บทที่ 589 พื้นที่บรรพชนกำลังจะเปิดออก
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่นอกหอเรือน รับฟังบทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกฮูหยินไช่ นัยน์ตาก็มีแสงแวววาววูบผ่านไปเป็นพักๆ
เขาเริ่มฟังออกถึงความหมายคร่าวๆ แล้ว ป๋ายฉีผู้นี้คือความภาคภูมิใจของตระกูลป๋ายอย่างแท้จริง มีทั้งพรสวรรค์ของการเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ใช่ขั้นสีเหลือง แต่ก็เหมือนว่าจะมีความมั่นใจที่แน่นอนต่อการหลอมไฟสิบเอ็ดสีแล้ว
อีกทั้งบุรพาจารย์ของตระกูลป๋ายก็ยิ่งให้ความสำคัญ
เมื่อลองเอามาเทียบกับข่าวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับมาในตอนแรก ดูท่าแล้วตระกูลป๋ายนี้ก็วางแผนว่าจะให้ป๋ายหลินเป็นผู้ช่วงชิงตัวตนของผู้สืบทอดจักรพรรดิหมิงจริงๆ
เพราะอย่างไรซะพรสวรรค์ในด้านการหลอมวิญญาณเช่นนี้เมื่อนำมาหลอมตัวอ่อนก่อกำเนิดของตัวเอง อัตราความสำเร็จก็ย่อมมากตามไปด้วย
และก่อนที่เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ ป๋ายฉีต้องกลายมาเป็นก่อกำเนิดเสียก่อน เพียงแต่ว่าตระกูลป๋ายนั้นใหญ่เกินไป แต่ละสายของตระกูลต่างต้องการความสมดุล ไม่สามารถมอบวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุให้กับป๋ายฉีได้โดยตรง ดังนั้นภายใต้การดำเนินงานของฮูหยินไช่และบิดาของป๋ายฉีจึงทำให้มีเรื่องการประลองในพื้นที่บรรพชนเกิดขึ้น
ในการประลองนี้มีวิญญาณคนฟ้าดวงเดียวของตระกูลป๋ายอยู่ ไม่ว่าคนใดในตระกูลที่ได้รับไปก็ล้วนสามารถนำวิญญาณคนฟ้านี้ไปแลกเป็นวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุ ทว่าขอแค่ภายในมีการตกลงเลือกป๋ายฉีกันอย่างลับๆ ถ้าเช่นนั้นป๋ายฉีก็ย่อมเป็นผู้ที่ได้ครอบครองไปโดยปริยาย ส่วนคนในสายอื่นๆ ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
เพียงแต่ว่าประเด็นสำคัญในเรื่องนี้คือยังจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากบุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายเสียก่อนถึงจะได้
ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ฟังน้ำเสียงของฮูหยินไช่ออกว่าเหมือนนางจะมีความมั่นใจไม่น้อยว่าตัวเองสามารถพูดเกลี้ยกล่อมบุรพาจารย์คนฟ้าได้…
“นี่คือการเปิดพื้นที่บรรพชนเพื่อป๋ายฉีโดยเฉพาะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้ใจก็เต้นกระหน่ำ สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ถือเป็นโอกาสอันดีทีเดียว
“คนอื่นได้วิญญาณคนฟ้าไปเป็นเพียงแค่ความหมายทางสัญลักษณ์เท่านั้น ซึ่งพวกเขาต้องเอาไปแลกวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุ แต่ข้านั้นไม่เหมือนกัน…ข้าสามารถผสานรวมได้โดยตรงเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบริมฝีปากล่างแล้วก็ยิ้มกว้างสดใส ดวงตาทั้งคู่เริ่มโชนแสง
และเวลานี้เอง ทันใดนั้นฮูหยินไช่ที่อยู่ในหอเรือนพลันหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะหยิบเอาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ แผ่นหยกนี้คือแผ่นชีวิต ซึ่งเวลานี้ได้แตกออกแล้ว
“สวีไห่ตายแล้ว!!”
