บทที่ 144 นายท่านป๋ายขอสู้ตายกับเจ้า
ส่วนเรื่องที่ว่าในทางเข้าจะมีการซุ่มโจมตีอยู่หรือไม่นั้น นั่นเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงพึ่งพาตัวเอง แผ่นหยกเองก็ไม่มีข้อมูลใดๆ ส่งออกมาให้ ทว่าหากคนในสำนักเดียวกันเข้าไปทีละมากๆ ถ้าเช่นนั้นขอแค่ไม่ใช่การซุ่มโจมตีที่โหดร้ายอย่างถึงขีดสุด โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
หลังจากช่องโหว่นี้มีคนเข้าไปสี่คนแล้ว โหวอวิ๋นเฟยเองก็เลือกที่จะเหยียบย่างเข้าไปเช่นกัน ก่อนจะเข้าไปเขาบอกกับป๋ายเสี่ยวฉุนว่าหากครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา หวังว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะช่วยดูน้องชายร่วมตระกูลของเขาอย่างโหวอวิ๋นชิง นอกเหนือจากโหวอวิ๋นเฟยที่เป็นผู้สืบทอดตระกูลโหวแล้ว โหวอวิ๋นชิงผู้นี้ก็เป็นลูกหลานที่ได้รับความสำคัญมากที่สุดเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในสำนักธาราเทพ ยังคงฝึกบำเพ็ญตบะอยู่ที่ตระกูลของตัวเอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบพูดปลอบใจ บอกโหวอวิ๋นเฟยว่าอย่ามองโลกในแง่ร้ายและแอบส่งยันต์ให้เขาหนึ่งปึก โหวอวิ๋นเฟยตื่นตะลึงไปกับยันต์ปึกนี้ มองเห็นจำนวนแล้วก็สำลักลมหายใจขึ้นมาทันที ในใจรู้สึกซาบซึ้ง พยักหน้าให้ป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนจะเดินเข้าไปด้านในด้วยความเคร่งขรึม
เมื่อเงาร่างของเขาหายไป ช่องโหว่ก็ค่อยๆ มืดดับลง ไม่สามารถเข้าไปได้อีก คนที่เหลือจึงห้อทะยานไปยังจุดด้านล่างต่อไป แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นห่วงโหวอวิ๋นเฟย แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้วว่าห้าคนเข้าไปในช่องโหว่เดียวกันก็น่าจะไม่มีปัญหา ดังนั้นจึงพากลุ่มคนที่เหลือรุดหน้าต่อไป
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป พวกเขาพูดคุยกันยิ้มแย้มสนุกสนาน พูดถึงเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยกระทำตอนอยู่ชายฝั่งทิศใต้ พูดถึงแผนการและความฝันวันข้างหน้าของตัวเอง เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนตบอกบอกกับทุกคนว่าความฝันของตนก็คือได้เป็นอมตะนั้น ทุกคนต่างหัวเราะครืนกันขึ้นมา โจวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งพูดด้วยเสียงอันดังว่าความฝันของตัวเองคือได้เป็นบุรพาจารย์แห่งสำนักธาราเทพ
บัดนี้คล้ายว่าเส้นทางสร้างฐานรากที่โหดร้ายทารุณเส้นนี้ได้ผ่อนคลายขึ้นมาอีกเยอะมาก ภายใต้การนำของป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนบดขยี้สำนักอื่นมาตลอดทาง เห็นช่องโหว่เมื่อใดก็จะตรงเข้าไปแย่งชิงเมื่อนั้น และเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังสะท้อนอยู่ในหุบเหวลึกแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
“พวกเราลุย!”
“ที่นี่เป็นของพวกเราแล้ว!”
“หลีกไปๆ ที่นี่เป็นของพวกเราแล้ว!”
