บทที่ 161 ทำลายน้ำขึ้นน้ำลงของเจ้า!
สถานที่ที่ซ่งเชวียอยู่ เวลานี้ค่ายกลกำลังถูกกุ่ยหยาและซ่างกวานเทียนโย่วร่วมมือกันโจมตี เสียงดังกึกก้อง รอบด้านสั่นสะเทือน ค่ายกลนั้นเกิดรอยปริแตกเป็นชั้นๆ ทว่ายังคงประคับประคองตัวเอาไว้ได้
บนท้องฟ้า น้ำวนของน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้าของซ่งเชวียกำลังหมุนวนรวดเร็วเสียงดังอึกทึก ดึงดูดเอาปราณชีพจรดินที่เหลืออยู่อีกไม่มากในโลกกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้ไป
ใต้เปลือกตาที่ปิดลงของซ่งเชวีย ดวงตาของเขาแดงฉาน ขณะเดียวกับที่นั่งสมาธิเบิกใช้พลังกายของตัวเองมาล่วงหน้าอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทน ก็ยังดึงดูดเอาปราณจากจุดเชื่อมต่อที่เขาวางกำลังไว้ก่อนหน้านี้มาทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงแต่ถอนใช้กำลังของตัวเองเกินตัว ยังถอนเอาปราณชีพจรดินของโลกกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้มาใช้ล่วงหน้าด้วย
ท่ามกลางขั้นตอนเหล่านี้ บนจุดเชื่อมต่อที่คนนอกสังเกตไม่เห็นค่อยๆ ปริแตกออกมาเป็นเส้นๆ โดยเฉพาะหุบเหวด้านล่างนอกตัวกระบี่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเจอกับซ่งเชวียโดยบังเอิญก่อนหน้านี้ รอยแตกก็ยิ่งมีมาก มันแผ่ขยายทอดยาว ทำให้กระบี่ใหญ่จากนอกโลกเล่มนี้เกิดลางที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ลางนี้กลับแปลกประหลาดยิ่งนัก แม้แต่พวกโอวหยางเจี๋ยสี่คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเขาปี้ฟางก็ยังสัมผัสไม่ถึง
‘เร็วกว่านี้!’ ซ่งเชวี่ยกู่ร้องอยู่ในใจ มือทั้งสองยังคงอยู่ในท่ากดประทับลงบนพื้น เส้นผมปลิวสะบัด ปราณชีพจรดินจำนวนมากถูกดึงดูดมาหลอมรวมเข้ากับน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้าของเขา ทำให้น้ำวนของน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้านี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ครึกโครมไปทั่วทั้งโลก ท้องฟ้ายิ่งบางลงเรื่อยๆ
ท่ามกลางการหมุนวนนี้ คนอื่นๆ ล้วนสัมผัสไม่ถึง มีเพียงเขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้เท่านั้นถึงจะสัมผัสได้ว่าปลายสุดของน้ำวนบนท้องฟ้าที่เบาบางนั้น คล้ายจะมีปราณ…ที่อ่อนบางจนแทบสังเกตไม่เห็นอยู่…หนึ่งเส้น!
นั่นคือปราณที่แตกต่างไปจากปราณชีพจรดินอย่างสิ้นเชิง เรียกได้ว่าอยู่เหนือชั้นอย่างสมบูรณ์แบบ…ปราณอันน่าตกตะลึง!
ปราณนี้จำเป็นต้องนั่งอยู่ในตำแหน่งของเขาตอนนี้เท่านั้นถึงจะสัมผัสได้ และตำแหน่งนี้ก็พิเศษอย่างถึงที่สุด มันคือจุดเชื่อมต่อสุดท้ายของโลกกระบี่อุกกาบาตใบนี้ ซ่งเชวียเลือกสร้างฐานรากที่นี่ก็เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน!
