Skip to content

A Will Eternal 145

บทที่ 145 ต้องสังหาร!

ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวระเบิด บุคคลที่อยู่ด้านหน้าคือคนอำมหิตที่สังหารนักพรตขั้นสร้างฐานราก สร้างประวัติการณ์สยบฟ้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกฝ่ายควรจะเข้าไปอยู่โลกในกระบี่นานแล้วถึงจะถูก เหตุใดถึงยังอยู่ในหุบเหวนอกกระบี่ ทั้งยังมาอยู่ในเขตลึกเช่นนี้เหมือนกันได้

โดยเฉพาะชั่วขณะที่ถูกอีกฝ่ายมองสบมาด้วยดวงตาแน่วนิ่งนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันรู้สึกได้ถึงวิกฤตรุนแรง สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่าย ราวกับว่าหากตนขยับกายเพียงนิดก็จะถูกตรึงลมหายใจ ร่างระเบิดขึ้นมาได้ทันทีทันใด

ซ่งเชวียเองก็หวั่นใจเหมือนกัน เขานึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนอื่นมาถึงที่ตรงนี้ได้เช่นกัน ต้องรู้ว่าไอความเย็นของที่นี่หนาแน่นเกินกว่าขีดจำกัดของรวมลมปราณ ต่อให้เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจก็มาถึงที่นี่ได้อย่างยากลำบาก ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบราวกับไม่รู้สึกอะไรสักอย่าง

เวลานี้เมื่อมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาของซ่งเชวียก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้นมา พอนึกถึงข้อมูลในแผ่นหยกที่แนะนำเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ สายตาของเขาก็ลึกล้ำลงไปอีกเล็กน้อย

ทั้งสองคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครขยับตัว ซ่งเชวียรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ลึกลับเกินคาดเดา แม้ว่าบนร่างจะไม่มีไอสังหารปรากฏออกมา แต่ลางสังหรณ์ก็บอกกับเขาว่า หากตนลงมือ เกรงว่า…ระหว่างคนทั้งสอง ใครสักคนต้องตายตกไปอย่างแน่นอน และเขาก็ไม่มีความมั่นใจมากพอว่าคนที่รอดจะเป็นตัวเอง

ผ่านไปครู่ใหญ่ อยู่ๆ ซ่งเชวียก็เอ่ยปากขึ้นมา

“ลงไปอีกยี่สิบจั้ง มีช่องโหว่อยู่หนึ่งช่อง”

สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งวาบ ข่มใจที่เต้นระรัวเอาไว้ ค่อยๆ เคลื่อนกายลงต่ำ เขาไม่รู้ว่าจากการที่เขาค่อยๆ เคลื่อนลงต่ำเข้าใกล้ซ่งเชวียขึ้นเรื่อยๆ นั้น ใจของซ่งเชวียก็เต้นเร็วขึ้นเช่นกัน เขาจ้องร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ตั้งท่าพร้อมโจมตีกลับหากอีกฝ่ายลงมือ

จนกระทั่งหากจากซ่งเชวียแค่ไม่กี่จั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามอง ร่างของซ่งเชวียพลันสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย ยืนบังเขตหนึ่งของตัวกระบี่ที่อยู่ด้านหลังเอาไว้ นัยน์ตาโชนแสงวาววับ

‘ลับๆ ล่อๆ ต้องไม่ได้ทำเรื่องดีแน่นอน!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ เคลื่อนตัวลงด้านล่างด้วยความระมัดระวัง จนกระทั่งเลยมาประมาณยี่สิบจั้งก็เห็นช่องโหว่หนึ่งช่องจริง จึงสังเกตอย่างละเอียด หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาใดถึงได้ผ่อนลมหายใจ เหยียบย่างเข้าไปในช่องโหว่

