Skip to content

A Will Eternal 143

บทที่ 143 ต้องจงใจแน่นอน

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ ดึงสายตากลับมา มองไปยังคนอื่น หาสวีเสี่ยวซานที่แนะนำไว้ในแผ่นหยก

สวีเสี่ยวซานผู้นี้หาเจอได้ง่ายที่สุด รูปลักษณ์งามสง่า สีหน้าแฝงไว้ด้วยความลำพองใจ เวลามองคนอื่นมักจะเชิดหน้าขึ้น คล้ายว่าไม่มีสรรพสิ่งใดหรือคนใดที่คู่ควรแก่การมองของเขา วางมาดของลูกหลานผู้ลากมากดี โดดเด่นเป็นพิเศษ

ข้างกายของเขายังมีหญิงสาวหน้าตาสวยงามยืนประกบอยู่อีกสองคน

คนหนึ่งบีบนวดไหล่ให้เขา ส่วนอีกคนยืนปอกผลไม้สดส่งเข้าปากเขา

ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เวลาเดียวกันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ค่อยๆ ค้นพบว่าลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิตเป็นเหมือนซ่งเชวีย สายตาของคนส่วนใหญ่เหมือนจะมองมาที่ร่างของตัวเอง

ซึ่งต่างไปจากความไม่ยอมแพ้ของสำนักธาราโอสถ ความดูหมิ่นของสำนักธาราทมิฬ สายตาของสำนักธาราโลหิตส่วนใหญ่แล้วแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว แต่ที่ยิ่งมากกว่าคือความคิดอยากสังหาร

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปากคอแห้งผากเล็กน้อย สายตาของลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตทำให้เขารู้สึกแปลกแปร่ง ยิ่งรู้สึกสงสัยใคร่รู้ต่อข้อมูลในแผ่นหยกของลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตรุนแรงขึ้นไปอีก

นักพรตนำขบวนของสำนักธาราโลหิตคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีแดงสด แม้แต่เส้นผมของเขาก็ยังเป็นสีชาด ใบหน้าขาวซีด หลังค่อมน้อยๆ ดวงตาทั้งคู่เคลือบคลุมด้วยความทึบทะมึน เมื่อกวาดตามองผู้คนรอบด้านยังแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากด้วย

และลิ้นของเขาไม่เหมือนของคนปกติ เพราะปลายลิ้นของเขาแบ่งออกเป็นสองแฉกไม่ต่างไปจากลิ้นงู ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนหนังหัวชาดิก

โอวหยางเจี๋ย นักพรตแซ่ไห่และนักพรตแซ่หลินไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไป แต่หันมามองสำนักธาราโลหิตอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะตอนที่สายตามองไปยังผู้เฒ่าลิ้นงูของสำนักธาราโลหิต นักพรตไห่ นักพรตหลินหน้าเผือดสี สูดลมหายใจเฮือก แม้แต่โอวหยางเจี๋ยเองก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“เสอหลินจื่อ สำนักธาราโลหิตของเจ้ามาสาย” โอวหยางเจี๋ยเอ่ยปากขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยคำพูดไม่เป็นมิตร

“หึๆ มิใช่ว่าข้าผู้อาวุโสมาช้า แต่พวกเจ้าทั้งสามสำนักต่างหากที่มาเร็ว” ผู้เฒ่าลิ้นงูคนนั้นกลอกตาหนึ่งครั้ง เอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มเสแสร้ง มองโอวหยางเจี๋ยด้วยดวงตาเหี้ยมเกรียม

ประกายแสงจากดวงตาของคนทั้งสองแฝงเร้นไว้ด้วยคาถาเนตรอาคมบางอย่าง ซึ่งร่ายออกมาทันทีที่สบตากัน คล้ายมีเสียงกัมปนาทที่ไม่อาจได้ยินระเบิดอยู่ระหว่างคนทั้งสอง โอวหยางเจี๋ยเปล่งเสียงอึกอักอยู่ในลำคอ สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ถอยร่นสองสามก้าวกลับไปอยู่ด้านหน้ากลุ่มคนของสำนักธาราเทพ

ผู้เฒ่าลิ้นงูคนนั้นก็ดวงตาเปล่งประกายวาบ เลือดลมในร่างกายซัดโหม ถอยหลังไปครึ่งก้าว เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาฉายแววแปลกใจ

“ผู้เฒ่าโอวหยาง ไม่เจอกันหลายปี ตบะก้าวหน้าไปไม่น้อย เอาเถอะ พวกเรายังมีเวลาพูดคุยเรื่องในอดีตกันอีกเยอะ ในเมื่อสำนักธาราโลหิตของข้ามาถึงแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มเปิดหุบเหวกระบี่อุกกาบาต ประลองกันให้เร็วเข้าเถอะ!” ผู้เฒ่าลิ้นงูยกมือขวาขึ้นก็มีเศษชิ้นส่วนของแผ่นหยกชิ้นหนึ่งลอยออกมากลางอากาศ

สองนักพรตไห่หลินมองกันและกัน จากนั้นก็หยิบเอาชิ้นส่วนแผ่นหยกของตัวเองออกมาเช่นกัน หลังจากโยนออกไปแล้ว บวกกับชิ้นที่สี่ซึ่งโอวหยางเจี๋ยตวัดแขนเสื้อโยนออกไป พริบตาเดียวเศษชิ้นส่วนทั้งสี่นั้นก็ประกอบเข้าด้วยกันกลางอากาศ กลายมาเป็นแผ่นหยกที่สมบูรณ์แบบหนึ่งแผ่น

เมื่อเปล่งแสงกะพริบพร่างพราย ม่านแสงคุ้มกันบนรอยแตกใกล้พื้นดินด้านข้างกระบี่อุกกาบาตก็ค่อยๆ เคลื่อนออกเป็นรูโหว่เส้นหนึ่ง ดูท่าทางแล้วเวลาประมาณเกือบครึ่งก้านธูปก็สามารถเปิดออกเป็นทางเข้าทางหนึ่งได้

ภาพนี้ดึงดูดความสนใจจากนักพรตรวมลมปราณทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้น ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป เสียงของโอวหยางเจี๋ยก็ดังสะท้อนอยู่ข้างหูของลูกศิษย์สำนักธาราเทพทุกคน

“ทางเข้าของโลกในกระบี่มีทั้งหมดสี่สิบกว่าแห่ง ทุกทางเข้าสามารถเข้าได้มากสุดสิบคน และการรบครั้งแรกของทุกครั้งก็มักจะเริ่มขึ้นที่การช่วงชิงทางเข้า การซุ่มโจมตีด้านในสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าควรร่วมมือกัน ดูแลตัวเองให้ดี!”

“จำเรื่องที่พวกข้าเคยกำชับพวกเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ให้ดี เมื่อเจอลูกศิษย์ของสำนักอื่นห้ามใจอ่อน ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องปกป้องชีวิตตัวเอง ฆ่าได้ก็ฆ่า รีบเก็บปราณชีพจรดินไว้ในขวดนักพรตให้ได้เร็วที่สุดเพื่อรวบรวมตัวล่อปราณชีพจรดิน เขย่าคลอนปราณชีพจรดินทั้งหมดในโลกกระบี่อุกกาบาต!”

ขณะที่โอวหยางเจี๋ยกำชับทุกคนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ นักพรตสร้างฐานรากผู้นำขบวนของอีกสามสำนักก็กำลังสั่งการลูกศิษย์ของสำนักตัวเองด้วยคำพูดคล้ายคลึงกัน

โอวหยางเจี๋ยยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ขวดเล็กๆ สีฟ้าจำนวนหนึ่งร้อยขวดก็ตรงดิ่งเข้าหากลุ่มคน ทุกคนล้วนถือเอาไว้ในมือ

“นี่ก็คือขวดนักพรต!” และเวลานี้เอง ม่านแสงคุ้มกันได้เกิดเสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว รอยแยกบนพื้นดินรอบด้านกระบี่อุกกาบาตกระชากตัวออกจากกันด้วยความรวดเร็ว กลายมาเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ประมาณสามจั้ง

เมื่อเข้าไปในช่องโหว่นี้ก็จะสามารถเข้าไปในหุบเหวผ่านทางรอยปริแตกเล็กใหญ่ที่อยู่บนพื้นเหล่านั้นได้ ในส่วนพื้นที่ของหุบเหวก็จะมองเห็นช่องโหว่มากมายของกระบี่อุกกาบาต ไม่ว่าจะเหยียบย่างเข้าไปในช่องโหว่ใดก็ล้วนสามารถเข้าสู่โลกกระบี่อุกกาบาตได้