เวลานี้ซ่งเชวียสัมผัสได้ถึงปราณเส้นนั้นที่อยู่บนนภากาศ ใจของเขาเต้นโลดแรง เขารอวันนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว
‘จุดสูงสุดของชีพจรดินจะไปมีค่าอะไร นี่เป็นเพียงแค่ก้าวแรกของข้าซ่งเชวียเท่านั้น สิ่งที่ข้าซ่งเชวียจะทำก็คือ…สร้างฐานรากชีพจรฟ้า มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่พอข้ากลับไปถึงสำนักแล้วถึงจะมีพลังทำลายล้าง ช่วงชิงตำแหน่งบุตรโลหิตแห่งยอดเขาจงเฟิงกับอาหญิงน้อยของข้าซ่งจวินหว่านและเซวี่ยเหมยสมควรตายนั่นได้ กลายมาเป็นหนึ่งในบุตรโลหิตผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ อยู่เหนือผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักธาราโลหิต!’ ซ่งเชวียฮึกเหิมอยู่ในใจ
บุตรโลหิตทุกรุ่นของสำนักธาราโลหิตมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับเจ้าสำนักของสำนักธาราโลหิต ถือเป็นจุดสูงสุดแล้ว หากก้าวออกไปอีกขั้นหนึ่งก็จะสามารถเหยียบย่างเข้าสู่ยอดเขาจู่เฟิง ตำแหน่งสูงส่งอย่างยิ่ง
ทว่าชั่วขณะที่น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้าของซ่งเชวียกำลังจะสิ้นสุดลงนั้นเอง ทันใดนั้นรุ้งยาวเส้นหนึ่งก็พุ่งผ่านอากาศมาถึง ด้านในรุ้งเส้นนั้นคือป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของเขาแดงฉานดุจสีเลือด ไอสังหารตลอดร่างอบอวล ทุกครั้งที่ปีกเบื้องหลังพัดกระพือ ความเร็วก็ระเบิดออกหลายต่อหลายเท่า
ความเร็วในเวลานี้เมื่ออยู่ภายใต้การผลักดันของพลังสุดยอดชีพจรดินเก้าครั้ง ทำให้รวดเร็วยิ่งกว่าตอนรวมลมปราณหลายเท่าจนมิอาจเปรียบเทียบกันได้ พริบตาเดียวก็มาปรากฏกายอยู่นอกค่ายกลของซ่งเชวีย
เขาเพิ่งจะเข้ามาได้ พลานุภาพสยบระลอกหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน กลายมาเป็นพลังบีบคั้น ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของกุ่ยหยาหดตัวเข้าหากัน เขากังวลเรื่องที่ฐานรากแห่งนักพรตในกายยังไม่มั่นคง ตอนที่ลงมือก่อนหน้านี้จึงยังออมมือเอาไว้ ทว่าเวลานี้เมื่อได้เห็นพลานุภาพของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ฮึดฮัดเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ไม่อยากจะสัมผัสโดน จึงถอยหลังไปเล็กน้อย
ซ่างกวานเทียนโย่วที่อยู่ด้านข้างเทียบกับกุ่ยหยาไม่ได้ เมื่อต้องมาอยู่ภายใต้ความกดดันนี้ ร่างของเขาก็ทนรับไม่ไหว เพราะน้ำขึ้นน้ำลงของเขาแค่ห้าครั้งเท่านั้น จึงจำเป็นต้องหลบฉากถอยออกมา หัวเราะขื่นหนึ่งครั้ง ความไม่ยินยอมในใจแผ่ซ่านท่วมท้นไปทั้งกาย
เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดุจดั่งแสงแดดแก่กล้าเดินเข้ามาทีละก้าว พลานุภาพเช่นนั้นทำให้เขาตัวสั่น ตบะเริ่มไม่มั่นคง นี่ก็คือพลังบีบคั้นโดยธรรมชาติที่จุดสูงสุดปราณชีพจรดินมีต่อชีพจรดินของผู้อื่น
“ซ่งเชวีย!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยไปกระแทกตูมบนค่ายกลของซ่งเชวีย ซ่งเชวียตัวสั่นเยือก เขาไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ วิกฤตรุนแรงระลอกหนึ่งทำให้ใจเขาร่วงหล่นดังโครม ขณะเดียวกันก็เพิ่มความเร็วของน้ำขึ้นน้ำลงอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง พยายามยุติให้เร็วที่สุด
ทว่าเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับดุจดั่งเสียงอสนีบาต เมื่อดังลอดเข้ามาในค่ายกลจึงทำให้ค่ายกลสั่นสะเทือน และวินาทีที่เท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนแตะลง ร่างของเขาก็เหยียบย่างเข้ามาในค่ายกลโดยตรง
การเหยียบนี้ทำให้ผืนดินสั่นไหวรุนแรง ค่ายกลส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ปริแตกออกไปเกินครึ่ง ซ่างกวานเทียนโย่วที่ยืนอยู่ด้านข้างใจสั่นรัว นัยน์ตาของกุ่ยหยามีความปรารถนาในการสู้รบโหมไหม้ เนิ่นนานถึงจะสะกดกลั้นลงไปได้
“ในเมื่อเจ้าส่งคนมารังควานน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งของข้า มีหรือข้าจะยอมให้น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้าของเจ้าสำเร็จได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นกำหมัด แสงสีทองตลอดร่างกะพริบพราว ผิวหนังทองคงกระพันระเบิดออกเต็มรูปแบบ พละกำลังของกล้ามเนื้อเขาปะทุออกมาตามหมัดที่ควงออกไป
ค่ายกลสั่นคลอน ส่งเสียงดังตูมอีกครั้งก็พังทลายลง ฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่หยุดชะงัก กระโจนไปด้านหน้า เหวี่ยงหมัดลงไปอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง!