ในใจของซ่งเชวียเองก็คลายลงไปเช่นกัน แต่พอนึกถึงคำแนะนำของสำนักเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่กล้าวางใจง่ายๆ รอจนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนหายเข้าไปในช่องโหว่แล้วถึงได้หมดกังวลอย่างแท้จริง นัยน์ตาเผยแววมาดร้าย นับตั้งแต่ที่เขาฝึกรวมลมปราณมาถึงขั้นหกก็ไม่เคยระมัดระวังตัวเท่าวันนี้มาก่อน ทั้งยังเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกตำแหน่งช่องโหว่ให้อีกฝ่ายทราบก่อนด้วย

“แม้ว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้จะไม่ธรรมดา แต่รอให้แผนการของข้าสำเร็จก่อนเถอะ ฆ่าเขาก็ไม่ต่างอะไรไปกับการบดขยี้มดสักตัว!” นัยน์ตาซ่งเชวียเปล่งกระไอสังหาร ตอนที่หันกลับมามองตัวกระบี่ที่อยู่ด้านหลัง ไอสังหารในดวงตากลายมาเป็นเปลวไฟร้อนแรง คลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม

“เป็นไปดังที่ผู้อาวุโสอู๋จี๋วิเคราะห์เอาไว้ ตรงนี้เป็นจุดที่ตั้งของรอยต่อรอยหนึ่งจริงเสียด้วย!”

ในโลกของตัวกระบี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งเหยียบย่างเข้ามาในทางเข้าก็รู้สึกเหมือนเดินผ่านผิวน้ำหนึ่งชั้น และมาปรากฏตัวอยู่ในโลกขาวดำแห่งหนึ่ง

ท้องฟ้าเป็นสีขาว พื้นดินเป็นสีดำ คล้ายว่าตลอดทั้งโลกใบนี้ก็คือภาพวาดน้ำหมึกภาพหนึ่ง…

สามารถมองเห็นเทือกเขาที่สลับซับซ้อน ธารน้ำสีดำไหลรินเงียบๆ ห่างออกไปไกล กลางท้องฟ้าดุจมีดวงตาคู่หนึ่งคล้ายดวงดาวกะพริบไหวเชื่องช้า

และที่น่าตะลึงที่สุดก็คือตลอดทั้งโลกใบนี้อยู่ในลักษณะเอนเอียง ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่บนเนินเขา

ความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนั้น เขาต้องใช้เวลาพักใหญ่ถึงจะปรับตัวเข้ากับมันได้

“นี่มันกระบี่อะไรกันแน่ ด้านในถึงได้มีโลกใบหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาแบบนี้ แม้ว่าเมื่อเทียบกับโลกจริงแล้วจะเล็กกว่ามาก แต่ก็ยังมหัศจรรย์อยู่ดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก มองไปรอบด้าน ที่นี่ไม่มีเงาร่างของใครอยู่สักคน ตามที่เขาวิเคราะห์เอาไว้ ถึงแม้ตำแหน่งนี้จะไม่ใช่จุดที่ลึกที่สุด ทว่าเมื่อเทียบกับพวกลูกศิษย์ของทั้งสี่สำนักที่เข้ามาก่อนหน้านี้ก็ถือว่าเป็นจุดลึกแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ดิ่งทะยานไปด้านล่างด้วยความระแวดระวัง ออกมาจากตำแหน่งทางเข้าได้ครึ่งก้านธูป ขณะที่เขากำลังข้ามภูเขาลูกเล็กแห่งหนึ่ง สีหน้าพลันกระตุก มือขวายกขึ้น นิ้วมือสองข้างเปล่งประกายแสงสีเงิน คว้าจับลงไปทันที

พื้นที่ว่างเปล่าข้างกายเขาเกิดกระแสเคลื่อนไหว งูสีดำตัวหนาประมาณนิ้วมือโผล่พรวดออกมาจากความว่างเปล่า แต่ราวกับเป็นฝ่ายเสนอตัวพุ่งเข้ามาหามือของป๋ายเสี่ยวฉุนเอง ถูกเขาจับไว้ตรงหัวที่กำลังอ้าปากกว้าง