“สี่สำนักใหญ่ร่วมกันตรึงกำลังไว้ และยังมีบุรพาจารย์คอยคุมเชิง ทำให้นักพรตสร้างฐานรากมิอาจเหยียบย่างเข้าไปด้านใน ทว่าไม่สามารถอยู่ได้นานเกินไปนัก การเปิดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ยืนหยัดได้เพียงสามเดือนเท่านั้น เมื่อผ่านสามเดือนไปแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ล้วนจำเป็นต้องออกมา ข้าผู้อาวุโสจะรอรับพวกเจ้าอยู่ข้างนอก”

“นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่มีทางเจอเรื่องที่ร้ายแรงอย่างถึงที่สุด ทว่าลูกศิษย์รุ่นผ่านๆ มาที่ได้เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ล้วนได้รับการแจ้งเตือน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้มีการวางค่ายกลนำส่งสี่ค่ายจากบุรพาจารย์ของสี่สำนักใหญ่ ขอแค่สถานที่แห่งนี้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงจนก่อเกิดเป็นพลังที่ไม่สามารถต่อต้านได้ขึ้นมา ค่ายกลจะถูกกระตุ้นให้ทำการแยกพวกเจ้าโดยดูจากวิชาที่พวกเจ้าฝึกฝน แล้วนำตัวพวกเจ้าส่งไปยังสำนักของใครของมัน แม้อาจจะผิดพลาดบ้าง แต่ก็ยังคงพาพวกเจ้าส่งไปในขอบเขตของสำนักตัวเอง”

“พลังที่ไม่สามารถต่อต้านได้ ไม่รวมการเข่นฆ่าทั้งหมดระหว่างลูกศิษย์ทั้งสี่สำนัก! สุดท้าย ไม่ว่าจะสร้างฐานรากชีพจรดินสำเร็จหรือไม่ ข้าผู้อาวุโสก็หวังว่าพวกเจ้า…จะมีชีวิตรอดกลับออกมา!” โอวหยางเจี๋ยกวาดตามองทุกคน ใบหน้าที่เย็นชาอยู่ตลอดเวลาของเขา ยามนี้เผยให้เห็นถึงความอ่อนโยน ขณะที่มองลูกศิษย์เหล่านี้ นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยแววให้กำลังใจ และยิ่งฉายแววคาดหวังตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนและกุ่ยหยา

เวลานี้เห็นว่าทางเข้าได้เปิดออกแล้ว ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตจึงทะยานออกมา ตรงดิ่งเข้าไปในช่องโหว่ทันที

ในสำนักธาราเทพ กุ่ยหยาเป็นคนแรกที่พุ่งออกไป ซ่างกวานเทียนโย่วตามหลัง จากนั้นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นๆ ก็พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ใช้ความเร็วที่สุดที่มีควักเอาเสื้อหนังเจ็ดแปดตัวออกมาจากในถุงเก็บของ สวมใส่ไปพลางหยิบหม้อสีดำใบใหญ่ออกมาอีกหนึ่งใบ ตอนที่สะพายไว้ด้านหลัง ดวงตาของเขาก็เผยความเด็ดเดี่ยว ข่มใจที่สั่นหวิว กัดฟันเหยียบย่างเข้าไปในทางเข้า ไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง แต่เดินตามหลังลูกศิษย์สำนักธาราเทพจำนวนไม่น้อย เข้าไปด้านในพร้อมกัน

ไม่นานลูกศิษย์ของทั้งสี่สำนักใหญ่ก็พากันเหยียบเข้าไปในรอยแยก หลังจากหายวับไปจนไม่เหลือใครแล้ว โอวหยางเจี๋ยและผู้เฒ่าลิ้นงู รวมทั้งนักพรตไห่และหลินสองคนต่างมองหน้ากันไปมา ไม่พูดอะไร ต่างฝ่ายต่างนั่งขัดสมาธิตรงตำแหน่งทางเข้า นั่งรอเงียบๆ ทั้งคอยระแวดระวังภัย และคอยปกปักษ์พิทักษ์ไปด้วย

