บทที่ 710 เสแสร้งแกล้งโง่
หลังจากพาวิญญาณของป๋ายฮ่าวกลับมาถึงนครผียักษ์ เมื่อต้องเหน็ดเหนื่อยติดต่อกันเจ็ดวันทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูญสิ้นไปทั้งแรงกายแรงใจ ดังนั้นพอกลับมาถึงก็ปิดด่านฟื้นตัวทันที
ขณะที่เขาปิดด่านนั้น ป๋ายฮ่าวแจ้งว่าอยากจะออกไปดูโลกภายนอกเสียหน่อย เพราะอย่างไรซะเขาก็ตายมานานมากแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ตื่นขึ้นมาจึงอยากเห็นฟ้าดินข้างนอก อยากเห็นนครผียักษ์ ซึ่งความคิดเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิดไปครู่ก็เอ่ยกำชับอย่างละเอียด เขาไม่คิดจะปฏิเสธความต้องการของป๋ายฮ่าว เพราะอย่างไรเสียวิญญาณของป๋ายฮ่าวก็พิเศษ หลังจากที่ฟื้นคืนความทรงจำในชาติก่อนก็เหมือนจะเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายรูปแบบ อีกทั้งด้วยสติปัญญาของป๋ายฮ่าว แค่ระมัดระวังมากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องอันตรายอะไร
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงนาบตราประทับลงไปในวิญญาณของป๋ายฮ่าว เมื่อเป็นเช่นนี้หากป๋ายฮ่าวเจออันตราย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สามารถรับรู้และหายตัวมาให้การช่วยเหลือได้ทันที
เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ปิดด่านอย่างวางใจ ส่วนวิญญาณป๋ายฮ่าวที่พอแปลงโฉมเสร็จก็ออกมาจากห้องลับปิดด่าน
ชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนี้ ป๋ายฮ่าวจำไว้ขึ้นใจแล้ว และจะไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต เพียงแต่ที่ยิ่งทำให้เขามิอาจลืมได้เลยก็คือหลังจากที่เขาเดินออกมาจากในห้องลับ หลายวันหลังจากนั้นเขาก็แอบได้ยินเรื่องราวมากมายจากปากคนนับไม่ถ้วน ซึ่งเรื่องเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกตะครั่นตะครอไม่สบายตัวเอาเสียเลย
“พูดเบาๆ หน่อย อย่าให้เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นั้นได้ยินเด็ดขาดเชียว ป๋ายฮ่าวผู้นั้นไร้ยางอายยิ่งนัก ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ขนาดบิดาแท้ๆ ของตัวเองก็ยังฆ่าได้ลงคอ ไม่นับญาติกับผู้ใดทั้งสิ้น!”
“นี่ยังไม่เท่าไหร่นะ ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งเป็นผู้คุมอยู่ในคุกมาร เลยรู้จากปากของเขาว่าตอนแรกที่ป๋ายฮ่าวผู้นี้เป็นผู้คุม เขาเป็นถึงแส้ทมิฬอันดับหนึ่งเชียวนะ แส้ทมิฬคืออะไร ก็คือมือแส้ที่ใจดำทมิฬอย่างไรเล่า นักโทษในคุกมารคนใดก็ตามที่เคยถูกเขาสอบสวนล้วนตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถจนไม่อาจบรรยายได้!”
“หึหึ พูดถึงผู้กำกับการป๋ายนะเหรอ นั่นคือเสียงอสนีบาตสะเทือนเลือนลั่นฟ้าดิน เป็นผู้มากพรสวรรค์ที่นานทีจะพานพบในแดนทุรกันดารของพวกเขา ตบะแค่รวมโอสถก็จับหวังเหย่เป็นตัวประกันได้แล้ว!”
“ป๋ายฮ่าวผู้นี้นะ ไม่เพียงแต่อำมหิตไร้ปราณี ยังชอบเมียคนอื่นด้วย เพื่อฮูหยินเฉิน เขาถึงกับบีบให้ประมุขตระกูลเฉินต้องตาย ได้ยินมาว่าตอนนี้ฮูหยินเฉินยังอยู่ในจวนของเขาด้วยนะ แถมนางยังต้องถูกย่ำยีวันละเป็นร้อยรอบ ทำกันเกินไปแล้ว!”
“เรื่องพวกนี้ยังไม่สำคัญที่สุดหรอกนะ สำคัญคือป๋ายฮ่าวผู้นั้นกำเริบเสิบสาน ช่วงก่อนหน้านี้เขาถึงกับลักพาตัวลูกหลานอันเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลสูงศักดิ์ในแดนทุรกันดารเกือบแปดส่วน สภาพน่าเวทนาของคนเหล่านั้นข้าเห็นมาหมดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าถูกเขาทรมานด้วยวิธีใด ไม่ว่าชายหรือหญิงถึงได้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก น่ากลัวนักล่ะ!”
คำพูดเหล่านี้ล้วนดังเข้าหูวิญญาณของป๋ายฮ่าว ตอนแรกเริ่มเขายังมีสีหน้าเหยเก ทว่าถึงท้ายที่สุดเขากลับตาค้างไปทันใด สำหรับการที่อาจารย์ของเขาใช้ชื่อของเขาไปทำเรื่องใหญ่โตพวกนี้ทำให้เขารู้สึกอกสั่นขวัญผวาอย่างยิ่ง
และสำหรับประสบการณ์ต่างๆ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเล่าให้เขาฟังก่อนหน้านี้ หลายวันที่ผ่านมาป๋ายฮ่าวเองก็แอบไปสืบความอย่างลับๆ จนรู้แน่ชัด รู้ว่าอาจารย์ผู้นี้ของตนไม่เพียงแต่ตีกับคนฟ้าตอนรวมโอสถ แถมภายหลังยังใจกล้าเหิมเกริมถึงขั้นจับตัวราชาผียักษ์ แต่ถึงกระนั้นไม่เพียงแต่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขา กลับกันคือเขายิ่งเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน จากนั้นเขายังเคยไปรีดทรัพย์สามตระกูลใหญ่ ชื่อเสียงของเขาในนครผียักษ์ยามนี้มากพอจะทำให้ทารกหยุดร้องไห้โยเยได้เลย!