งูเล็กตัวนั้นเปล่งเสียงขู่ฟ่อแหลมเล็ก ทำลายความเงียบของที่แห่งนี้ลง เริ่มดิ้นรนขัดขืนโดยเอาร่างของตัวเองพันแขนของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วรัดแน่นอย่างรุนแรง

พละกำลังรุนแรงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงและแปลกใจไปเช่นกัน หากไม่เพราะกล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่งถึงระดับสัมผัสกับพันธนาการขั้นที่หนึ่งของชีวิตได้แล้ว เกรงว่างูเล็กตัวนี้คงดิ้นจนหลุดมือไปอย่างแน่นอน

เวลานี้นิ้วมือทั้งสองออกแรงบีบ เสียงกร๊อบดังหนึ่งครั้ง หัวของงูเล็กตัวนี้ก็แหลกละเอียดทันที งูเล็กไม่ดิ้นรนอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าร่างกายกลายเป็นไอสีเทาเส้นหนึ่งอยู่ในโลกขาวดำใบนี้ ขนาดหนาพอก้านธูปหนึ่งก้าน ล่องลอยไม่หายไปไหน

“นี่น่ะหรือปราณชีพจรดิน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบขวดนักพรตออกมาทันที พอเปิดออกก็เก็บปราณของชีพจรดินเส้นนี้เข้าไปแล้วเขย่าอยู่ในมือ พบว่าปราณชีพจรดินเส้นนี้กลายเป็นหยดน้ำสีเทาหนึ่งหยดอยู่ในขวดนักพรต

“คิดจะบรรจุให้เต็มคงต้องใช้ประมาณพันกว่าหยด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนลิ้นจุกปาก มองขึ้นไปด้านบน เขาก็รู้สึกว่าหากว่าในจุดนี้ยังจำเป็นต้องฆ่าสัตว์ร้ายอีกพันกว่าตัว ถ้าเช่นนั้นพื้นที่ด้านบนเกรงว่าคงต้องฆ่ามากกยิ่งกว่านี้ ไม่แน่อาจจะถึงหมื่นตัวเลยด้วยซ้ำ

“ต้องรีบแล้ว จะได้รวบรวมตัวล่อปราณชีพจรดินได้เร็วๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเพิ่มความเร็วรุดหน้าตามหาสัตว์ร้าย เขาบินทะยานมาตลอดทาง สามวันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนมองดูในขวดนักพรต เห็นหยดน้ำสีเทาที่มีประมาณสามสิบหยดก็ขมวดคิ้วมุ่น

สามวันมานี้เขาฆ่าสัตว์ร้ายไปหลายสิบตัวถึงจะได้ของเหลวสีเทาพวกนี้มา เขารู้สึกว่าความเร็วของตัวเองช้าเกินไป

“ถ้าอิงตามความเร็วเช่นนี้ ข้าต้องใช้เวลาสองเดือนกว่าจึงจะสามารถรวบรวมตัวล่อปราณชีพจรดินได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน รู้สึกว่าต้องไปจุดที่ลึกยิ่งกว่านี้จึงจะดี ดังนั้นจึงสะบัดร่างรุดหน้าไปด้วยความรวดเร็ว หนึ่งชั่วยามต่อมา ฝีเท้าของเขาพลันชะงักกึก ด้านหน้าห่างจากเขาไปไม่ไกลมีศพสองร่างอยู่ตรงนั้น

สามวันมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นคนอื่น เห็นได้ชัดว่าพออีกฝ่ายเข้ามาในนี้ได้แล้วก็เร่งรีบเดินทางมา หรือไม่ก็ด้วยสาเหตุพิเศษบางอย่างถึงได้เดินนำหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนมาได้