รอยแยกบนพื้นดินรอบด้านกระบี่อุกกาบาตมีเยอะมาก ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ลูกศิษย์สำนักธาราเทพไม่ได้เลือกอยู่ด้วยกันทั้งหมด อย่างพวกกุ่ยหยา เป่ยหันเลี่ยและกงซุนหว่านเอ๋อร์ ต่างจากไปเพียงลำพัง

คนอื่นๆ ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มตามชายฝั่งเหนือใต้ เลือกเข้าไปในหุบเหวกันคนละรอยแยก สำนักธาราโอสและสำนักธาราทมิฬส่วนใหญ่ก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน มีเพียงสำนักธาราโลหิตที่ลูกศิษย์ต่างไม่เชื่อใจกัน ส่วนใหญ่ล้วนแยกกันเดินทาง ถึงแม้ว่าจะมีร่วมมือกันแต่อย่างมากที่สุดก็แค่อยู่ด้วยกันสองสามคนเท่านั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนแบกหม้อสีดำใบใหญ่ ใบหน้าระแวดระวังแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น คอยเดินตามหลังลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ เมื่อเข้าไปในหุบเหวเขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่มาอย่างกะทันหันทันที มีไอความเย็นเป็นระลอกลอยขึ้นมาจากในหุบเหวอย่างต่อเนื่อง คล้ายจะมุดลอดเข้าไปในร่างกายเพื่อทำให้เลือดลมจับตัวแข็ง แต่ดูเหมือนว่าหนังของเขาหนาเกินไป หนาจนถึงขั้นที่ว่าไอเย็นนี้ก็ยังไม่สามารถทะลุลอดเข้าไปได้…

ยิ่งลงไปด้านล่างไอเย็นก็ยิ่งมีมาก ยังดีที่ตรงนี้ห่างจากพื้นดินไม่ไกลนัก เมื่อทุกคนเคลื่อนไหวตบะในร่าง ไอเย็นก็ถูกขับออกมาภายนอก จึงไม่เกิดปัญหาอะไร

เพียงแต่ว่าตอนที่พวกลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนดันตามหลังกลุ่มของตัวเองมา ในใจก็ให้แปลกพิกล ทว่าก็รู้สึกตะลึงระคนดีใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มีป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ด้วย พวกเขารู้สึกว่าความปลอดภัยของตัวเองมีเพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย พวกเขาล้วนอยู่ในขั้นรวมลมปราณสิบกันทั้งหมดแล้ว แม้ว่าจะภาคภูมิใจ ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะมีความรู้สึกเช่นไรต่อตัวป๋ายเสี่ยวฉุน แต่สำหรับระดับความแข็งแกร่งของเขาแล้ว พวกเขาล้วนยอมรับนับถือ

เวลานี้แต่ละคนล้วนเปิดทาง เดินล้อมอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน ประสานมือคารวะ

“คารวะอาจารย์อาป๋าย!”

“อาจารย์อาป๋ายคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า เลือกมาอยู่กับพวกเรา ไม่เหมือนพวกซ่างกวานเทียนโย่วที่จากไปเพียงลำพัง”

“นี่ต่างหากถึงจะเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจชายฝั่งทิศใต้ของเรา อาจารย์อาป๋าย ข้าชื่อโจวโหย่วเต้า ยังจำข้าได้ไหม ตอนนั้นที่ท่านสร้างฝนกรดขึ้นมา ทำเอาข้าอนาถหนักเลย…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นทุกคนเปิดทางให้จนกลายเป็นว่าตัวเองมาอยู่ด้านหน้าสุดก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ในความเป็นจริงแล้วเขาวางแผนไว้ว่าจะอาศัยจำนวนคนที่มาก ตัวเองเดินตามอยู่ด้านหลังจะได้ปลอดภัยมั่นคงขึ้นมาหน่อย แต่พอได้ยินคำพูดของคนรอบด้านเขาก็กะพริบตา ไอแห้งๆ ขึ้นมาหนึ่งครั้ง เชิดหน้าขึ้น วางมาดของผู้อาวุโส

“ฮ่าๆ พวกเจ้าไม่ต้องกังวล มีตัวข้าอยู่ด้วย ใครกล้ามาหาเรื่องพวกเจ้าก็ลองดู!”