ป๋ายฉีเองก็อึ้งงันไปเหมือนกัน เขาเงยหน้ามองแผ่นหยก สวีไห่ก็คือคนที่ฮูหยินไช่ส่งไปฆ่าป๋ายฮ่าว เขารู้ดีว่าถึงแม้สวีไห่ผู้นี้จะมีตบะสู้ตนไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นรวมโอสถ นักพรตรวมโอสถคนหนึ่งกลับตายตกไปตอนที่ไล่ฆ่านักพรตสร้างฐานราก เรื่องนี้ผิดปกติอย่างมาก
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าสวะนั่นก็แค่สร้างฐานรากเท่านั้น หรือว่า…หรือว่าบิดาของเจ้า…” ฮูหยินไช่หน้าซีดขาว เริ่มตกใจลนลาน
“ท่านแม่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ไม่มีทางที่ป๋ายฮ่าวจะเป็นคนฆ่าสวีไห่แน่นอน และก็ไม่มีทางจะเป็นฝีมือของท่านพ่อด้วย หากข้าวิเคราะห์ไม่ผิด เจ้าเศษสวะนั่นไปข้างนอกคงโชคดีเจอคนยื่นมือเข้าช่วย! และสวีไห่ก็ถูกคนที่ช่วยเขาสังหารตาย!” นัยน์ตาของป๋ายฉีเผยแสงเย็นเยียบ
“ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องของตระกูลป๋ายเรา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ช่างบังอาจยิ่งนัก!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่นอกหอเรือนเอามือลูบคลำจมูก เรื่องที่ร่างจำแลงไฟของเขาไปจัดการ เขาก็รับสัมผัสได้เหมือนกัน เขาเองก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าสวีไห่ผู้นั้นจะทนรับความทรมานไม่ได้ขนาดนี้ เพิ่งจะค้นวิญญาณเสร็จ อีกฝ่ายก็จิตสลายวิญญาณแตกกระเจิงไปแล้ว
ยามนี้ในหอเรือน พอฮูหยินไช่ได้ยินป๋ายฉีกล่าวเช่นนั้นนางก็ฝืนข่มจิตใจของตัวเองให้สงบลง นางไม่กลัวว่าป๋ายฮ่าวจะได้รับความช่วยเหลือจากคนนอก ที่นางเป็นกังวลมากที่สุดก็คือสามีตัวเองจะยื่นมือเข้าแทรก ทว่าพอย้อนนึกอย่างละเอียดนางก็วิเคราะห์ได้ว่าความเป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือของสามีตนมีไม่มากเท่าไหร่นัก
“ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็เก็บไว้ไม่ได้ ค่ำคืนยาวนานฝันก็ยิ่งเยอะ…”
ฮูหยินไช่กล่าวด้วยความเป็นกังวล
“ท่านแม่โปรดวางใจ อย่างมากก็รอให้เมื่อใดที่พื้นที่บรรพชนเปิดออก ข้าจะเป็นคนลงมือสังหารมันในพื้นที่บรรพชนด้วยตัวเอง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าอยู่ที่นั่น คนที่ช่วยเหลือมันจะยังติดตามเข้าไปได้!” ป๋ายฉีเชิดหน้าพูดเสียงเย็นชา
“ก็ดี ข้ากับบิดาเจ้าจะปรึกษากัน ช่วงชิงเวลาไม่กี่เดือนนี้เกลี้ยกล่อมให้บุรพาจารย์เห็นด้วยกับการเปิดพื้นที่บรรพชน!” ฮูหยินไช่ไม่มีความเห็นต่าง เมื่อเห็นถึงความมั่นใจของป๋ายฉี นางเองก็คลายใจลงได้จึงพยักหน้าตอบรับ
นอกหอเรือน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ยิ่งเกลียดขี้หน้าสองแม่ลูกคู่นี้มากขึ้น
“เปิดพื้นที่บรรพชนอย่างนั้นหรือ ก็ดี ถ้าเช่นนั้นก็จัดการแก้ไขเรื่องทุกอย่างในพื้นที่บรรพชนไปทีเดียวเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาด รับฟังอยู่อีกพักหนึ่งถึงหมุนกายขยับร่างแล้วหายวับไป
เมื่อร่างจำแลงทั้งสองกลับคืนมา ในห้องพักเขตเหนือ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงลืมตาทั้งคู่ขึ้น
“ข้าทำตัวโอ้อวดอย่างนี้ก็ถือว่าหยั่งเชิงได้หลายเรื่องแล้ว และผลพวงที่ได้รับในวันนี้ก็ถือเป็นข่าวดีอย่างหนึ่งทีเดียว พื้นที่บรรพชนอย่างนั้นหรือ…”
หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวเร็ว พอนึกว่าตนจะได้รับวิญญาณคนฟ้าดวงที่สี่จากที่นั่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะฮึกเหิมขึ้นมา
“บันทึก วิญญาณคนฟ้า ล้วนชิงมาจากในพื้นที่บรรพชนได้ทั้งหมด!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง
“แต่ข้าเองก็ต้องเตรียมการไว้ก่อนจึงจะดี หากลงมือในพื้นที่บรรพชนต้องสร้างความแตกตื่นให้กับทั้งตระกูลป๋ายแน่นอน ดังนั้นต้องมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง…” ขณะที่ครุ่นคิด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกมานอกห้องพัก เงยหน้ามองท้องฟ้าเขาก็มองเห็นค่ายกลชั้นหนึ่งของตระกูลป๋าย
หลังจากเงียบงันไปครู่สั้นๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้นร่างของเขาก็สลายตัวเองก่อนจะหายวับไปกับตา เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่นอกตระกูลป๋ายแล้ว
ความรู้สึกเจ็บปวดเกินทนยังคงดำรงอยู่ แต่กลับลดน้อยลงไปบ้างแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวก็ลอดผ่านค่ายกลไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็กลับมาถึงเขตเหนือ
“ผนึกมิวางวายสามารถลอดผ่านค่ายกลนี้ไปได้!”