“โอ๊ะโอ กล้าถลึงตาใส่ข้ารึ พวกเราตี!”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเช่นนี้ดังมาตลอดทาง ลูกศิษย์สำนักธาราเทพที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกคนจะเหยียบย่างเข้าไปในช่องโหว่ล้วนหันมาขอบคุณป๋ายเสี่ยวฉุน และความรู้สึกที่ว่าตนเองแค่โบกมือ ลูกศิษย์รอบด้านก็พากันลงมือ หนึ่งเสียงร้องร้อยเสียงตอบรับเช่นนี้ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจอย่างยิ่งเช่นกัน
“นี่ก็คือความรู้สึกของคนที่ได้เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจสินะ มิน่าล่ะคนมากมายถึงได้พยายามกลายมาเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจกันขนาดนั้น” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังปลดปลงอยู่นั้น พลันมองเห็นว่าตำแหน่งตัวกระบี่ด้านหน้ามีคนสิบกว่าคนกำลังแย่งชิงกัน เพราะที่นั่นมีช่องโหว่อยู่ถึงสามช่อง เพียงแต่ว่ารอบด้านช่องโหว่สามช่องนี้ล้วนมีลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตอยู่ช่องละสองคน ทั้งหกคนนั้นแข็งแกร่งมาก สามารถสกัดกั้นคนแปดเก้าคนที่พยายามจะบุกเข้าไปไว้ได้
ขณะที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ลูกศิษย์สำนักธาราเทพสิบกว่าคนที่เหลืออยู่ด้านหลังเขาในเวลานี้ต่างก็ฮึกเหิมขึ้นมาเช่นกัน ท่ามกลางเสียงคำรามดังลั่นของป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนก็พุ่งถลาออกไปด้วยความรวดเร็ว
“ที่นี่เป็นของพวกเราแล้ว!”
ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตหกคนนั้น เพื่อปฏิบัติภารกิจที่สำนักมอบหมายให้จึงเฝ้าอยู่ตรงนี้มานานมากแล้ว เวลานี้ทุกคนล้วนอ่อนเพลียไม่น้อย มองเห็นว่าสำนักธาราเทพมากันสิบกว่าคน พวกเขาทั้งหกก็หน้าเปลี่ยนสีทันที ชั่วขณะที่พวกป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงก็มุดเข้าไปในช่องว่างหายวับไปกับตาอย่างไร้ซึ่งความลังเล
ลูกศิษย์ของสำนักธาราโอสถและสำนักธาราทมิฬที่อยู่รอบด้านกำลังจะพุ่งตามเข้าไป แต่กลับถูกเวทอาคมตรงเข้ากระแทกจนกระเด็นออก พอมองไปอีกทีก็เห็นว่านอกช่องโหว่ทั้งสามช่องนั้นถูกพวกป๋ายเสี่ยวฉุนยึดครองเอาไว้แล้ว
“หึๆ ยอมหลีกทางให้ซะดีๆ วันนี้นายท่านป๋ายของเจ้าอารมณ์ดี จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ” ป๋ายเสี่ยวฉุนอาศัยว่ามีคนเยอะจึงเอ่ยปากอย่างลำพองใจ แปดเก้าคนที่อยู่รอบด้านหน้าเปลี่ยนสีทันที
“เขาอีกแล้ว!!”
“คนผู้นี้นามว่าป๋ายเสี่ยวฉุน เขาเป็นคนน่ารังเกียจยิ่งนัก ตลอดทางมานี้เขาพาคนแย่งข้ามาสามครั้งแล้ว!”
“บัดซบ เขาก็แย่งข้ามาสองครั้งแล้วเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นข้าก็ได้เข้าไปในโลกกระบี่นานแล้ว!”