ทุกคนปลื้มปิติ ห้อมล้อมผลักดันให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะลูกศิษย์เขาจื่อติ่งโจวโหย่วเต้าผู้นั้นที่ยิ่งมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า

โหวอวิ๋นเฟยยืนอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน มองมาดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งท่าออกมา แล้วก็มองสีหน้าราวกับผู้อาวุโสของเขา โหวอวิ๋นเฟยยิ้มพราย รู้สึกคล้ายได้กลับไปตอนศึกตระกูลลั่วเฉินอีกครั้ง

“เสี่ยวฉุน สู้ๆ นะ ต้องสร้างฐานรากชีพจรดินได้สำเร็จแน่นอน!” โหวอวิ๋นเฟยเอ่ยปากเสียงเบา

“ข้าก็อยากเหมือนกัน แต่ท่านว่าคนพวกนี้จงใจหรือเปล่า…เดิมทีข้าคิดจะเดินตามหลังพวกเขา ไหงกลายมาเป็นว่าพวกเขาเดินตามหลังข้าเสียได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจ รีบพูดกับโหวอวิ๋นเฟยด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

โหวอวิ๋นเฟยหน้าปูเลี่ยน ไอแห้งๆ ขึ้นมา อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าที่ใดก็ตามที่มีป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ ต่อให้จะเคร่งเครียดแค่ไหน อันตรายมากเพียงใด ก็คล้ายว่าจะเปลี่ยนมาเป็นพิเรนทร์และสนุกสนานขึ้นมาได้ในพริบตา…

“ช่างเถอะๆ ใครใช้ให้ข้าเป็นลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ เป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนักกันล่ะ ตอนที่อยู่ชายฝั่งทิศใต้ เพราะการหลอมยาของข้าจึงทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนไปด้วย ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนมีเหตุมีผล!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอบใจตัวเอง ยืดอกตั้ง วางมาดของยอดฝีมือ ทว่าในใจตึงเครียด รุดหน้าไปด้วยความระมัดระวัง

ในรอยแยกเส้นนี้ก็มีลูกศิษย์ของสำนักอื่นอยู่เช่นกัน มีทั้งอยู่เพียงลำพัง และมีทั้งเป็นกลุ่มสามคนห้าคน พอมองเห็นกลุ่มคนจำนวนหลายสิบคนนี้จึงพากันหลีกทาง ไม่ได้เข้าไปหาเรื่อง ต่อให้เป็นคนที่รู้สึกว่าฝีมือของตัวเองไม่ธรรมดาก็ยังแค่เผยประกายเย็นเยียบในดวงตาเท่านั้น ไม่ได้หยุดรอ รีบจากไปด้วยความรวดเร็ว

ไม่นานเบื้องหน้ากลุ่มคนก็มีช่องโหว่ของตัวกระบี่หนึ่งช่อง มีรุ้งยาวสองเส้นกำลังห้อทะยานเข้ามา อยู่ห่างอีกไม่มากนัก

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกยอมไม่ได้ขึ้นมาทันที ลูกศิษย์สำนักธาราเทพหลายสิบคนที่อยู่รอบกายเขาแต่ละคนก็มีสีหน้าไม่เป็นมิตร ทุกคนทำมุทรา พริบตาเดียวเวทอาคมของทุกคนก็พุ่งตูมตามไปด้านหน้า

นักพรตที่อยู่ในรุ้งยาวสองเส้นนั้นมาจากสำนักธาราโลหิต ทั้งสองคนหน้าเปลี่ยนสี รีบพลิกตัวกลับ เลี่ยงจากไปทันที ทว่าเวทอาคมของกลุ่มคนรอบด้านมีมากเกินไป ถึงแม้พวกเขาจะพอหลบเลี่ยงได้บ้าง แต่ก็ยังคงตกลงมาโดนตัว พอกระอักเลือดสดจึงรีบถอยหลังกรูด มองมายังกลุ่มคนของสำนักธาราเทพด้วยดวงตาดุดัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนดีใจ เขาพบว่าคนมากพลังมากอย่างที่คิดไว้จริงๆ เพียงแค่นี้ก็ได้ช่องโหว่หนึ่งแห่งมาครอบครองอย่างง่ายดาย แต่ด้วยฐานะของตัวเองจึงได้แต่กระแอมหนึ่งครั้ง ไม่ได้เหยียบย่างเข้าไป แต่ปล่อยให้คนอื่นเข้าไปก่อน

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version