“แต่เพียงแค่นี้ก็ยังไม่มั่นคงมากพอ…จำเป็นต้องดำเนินการได้พร้อมกันสองวิธีถึงจะปลอดภัย” หลังจากขบคิดอยู่พักใหญ่ ช่วงเวลาหลายวันต่อมา
เมื่อไม่มีใครอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะศึกษาค่ายกลของตระกูลป๋ายหมายจะหาบางจุดที่เป็นประโยชน์
เพียงแต่เดิมทีป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ค่อยเข้าใจค่ายกลเท่าไหร่อยู่แล้ว แถมที่นี่ยังเป็นแดนทุรกันดาร วิธีการฝ่าค่ายกลบางอย่างที่เขารู้ส่วนใหญ่ล้วนจำเป็นต้องใช้วิธีการและวัตถุที่อยู่ในขอบเขตแม่น้ำทงเทียน ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ในแดนทุรกันดาร เขาจึงไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้
“ทำได้เพียงใช้วิธีการของแดนทุรกันดาร…เรื่องนี้ต้องถามโจวอีซิงซะแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ส่งข้อความเสียงให้กับโจวอีซิงทันที ให้โจวอีซิงคิดหาวิธีที่ทำให้ค่ายกลใหญ่ของตระกูลป๋ายเกิดรอยโหว่
ยามนี้ทั้งโจวอีซิงและหลี่เฟิงต่างก็อาศัยอยู่ในนครผียักษ์ เพราะไม่ถูกกัน แน่นอนว่าย่อมไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน เมื่อเขาได้รับข้อความเสียงจากป๋ายเสี่ยวฉุน เดิมทีเขาตื่นเต้นอย่างมาก แต่พอได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนดันให้ตนคิดหาวิธีทำลายค่ายกลใหญ่ของตระกูลป๋าย โจวอีซิงก็อึ้งงันไปทันที
“ทำไม่ได้หรอก…ตระกูลอย่างตระกูลป๋ายนั่น ค่ายกลที่พิทักษ์ปกป้องพวกเขาเดิมทีก็ร้ายกาจมากอยู่แล้ว ข้าทำไม่ได้…” โจวอีซิงยิ้มขื่น หลังจากตอบกลับไปเขาก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ ช่วงที่ผ่านมานี้เขามองเห็นความลำพองใจในสีหน้าของหลี่เฟิง เขาก็แอบเดาได้ว่าบางทีป๋ายเสี่ยวฉุนอาจให้หลี่เฟิงทำภารกิจอะไรบางอย่าง อีกทั้งดูท่าแล้วหลี่เฟิงน่าจะทำสำเร็จได้เป็นอย่างดีด้วย นั่นจึงทำให้เขาร้อนใจจนต้องกัดฟันกรอด
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นข้อความตอบกลับของโจวอีซิงก็ขมวดคิ้วเป็นปมเช่นกัน ขณะที่กำลังจะถามหลี่เฟิง โจวอีซิงกลับส่งข้อความเสียงกลับมาอีกครั้ง
“ปรมาจารย์ป๋าย ข้ามีแค่วิธีเดียว ทว่าต้องสิ้นเปลืองมหาศาล แต่ก็ต้องสำเร็จแน่นอน ขอแค่มีตะปูวิญญาณร้ายอีกทั้งยังต้องมีจำนวนมากซึ่งอย่างน้อยก็ต้องร้อยตัวขึ้นไป หลังจากที่จัดวางไว้ภายในได้อย่างมั่นคงแล้วก็สามารถอาศัยพลังของตะปูวิญญาณร้ายทำให้มันระเบิดขึ้นพร้อมกันในเวลาที่กำหนด
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถทำให้ค่ายกลของตระกูลป๋ายปริแตกได้เสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่ว่ายืนหยัดได้แค่ไม่กี่อึดใจ มันก็จะประสานตัวเข้าหากันอีกครั้ง…”