พวกเขาอยู่กันคนละสำนัก ยากที่จะร่วมมือกันได้ อีกทั้งต่อให้ร่วมมือกันตอนนี้ก็ยังมีคนไม่มากเท่าสำนักธาราเทพ ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองลูกศิษย์สำนักธาราเทพหายตัวไปตามช่องโหว่ทั้งสามนั้นทีละคนด้วยความจนใจและคับแค้นใจ
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เขามองช่องโหว่ที่หนึ่งดับลงหลังจากมีคนเข้าไปห้าคน แล้วก็มองช่องที่สองดับลงหลังจากมีคนเข้าไปสามคน รู้สึกว่าตนได้สร้างเรื่องดีที่ยิ่งใหญ่ให้กับสำนัก
เวลานี้จึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง รู้สึกว่าเมื่อทำสำเร็จก็ถึงเวลาถอยทัพ ดังนั้นจึงเข้าไปใกล้ช่องโหว่ที่สามพร้อมลูกศิษย์สำนักธาราเทพอีกห้าคนที่เหลืออยู่ ดวงตาของคนแปดเก้าคนจากสำนักธาราโอสถและสำนักธาราทมิฬโชนแสง แต่ก็รู้ดีว่าต่อให้ลงมือเข้าขัดขวางตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
ต่อให้หลังจากสำนักธาราเทพเข้าไปแล้วช่องโหว่จะยังไม่มืดดับ สามารถเข้าไปต่อได้อีก ทว่าพวกเขาเองก็ไม่กล้าเข้าไป ด้วยกังวลว่าด้านในจะมีการซุ่มโจมตี
ขณะที่กำลังจะแยกย้ายกันเพื่อทำเวลาค้นหาช่องโหว่ช่องต่อไป แต่ตอนนี้เอง ทันใดนั้นดวงตาของคนแปดเก้าคนก็แข็งค้าง ถึงขั้นอึ้งตะลึงกันไปเล็กน้อย ทว่าพริบตาเดียวนัยน์ตาก็เปล่งประกายดุร้ายและเย็นชา
พวกเขาเห็นว่าหลังจากที่โจวโหย่วเต้า ลูกศิษย์คนที่ห้าของสำนักธาราเทพเข้าไปในช่องโหว่ที่สามแล้ว ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามจะเดินเข้าไป ทันใดนั้นช่องโหว่ก็พลัน…มืดดับลง
“ไม่จริงมั้ง!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อึ้งไปเช่นกัน ขณะที่ถูกบีบให้กระเด็นออกมา เขากลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก รีบหันกลับไปมองก็เห็นทันทีว่านัยน์ตาของลูกศิษย์แปดเก้าคนนั้นแฝงไว้ด้วยความไม่เป็นมิตรและกำลังค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้
ทุกคนล้วนอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณที่สิบ แต่ละคนล้วนถูกผู้คนกล่าวขานหรือถึงขั้นยกย่องว่าเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักใครสำนักมัน ถึงแม้จะสู้ลูกศิษย์ของแต่ละสำนักที่ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังเหล่านั้นไม่ได้ ทว่าก็เป็นคนที่ฝีมือไม่ธรรมดาเช่นกัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเข้าไปสิ เร็วเข้า รีบเข้าไปซี่”
“นั่นสิ หากเจ้าไม่เข้าไป พวกเราจะช่วยเจ้าเอง สับเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าไปได้”
“ฮ่าๆ กรรมตามสนองแท้ๆ ก่อนหน้านี้เจ้าพาคนแย่งข้ามาสามครั้ง ครั้งนี้ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะทำยังไง!” ทุกคนหัวเราะเสียงเย็น ไอดุร้ายแผ่อบอวล บัดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นศัตรูร่วมของพวกเขาเสียแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ยามที่คนแปดเก้าคนลงมือ มือขวาของเขาก็ตบปับไปที่ถุงเก็บของ หยิบยันต์ปึกใหญ่ออกมาตบลงไปบนหน้าอกอย่างแรงทันที ประกายแสงเปล่งระยับบาดตา ไม่นานรอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุนในรัศมียี่สิบจั้งก็กลายมาเป็นโลกแห่งม่านแสง!
และยิ่งมีเสียงปึงปังดังขึ้นๆ ลงๆ เสียงนี้ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดังใกล้เคียงกับเสียงฟ้าผ่าที่ทำให้หูดับได้
คนแปดเก้าคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนเบิกตากว้าง ในสมองดังอื้ออึง มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างหน้าด้วยความเหลือเชื่อ มองม่านแสงคุ้มกันห้าแสงสิบสีหนาพอร้อยชั้นในรัศมียี่สิบจั้งรอบกายเขา พวกเขาทุกคนก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบ คล้ายว่าไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อนในชีวิตที่ผ่านมา
“นี่…นี่มันยันต์ป้องกันมากมายเท่าไหร่กันแน่?”