ทั้งหมดสี่หมัด แต่ละหมัดอัดแน่นไปด้วยพลังทั้งหมดของผิวหนังทองคงกระพัน ทุกหมัดล้วนระเบิดพลังในการฝ่าทะลุพันธนาการแห่งชีวิตขั้นแรกของเขา ทุกหมัดแฝงเร้นไว้ด้วยความโกรธแค้นของเขา วินาทีที่หมัดทั้งสี่ตกกระแทกลงไป ค่ายกลที่คุ้มกันซ่งเชวียเอาไว้ระเบิดตูมทลายลงหมดทันที
เผยให้เห็นซ่งเชวียที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รีรอแม้แต่วินาทีเดียว เดินหน้าเข้ามาอีกหนึ่งก้าว มือขวาสะบัดปลายแขนเสื้อ บนหัวของซ่งเชวียก็มีกลุ่มควันสีม่วงปรากฏขึ้นมากลางอากาศ แล้วก่อร่างออกมาเป็นกระถางสีม่วงขนาดใหญ่หลายจั้งหนึ่งใบ เหมือนจริงอย่างถึงที่สุด รูปสลักด้านบนนั้นก็ชัดเจน ภาพอักขระ นกและสัตว์เปล่งแสงระยับ และเมื่อได้รับการกระตุ้นจากป๋ายเสี่ยวฉุน อักขระเหล่านี้ก็ลอยออกมา นกและสัตว์พวกนั้นก็กลายมาเป็นภาพมายา ล้อมวนไปทั่วกระถางม่วงใบนี้…
กระถางม่วงใบนี้เตรียมกระแทกลงไปหาซ่งเชวียที่อยู่เบื้องล่าง
“เจ้าไม่สามารถสิ้นสุดน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้านี้ได้ด้วยตัวเอง ข้าจะช่วยเจ้าเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นแล้วกดลง ฟากฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง ผืนดินส่งเสียงครั่นครืน กระถางม่วงที่แฝงไว้ด้วยพลังมหาศาลนั้นร่วงตูมลงมา
เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้า ม่านแสงคุ้มกันนอกร่างของซ่งเชวียเปล่งแสงวาบ พยายามขัดขวาง ทว่าวินาทีที่ม่านแสงนี้สัมผัสโดนกระถางม่วงกลับพังทลายลงทันที หลังจากนั้นแม้ยังมีอาวุธวิเศษคุ้มกันตัวจำนวนมากบินออกมา แต่ก็ยังคงถูกทำลายย่อยยับ ทำให้กระถางสีม่วงใบนั้นกระแทกเข้าไปบนร่างของซ่งเชวียเต็มๆ
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของซ่งเชวีย เขาลืมตาโพลง น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้าในร่างซึ่งใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ มาบัดนี้ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนตีแตกกลางคัน กระเทือนไปยังรากฐาน ตรงจุดตันเถียนของเขา ฐานรากแห่งนักพรตชั้นที่เก้าซึ่งยังไม่แข็งตัวจึงปริแตกออกทีละชุ่น
เมื่อมันปริแตกออก ปราณชีพจรดินซึ่งรวมตัวมาจากน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้าไม่สามารถคงอยู่ในร่างของซ่งเชวียได้อีกต่อไป แผ่กระจายออกมาจากร่างของซ่งเชวียอย่างต่อเนื่อง ทำให้รอบด้านบิดเบือน เดิมทีมันควรกระจายไปรอบด้านแล้วหลอมรวมกลับคืนสู่โลกใบนี้
ทว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ภายใต้ความพยายามของซ่งเชวีย เขาได้รวบรวมปราณชีพจรดินในร่างเข้าไว้ด้วยกัน กลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าใส่ชั้นเมฆ การทำเช่นนี้ทำให้ปราณชีพจรดินกลับคืนสู่โลกได้เร็วยิ่งขึ้น
และบนท้องฟ้า น้ำวนรอบที่เก้าของเขาก็หยุดหมุนเสียแล้ว มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากำลังพังทลายลง
ตลอดทั้งโลกกระบี่อุกกาบาต ลูกศิษย์ของสี่สำนักทุกคนที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็ตะลึงงันกันไปหมด แต่ละคนเปล่งเสียงร้องแตกตื่น
“ซ่งเชวียล้มเหลวแล้ว!!”
