้นมาภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้จึงมีแต่พวกใจดำอำมหิต

“นี่มันสำนักมารชัดๆ…คนสำนักเดียวกันยังเข่นฆ่ากันเองได้หน้าตาเฉย น่ากลัวเกินไปแล้ว สำนักธาราเทพของเรานี่แหละดีที่สุดแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลาย ยิ่งระแวดระวังสำนักธาราโลหิตมากยิ่งขึ้น มองหาคนสองคนที่แนะนำเอาไว้ในแผ่นหยก

ที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษคือซ่งเชวีย ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่สามารถสยบฟ้าฆ่านักพรตสร้างฐานรากได้คนนั้น ไม่ว่าเขาจะสังหารด้วยวิธีไหน สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ก็พิสูจน์ถึงความน่ากลัวของเขาได้มากพอแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนหาซ่งเชวียเจออย่างรวดเร็ว นี่คือชายหนุ่มที่รูปโฉมธรรมดา ทว่าตลอดทั้งร่างกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยกระไอความเย็นเยียบ เสื้อคลุมยาวของเขาต่างไปจากผู้อื่น ไม่ได้เป็นสีแดงสด แต่เป็นสีแดงอมม่วง ขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น รัศมีหลายจั้งรอบกายเขาไม่มีคนอยู่ใกล้เลยแม้แต่คนเดียว

อีกทั้งระดับความรุนแรงของกระไอดุร้ายของเขาก็เหนือล้ำเกินกว่าลูกศิษย์คนอื่น ไอดุร้ายนี้แทบจะกลายมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ มองไปปราดเดียวก็เห็นได้ว่าความว่างเปล่ารอบด้านเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยๆ

ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปนั้น ซ่งเชวียผู้นี้ก็มองมาทางป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นเดียวกัน คล้ายว่าเขาเองก็กำลังมองหาป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ พริบตาที่คนทั้งสองประสานสายตากันแน่นิ่งนั้น ความรู้สึกถึงวิกฤตร้ายแรงทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกเช่นนั้นประหนึ่งว่าเขาได้ย้อนกลับไปอยู่ในผืนป่าไร้นาม ย้อนกลับไปตอนที่เข่นฆ่ากับเฉินเหิง

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version