“สวรรค์ เจ้าหมอนี่ต้องร่ำรวยแค่ไหนกัน เจ้าบ้าเอ๊ย ม่านแสงคุ้มกันนี่อย่าว่าแต่พวกเราเลย ต่อให้มีลูกศิษย์เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าก็ยังไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้แน่!” ลูกศิษย์เหล่านี้ล้วนใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง สะท้านสะเทือนไปกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างสมบูรณ์แบบ เวลานี้ตอนมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนนัยน์ตาเผยความตะลึงพรึงเพริดอย่างรุนแรง
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้น ยืดอกตั้งเอามือไพล่หลัง คางๆ น้อยแหงนเชิดขึ้น แต่สีหน้ากลับระทมทุกข์ คล้ายยอดฝีมือผู้เงียบเหงา…
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว มาสิ นายท่านป๋ายของพวกเจ้าขอสู้ตายกับพวกเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดัง ทำท่าพร้อมสู้ตาย
จากเสียงคำรามดังของเขา ปีกพลังแม่เหล็กในหม้อสีดำใบใหญ่ด้านหลังเขากระพือขึ้นหนึ่งครั้ง ร่างกายเพิ่มความเร็วพุ่งพรวดออกไปในพริบตา ตรงเข้าไปกระแทกบนตัวของชายหนุ่มหน้ายาวผู้หนึ่งจากสำนักธาราทมิฬ
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่ใช่ตัวเขาที่กระแทกโดนโดยตรง ชายหนุ่มหน้ายาวของสำนักธาราทมิฬผู้นั้นโดนแสงคุ้มกันของป๋ายเสี่ยวฉุนกระแทกใส่ ร้องโหยหวนอยู่นอกรัศมียี่สิบจั้ง ร่างลอยกระเด็นออกไปไกล กว่าจะหยุดลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเช็ดเลือดสดๆ ออกอย่างบ้าคลั่ง มองม่านแสงคุ้มกันหนาเป็นชั้นๆ บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งด้วยสีหน้าซับซ้อน ถอนหายใจเศร้าสร้อยหนึ่งเสียงก็หมุนตัวจากไปไกลด้วยความรวดเร็ว
เขาอัดอั้นตันใจนัก ทว่าทำอะไรไม่ได้…เขาไม่คิดว่าด้วยความสามารถของตัวเองจะสามารถทำลายม่านแสงคุ้มกันของป๋ายเสี่ยวฉุนลงไปได้ จะมาสิ้นเปลืองพลังไปกับเรื่องนี้ก็สู้รีบเข้าไปในโลกกระบี่เร็วๆ เสียดีกว่า
ภาพนี้ทำให้คนรอบด้านที่เห็นตื่นตระหนก รู้แน่แล้วว่าไม่สามารถทำอะไรป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ต่างคนต่างเร่งความเร็ว รีบร้อนจากไปพร้อมความคับข้องใจ
เพราะยังไงซะตอนนี้ก็ยังเข้าไปในช่องโหว่ไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะมาสู้สุดชีวิตกับป๋ายเสี่ยวฉุนข้างนอกนี่
“อย่าหนีสิ มาสู้ตัดสินกันจนกว่าฟ้าจะสว่างไปเลย!”
“พวกเจ้ารังแกกันมากเกินไป กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมาไม่หยุด คนพวกนั้นปวดหัวจี๊ด รีบจากไปเร็วยิ่งขึ้น
ไม่นานรอบด้านก็ว่างเปล่า ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ลึกๆ ในใจก็ผ่อนคลายลง หากคนแปดเก้าคนนี้ลงมือพร้อมกัน ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังต้องเสียเวลาพักหนึ่งทีเดียว ตอนนี้สร้างฐานรากชีพจรดินต่างหากที่สำคัญที่สุด
เขาเก็บเอากระดาษยันต์คุ้มกันรอบกายกลับมา กระดาษพวกนี้เพิ่งจะเผาไหม้ไปไม่ถึงครึ่ง ยังสามารถเอากลับมาใช้ได้ใหม่
ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าด้วยท่าทีของยอดฝีมือผู้เงียบเหงา สะบัดปลายแขนเสื้ออีกหนึ่งครั้ง
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้กินหญ้านะโว้ย!”