“เขาถูกป๋ายเสี่ยวฉุนขัดขวางการสร้างน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้า!”
“สวรรค์ นี่จะต้องกลายมาเป็นความแค้นยิ่งใหญ่จนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ นั่นมันดับทำลายเส้นทางแห่งการเป็นนักพรตเชียวนะ!!”
หัวใจทุกคนถูกเขย่าคลอนอย่างบ้าคลั่ง สวีเสี่ยวซานที่อยู่ไกลออกไปกำลังเร่งเดินทางมาด้วยความรวดเร็ว เวลานี้กลับต้องชะงักฝีเท้า ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ไม่เข้ามาใกล้อีก
ไกลออกไปอีก จิ๋วต่าวเช็ดเลือดที่มุมปาก กำลังพยายามฟื้นฟูตบะอย่างสุดความสามารถ พอสัมผัสได้ถึงภาพนี้ก็เบิกตากว้าง นัยน์ตาฉายความตกใจระคนหวาดกลัว
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…เขาเป็นหนึ่งในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว!!”
กุ่ยหยากำหมัดแน่น เดิมทีเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีอารมณ์ความรู้สึกเท่าใดนัก ทว่าเวลานี้ ในใจเขาก่อเกิดอารมณ์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน
ส่วนซ่างกวานเทียนโย่วกลับสำลักลมหายใจ ในใจคล้ายถูกงูพิษฉกกัด ความบ้าระห่ำเช่นนั้นทำให้ความรู้สึกริษยาที่เขามีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งขึ้นไปถึงระดับเกลียดชังอย่างถึงที่สุด
‘ป๋ายเสี่ยวฉุน หากไม่มีเจ้า ทุกอย่างนี้ก็ควรจะต้องเป็นของข้าซ่างกวานเทียนโย่ว!!’
ขณะเดียวกันกับที่ทุกคนสะท้านสะเทือน ร่างของซ่งเชวียก็ถอยกรูดอย่างรวดเร็ว กระอักเลือดสด ดวงตาแดงฉาน ผมเผ้ายุ่งเหยิง สายตานั้นคล้ายต้องการเขมือบกลืนอีกฝ่าย คำรามแหบแห้งด้วยเสียงรันทดจนถึงขีดสุด
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”
น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้าของเขาล้มเหลว ยามนี้เหลือเพียงแค่น้ำขึ้นน้ำลงครั้งที่แปดซึ่งกำลังจับตัวเป็นก้อนแข็งอย่างรวดเร็ว ตบะของสร้างฐานรากระลอกหนึ่งระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง เหนือล้ำยิ่งกว่าก่อนหน้า แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนวาววับ กระโจนเข้าหาทันทีทันใด เสียงดังกรีดผ่าอากาศ มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าซ่งเชวีย แสงสีทองตลอดร่างเปล่งแสง สองนิ้วของมือขวายื่นพรวดเข้าหาลำคอของซ่งเชวียรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ตรวนสลายลำคอ!
ทว่าวินาทีที่สัมผัสเข้ากับร่างของซ่งเชวียนั้นเอง มือทั้งคู่ของซ่งเชวียทำมุทรา อ้าปากกว้าง พ่นเลือดก้อนหนึ่งออกมาจากปาก ก้อนเลือดนี้ใหญ่ประมาณเล็บมือเท่านั้น แต่ชั่วขณะที่มันพุ่งออกมา ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยามนี้คือจุดสุดยอดของปราณชีพจรดินก็ยังสัมผัสได้ถึงวิกฤตร้ายแรง
พลังวิญญาณที่อยู่ในก้อนเลือดนั้น แทบจะเรียกได้ว่าน่าสยดสยอง!