“เพียงแต่ตะปูวิญญาณร้ายนี้มีมูลค่าแพงลิบลิ่ว ทางฝ่ายของข้า…ไม่มีปัญญาซื้อหรอก…” โจวอีซิงรีบส่งข้อความเสียงกลับมาบอกทุกเรื่องที่ตัวเองรู้ ใคร่ครวญว่านี่ไม่ใช่เพราะตนหาวิธีไม่ได้ แต่เป็นเพราะตะปูวิญญาณร้ายนั้นแพงเกินไป
เขตเหนือของตระกูลป๋าย พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินการตอบรับจากโจวอีซิง ดวงตาเขาก็เป็นประกายทันที สำหรับเขาแล้วเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ขอแค่สามารถทำให้เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาอีกนิดขณะที่หนีไปจากที่นี่ ทุกอย่างก็ล้วนคุ้มค่า ดังนั้นจึงส่งข้อความเสียงไปบอกโจวอีซิงทันที หลังจากนัดหมายสถานที่พบเจอกับอีกฝ่ายแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แยกร่างจำแลงร่างหนึ่งให้พกถุงเก็บของออกไปจากตระกูลป๋าย
ไม่นานโจวอีซิงและร่างจำแลงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาเจอกันตรงสถานที่ที่นัดหมาย เพิ่งจะเจอหน้า ยังไม่ทันรอให้โจวอีซิงเปิดปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง แล้วโยนเตาหลอมยาออกมาหนึ่งเตา
เตาหลอมนี้ไม่ใหญ่มากนัก ทว่าก็ไม่ถือว่าเล็กเหมือนกัน เสียงตึงดังหนึ่งครั้งก็ร่วงลงไปอยู่ตรงหน้าของโจวอีซิง ทำเอาโจวอีซิงที่มองอยู่มึนงง
“เอาไป ไปซื้อตะปูวิญญาณร้าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
โจวอีซิงลังเลอยู่ชั่วครู่ พอเดินหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ เขาก็หน้าเปลี่ยนสี อ้าปากหอบหายใจเฮือกใหญ่ เปิดฝาเตาหลอมยาออกทันที พอเห็นว่าด้านในนั้นบรรจุน้ำของแม่น้ำทงเทียนไว้จนเต็ม ดวงตาของเขาก็แทบจะถลนออกมานอกเบ้า
“นี่…นี่…” ในสมองของโจวอีซิงดังอื้ออึง พอสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณของน้ำแม่น้ำทงเทียนในเตาหลอมยาเขาก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
เขาโตมาขนาดนี้ก็ยังไม่เคยเห็นน้ำของแม่น้ำทงเทียนมากขนาดนี้มาก่อน และยิ่งรู้ด้วยว่าหากเอาน้ำของแม่น้ำทงเทียนเตานี้ไปขาย มูลค่าของมันคงยากที่จะบรรยายได้
“พอหรือไม่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างลำพองใจ น้ำเหล่านี้มีขนาดแค่ครึ่งหนึ่งของถังไม้ใบใหญ่ของเขาเท่านั้น…
“พอแล้ว เกินพอแล้ว!!” โจวอีซิงตัวสั่นเพราะความตื่นเต้น
“ซื้อตะปูวิญญาณร้ายมาให้มากหน่อย แล้วก็ซื้อพวกยันต์ที่ใช้สำหรับการนำส่งรวมไปถึงวิญญาณพยาบาทมาให้ข้าด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยสั่งความจบจึงเดินอาดๆ จากไป โจวอีซิงมองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกว่าปรมาจารย์ป๋ายผู้นี้ลึกลับสุดจะหยั่ง อยู่ๆ ก็เอาน้ำแม่น้ำทงเทียนมาได้มากมาย เงินก้อนโตขนาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะหามาได้
สำหรับความคิดในใจของเขาที่จะติดตามปรมาจารย์ป๋ายจึงยิ่งยืนกรานเด็ดเดี่ยวมากขึ้น