เขาสะบัดร่างเหินทะยานไปยังด้านล่างอย่างต่อเนื่อง มองหาช่องโหว่ของกระบี่ใหญ่ตามก้อนหินและรอยปริที่นูนขึ้นมาตามผนังรอบด้าน
เรื่องความเร็วความช้าในการเข้าสู่โลกในกระบี่ก็มีผลดีและผลเสียอยู่เช่นกัน
เข้าสู่โลกกระบี่ได้เร็วก็สามารถฆ่าสัตว์ร้ายชีพจรดินด้านในเพื่อช่วงชิงปราณชีพจรดินได้เร็ว ทว่าข้อเสียก็มีมากเช่นกัน เพราะยังไงซะในโลกของตัวกระบี่แห่งนี้ ต้องยิ่งลงไปด้านล่าง ปราณชีพจรดินที่แฝงอยู่ในสัตว์ร้ายจึงจะมีเยอะ ปราณชีพจรดินที่ได้รับจากการฆ่าสัตว์ร้ายด้านล่างหนึ่งตัวเทียบเคียงได้กับสัตว์ร้ายด้านบนหลายสิบตัว
และคิดจะรวบรวมตัวล่อปราณชีพจรดินก็จำเป็นต้องใช้ปราณของชีพจรดินจำนวนมากมหาศาล
ขณะเดียวกันโลกในตัวกระบี่ก็มีขอบเขตกว้างใหญ่ และยิ่งมีวิญญาณร้ายที่มีอยู่เฉพาะในโลกกระบี่ดำรงอยู่ด้วย บางครั้งจำเป็นต้องหลีกห่าง ดังนั้นหากคิดจะรีบเดินทางไปยังจุดลึกก็สู้ทะยานอยู่นอกตัวกระบี่ด้วยความรวดเร็วไม่ได้
เพียงแต่ว่าด้านนอกกระบี่ ยิ่งลงไปข้างล่างมากเท่าไหร่ ไอเย็นของหุบเหวก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น ถึงขั้นที่ว่าในอาณาบริเวณหนึ่ง ไม่ใช่เขตที่รวมลมปราณจะสามารถเข้าไปได้ กลับกลายเป็นว่าเมื่ออยู่ด้านในตัวกระบี่จะได้รับการปกป้องจากตัวกระบี่ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ ดังนั้นจะเข้าไปด้านในก่อนหรือไม่ จำเป็นต้องดูที่ความสามารถแท้จริงของแต่ละคน ยากที่จะชี้ชัดได้ถึงข้อดีข้อเสีย
ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความทนทานที่แน่นอนต่อไอความเย็นนี้ ใคร่ครวญว่าในเมื่อก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้าไปได้ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อนอีกแล้ว ถือโอกาสตรงดิ่งลงลึกไปยังเขตที่สุดขีดจำกัดของตัวเอง เลือกช่องโหว่หนึ่งเข้าไปจากตรงนั้นก็จะสามารถนำหน้าคนได้หลายคน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อทะยานด้วยความรวดเร็ว รอบด้านไร้เงาผู้คนนานแล้ว โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็เข้ามาเกินกว่าขีดจำกัดที่นักพรตรวมลมปราณจะเหยียบย่างเข้ามาได้ไกลโขแล้ว ไอความเย็นรอบด้านยิ่งหนาแน่น จนกระทั่งเขาเองก็สัมผัสได้ว่าร่างกายเริ่มรับไม่ไหว แขนขาเริ่มแข็งค้างอย่างช้าๆ หากลงไปด้านล่างต่อคงบาดเจ็บสาหัส
นี่ถึงทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้าลงไปมองด้านล่างหนึ่งครั้ง ดูเหมือนว่าหุบเหวแห่งนี้จะไม่มีที่สิ้นสุด ทุกอย่างมืดสนิทไปหมด
“มากสุดก็ลงไปอีกหนึ่งร้อยจั้ง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลองใช้กระดาษยันต์ต้านทานไอหนาว หลังจากพบว่าไม่ได้ผลก็ส่ายหัว เริ่มมองหาช่องโหว่บนกระบี่ยักษ์ ทว่าผ่านไปไม่นาน หลังจากที่ลงลึกมาอีกสามสิบกว่าจั้ง ทันใดนั้นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องชะงักกึก มองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งอยู่ด้านข้างกระบี่ใหญ่ห่างออกไปไม่ไกล
คนผู้นี้ก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนในทันทีเช่นกัน พริบตาที่สายตาของคนทั้งสองมองประสานกันท่ามกลางไอหมอกหนาวเย็น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำคนที่มีสายตาดุร้ายเย็นชาผู้นี้ได้โดยพลัน
“สำนักธาราโลหิต ซ่งเชวีย!”
“สำนักธาราเทพ ป๋ายเสี่ยวฉุน!
————