แต่ท่ามกลางวิกฤตนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
พริบตาเดียว นิ้วทั้งคู่ของเขาก็สัมผัสเข้ากับก้อนเลือดนั้น เสียงกึกก้องสั่นคลอนฟ้าดิน พลังโจมตีอันน่าตื่นตะลึงระเบิดออกมาระหว่างร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวีย
จากการระเบิดนี้ ลมคลั่งพัดกระโชก พลังโจมตีกวาดออกไปทั่วสี่ทิศ กุ่ยหยาและซ่างกวานเทียนโย่วถอยกรูดว่องไว พื้นดินทั้งหมดคล้ายถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นบดทับให้แบนราบ
มุมปากป๋ายเสี่ยวฉุนมีเลือดซึม ร่างโซซัดโซเซถอยร่น ใจเต้นกระหน่ำ ทั้งที่มีผิวหนังทองคงกระพัน แต่เขากลับยังบาดเจ็บได้เพราะการระเบิดของก้อนเลือดขนาดเท่าเล็บมือก้อนนี้ แม้จะไม่ได้บาดเจ็บสาหัส ทว่ากลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
อีกทั้งเมื่อครู่ที่สัมผัสกับก้อนเลือดนั้น ความรู้สึกคุ้นเคยก่อนหน้านี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น แต่ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะครุ่นคิดยังไงก็ไม่สามารถบอกได้ว่าต้นตอของความคุ้นเคยนั้นมาจากไหน
“เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้!! ก้อนเลือดนี้คืออะไรกันแน่!”
เมื่อเงยหน้าขึ้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นว่าซ่งเชวียในเวลานี้กระอักเลือดออกมาติดๆ กันสี่ครั้ง หน้าอกยุบลงเป็นหลุม ร่างถูกม้วนตลบออกไปคล้ายว่าวที่สายป่านขาดสะบั้น อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสยิ่งกว่าป๋ายเสี่ยวฉุน
เพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งถูกขัดขวางน้ำขึ้นน้ำลงครั้งที่เก้าไป หลังจากตบะในร่างพยายามเกาะตัวกันอย่างต่อเนื่อง พลังแฝงในยามนี้เดิมก็ด้อยกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หนึ่งส่วนอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้เขาจะกระตุ้นใช้เลือดก้อนนั้นได้ ทว่าก็ยังคงโดนพลังตีกลับมาที่ตัวเองอยู่ดี
แต่นัยน์ตาของเขากลับยังคงบ้าคลั่งดุจเดิม ตอนมองไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะพุ่งเข้าใส่ ทว่าตอนนี้เอง ซ่งเชวียไม่มัวรีรอ หมุนตัวได้ก็หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว และขณะที่เขาหลบหนีไป เขายังบีบแผ่นหยกนำส่งมูลค่ามิอาจประมาณได้แผ่นหนึ่งในมือจนแหลกละเอียด ร่างกายของเขาถูกพลังนำส่งโอบล้อมจึงหายวับไปได้ทันที
มาปรากฏตัวอีกครั้งยังจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ เพิ่มความเร็วห้อทะยานไกลออกไปอีกครั้ง
“หวังว่าเขาจะสัมผัสไม่ได้ สมควรตายเอ๊ย เขามาเร็วเกินไป ขาดอีกแค่ก้าวเดียว อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น…แต่ไม่เป็นไร ต่อให้ข้าไม่ได้เป็นจุดสุดยอดแห่งชีพจรดิน ข้าก็ยังคงมีวิธีอยู่เหนือป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ดี ทำสำเร็จเมื่อไหร่ ข้าต้องฆ่าเขาแน่นอน!” ซ่งเชวียกัดฟัน เมื่อยกมือขวาขึ้นมาในมือก็ปรากฏเข็มทิศหนึ่งอัน เข็มทิศนี้มีแสงเก้าจุดกะพริบวาบ ซึ่งนั่นก็คือจุดเชื่อมต่อเก้าจุดของโลกใบนี้ที่เขาจัดวางไว้ก่อนหน้า!
——