หนึ่งในนั้นสวมอาภรณ์ของสำนักธาราเทพ คือลูกศิษย์ฝ่ายในชายฝั่งทิศใต้ผู้หนึ่ง อีกศพหนึ่งสวมอาภรณ์ของสำนักธาราโอสถ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะสู้กันจนตัวตาย ในมือของลูกศิษย์สำนักธาราโอสถผู้นั้นยังถือขวดนักพรตเอาไว้

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ที่สิ้นลมหายใจไปแล้วผู้นั้น คนผู้นี้เขารู้จัก จำได้ว่าอีกฝ่ายคือลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาจื่อติ่ง โจวโหย่วเต้า และก็เป็นหนึ่งในห้าคนที่เข้าช่องโหว่ที่สามเป็นชุดสุดท้าย คนที่เรียกตนว่าอาจารย์อาป๋ายอย่างกระตือรือร้น สู้รบบดขยี้ลูกศิษย์ต่างสำนักกับตนเองมาตลอดทางตอนที่อยู่ในหุบเหวนอกตัวกระบี่ นึกไม่ถึงว่าจะมาตายอยู่ตรงนี้

นั่นคือความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย หลายวันก่อนยังพูดคุยสนุกสนานด้วยกัน มาเจอกันอีกครั้งกลับเป็นการตายจากชั่วนิรันดร์ คล้ายว่าความตายที่ปกคลุมอยู่ทั่วโลกใบนี้ได้กลายมาเป็นแรงกดดันระลอกหนึ่ง เตือนให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายถึงชีวิต หากไม่ทันระวังเพียงนิดก็อาจตายดับไปได้ ถึงขั้นที่ว่าแม้จะตายไปแล้วก็ยังถูกคนนำร่างมาใช้วางกับดัก

นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนโชนประกายโกรธแค้น เขากำหมัดแน่น นอกจากเฝิงเหยียนในปีนั้นแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นสหายร่วมสำนักตายไปอย่างแท้จริง ในใจเขาเศร้าโศกอาดูร เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายเคยบอกว่าความฝันของเขาก็คือได้เป็นบุรพาจารย์ของสำนักธาราเทพ

“บำเพ็ญตนเป็นเซียนก็เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อทำฝันให้เป็นจริง ทว่าเหตุใด…ต้องมีการเข่นฆ่า…หรือนี่คือค่าตอบแทนของมัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน เขามองปราดเดียวก็ดูออกว่านี่คือหลุมพราง แต่ก็ยังคงเลือกที่จะ…เดินเข้าไปหา

ยามที่เขาเข้าใกล้ศพทั้งสองร่างนั้นเอง ทันใดนั้นผืนดินรอบด้านก็ส่งเสียงดังครั่นครืน รอบด้านมียาระเบิดกลายมาเป็นหมอกควันกลุ่มหนึ่ง หมอกควันนี้ปะปนไปด้วยพิษรุนแรง เมื่อกระจายออกก็ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันที

เวลาเดียวกันนั้นก็มีกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งเปล่งประกายแสงวิบวับอยู่ในกลุ่มหมอก ทะยานเข้ามาใกล้ในพริบตา บนกระบี่บินมีแมงป่องมายาตัวหนึ่งรัดพันอยู่ มันเปล่งเสียงร้องแหลมกำสรด ดุจกระบี่มีเสียงร้อง!

อีกด้านหนึ่งคือยาระเบิดหลายเม็ดที่แฝงไว้ด้วยพลังไม่ธรรมดา ส่งเสียงกรีดผ่านอากาศลอยพรวดเข้ามา

ซ้ายมีกระบี่บิน ขวามียาระเบิด รอบด้านก็ยิ่งปกคลุมไปด้วยค่ายกลหมอกพิษ กลายเป็นฉากแห่งการสังหาร ใครก็ตามที่เหยียบย่างเข้ามาย่อมตายอย่างมิต้องสงสัย

“ตาย!” เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังลอยออกมาจากในหมอก ป๋ายเสี่ยวฉุนสะกดลมหายใจไว้ในจุดตันเถียน[1] สีหน้าดำทะมึน ความอัดอั้นตันใจคล้ายภูเขาไฟที่ระเบิดออก

“เจ้าต่างหากที่ต้องตาย!” เสียงของเขาดังกัมปนาทราวฟ้าผ่า และยิ่งมีลมคลั่งพัดโจมตีออกไปรอบด้าน รุนแรงดั่งต้องการพลิกภูเขาพลิกทะเล

เส้นผมปลิวสะบัด ดวงตาแผ่กระไอสังหาร พลังอำนาจเขย่าฟ้าสะเทือนดิน!

หลังจากน้ำเสียงดังราวฟ้าผ่าของป๋ายเสี่ยวฉุนที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าอาดูร แฝงไว้ด้วยความโกรธแค้นดังออกมา ผืนดินแปดทิศเกิดเสียงกึกก้อง พลังโจมตีที่ก่อตัวขึ้นถึงขั้นกลายเป็นระเบิดเสียงร้อยเรียงกัน ซัดผลักให้หมอกพิษที่แผ่กระจายอยู่รอบด้านของป๋ายเสี่ยวฉุนม้วนตลบออกไปอย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียวหมอกพิษนี้ก็ถูกซัดออกไปไกลสิบกว่าจั้ง เผยให้เห็นกระบี่บินและยาระเบิดที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งสองด้าน และยังมีลูกศิษย์สำนักธาราโอสถชายหนึ่งหญิงหนึ่งซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง

แมงป่องที่อยู่บนกระบี่กรีดร้องโหยหวน ร่วงหลุดคล้ายน้ำหมึกที่ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งปาดเช็ดออกไป ตัวกระบี่ส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ เมื่อสูญเสียพลังวิญญาณไปแสงจึงมืดดับลง ถูกม้วนตลบออกไปไกลทั้งๆ ที่ยังสั่นไหว

ส่วนยาระเบิดอีกหลายเม็ด แม้ว่าในเวลานี้จะระเบิดออกหมด ทว่าพลังที่อยู่ด้านในก็คล้ายถูกสะกดตรึง ไม่สามารถระบายออกมายังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ได้ แต่ไประเบิดพลังทั้งหมดในอีกทิศทางหนึ่งแทน

บัดนี้ฟ้าดินคล้ายจะดูพร่าเลือน บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งมีพลังอำนาจน่าตะลึงแผ่กระจายออกมา ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับสูงใหญ่ขึ้นมา ยามนี้เสียงของดังสะท้อนไปสี่ทิศ

“ผู้ใดที่สังหารลูกศิษย์สำนักธาราเทพของข้า แม้หนทางห่างไกลก็ต้องไปสังหาร!”

ทุกคำดังราวเสียงอัสนีบาต จองล้างจองผลาญทุกถ้อยคำ!

พลังโจมตีรอบด้านยิ่งรุนแรงมากขึ้น ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลมคลั่งพัดกระชากโหมแรงขึ้นถึงขีดสุด บางทีนั่นอาจไม่ใช่เพียงแค่ลมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมเอาจิตสังหารของป๋ายเสี่ยวฉุน และรวมเอาพลังอำนาจที่ก่อเกิดจากจิตวิญญาณแห่งชะตาตนหลังประจักษ์แจ้งเขตแดนธาราของเขาไว้ด้วย!

พลังอำนาจนี้ประดุจมือขนาดยักษ์ข้างหนึ่ง พลิกภูเขาพลิกมหาสมุทร!

ถึงกระทั่งที่ว่ารอบด้านยังมีไอน้ำแผ่ชื้นออกมาเป็นระลอก ดุจดั่งเขตแดนธารา…กำลังจะเยื้องกรายลงมาบนโลกแห่งนี้!

————

[1] จุดตันเถียน คือชื่อเรียกตำแหน่งชีพจรบริเวณท้องใต้สะดือลงไปประมาณ 3 นิ้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version