“นี่ออกจะร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือเปล่า แทบจะจินตนาการไม่ออกเลย!”
ป๋ายฮ่าวเองก็ตกตะลึงอย่างมาก สำหรับอาจารย์ผู้นี้ เขาอับจนคำพูดแล้ว ขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินคนอื่นพูดคุยกันถึงเรื่องชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนกระดานจักรพรรดิหมิงด้วย ทั้งพอรู้ว่าแดนทุรกันดารประกาศจับป๋ายเสี่ยวฉุนในใจก็ให้ตกตะลึงยิ่งนัก นิ่งคิดไปครู่เขาก็พลันเข้าใจว่าตอนนั้นที่อาจารย์บอกชื่อจริงของตัวเองให้ตนรู้ นั่นเท่ากับว่าอีกฝ่ายเชื่อใจตนอย่างมาก
แม้ว่าเขาเองก็จะเป็นคนของแดนทุรกันดารเหมือนกัน แต่พอตายไปแล้วหนึ่งครั้ง จึงมองเรื่องราวได้เปิดกว้างมากขึ้น เขาไม่สนใจตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุน แค่มองว่าอีกฝ่ายคืออาจารย์ที่เขาป๋ายฮ่าวสามกราบเก้าคำนับ!
เมื่อวิญญาณของป๋ายฮ่าวกลับเข้ามาในห้องลับปิดด่านของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเงียบเชียบและมองเห็นอาจารย์ของตัวเอง เขาก็ยอมศิโรราบให้อีกฝ่ายอย่างแท้จริง ยิ้มเจื่อนอยู่กับตัวเองพักหนึ่งก็กลับเข้าไปในถุงเก็บของของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตามองถุงเก็บของของตัวเองพร้อมยิ้มน้อยๆ เขาเลือกบอกชื่อจริงกับป๋ายฮ่าวก็เพราะเขาเชื่อใจป๋ายฮ่าว ความเชื่อใจนี้อาจเกิดขึ้นกะทันหันไปหน่อย ทว่าในใจเขาคิดอย่างนี้จริงๆ อีกอย่างการแสดงออกของป๋ายฮ่าวที่แม้จะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองออก ในใจจึงให้ปลาบปลื้มอย่างมาก
ยามสนธยาของวันที่ป๋ายฮ่าวกลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงฟื้นฟูพละกำลังที่สูญเสียไป ในตำหนักราชานครผียักษ์ ราชาผียักษ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ราชากำลังมองแผ่นหยกในมือด้วยหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น
แผ่นหยกส่งข้อความเสียงนี้ส่งมาจากวังหลวงของนครจักรพรรรดิขุย ถ้อยความไม่ได้ร้ายแรงนัก เพียงแค่ถามง่ายๆ ว่าเหตุใดเฉินม่านเหยาถึงไม่ได้กลับมาด้วย
ทว่าน้ำเสียงราบเรียบนี้กลับทำให้ราชาผียักษ์หัวใจสั่นไหว เพราะคนที่ส่งความเสียงมาก็คือ ผู้ที่จี้ตัวโอรสสวรรค์ครอบครองใต้หล้าอย่าง ต้าเทียนซือ!
ราชาผียักษ์ไม่กลัวหากต้องล่วงเกินสามราชาสวรรค์ แต่เขาไม่คิดจะมีเรื่องกับต้าเทียนซือผู้นี้ ไม่ใช่แค่เพียงเพราะต้าเทียนซือมีขอบเขตครึ่งเทพที่เหนือล้ำกว่าพวกเขาสี่ราชาสวรรค์ไปไกลโข แต่ยังเป็นเพราะสติปัญญาและวิธีการของต้าเทียนซือด้วยที่ทำให้เขากริ่งเกรงอย่างถึงที่สุด
“เฉินม่านเหยา” ราชาผียักษ์สูดลมหายใจเข้าลึก เขาพอจะจำชื่อนี้ได้คลับคล้ายคลับคลา รู้ว่านี่คือหนึ่งในลูกศิษย์ของต้าเทียนซือ หญิงสาวผู้นี้งามเลิศล้ำ เรียกได้ว่าเป็นโฉมสะคราญคนหนึ่ง
เพียงแต่ในบรรดาศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้เขาไม่มีเฉินม่านเหยาผู้นี้อยู่ด้วย พอราชาผียักษ์คิดจนกระจ่างแจ้งเขาก็พลันสบถด่าอย่างไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
“คงมีความเป็นได้ถึงแปดส่วนว่าไอ้ลูกหมานั่นถูกใจในความงามของนาง ด้วยอายุของเขาก็สมควรแก่เวลาเลือกคู่ฝึกบำเพ็ญตนได้แล้ว ทว่าเฉินม่านเหยาผู้นี้แตะต้องไม่ได้!”
ราชาผียักษ์ปวดหัวจี๊ด แม้เขาจะกริ่งเกรงต้าเทียนซือ แต่เมื่อเรื่องราวทั้งหลายแหล่เกิดขึ้น แท้จริงแล้วระหว่างเขากับป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทำลายความสัมพันธ์และระหว่างเจ้านายและลูกน้องไปนานแล้ว และก็เหมือนที่เขาพึมพำกับตัวเองไว้ก่อนหน้านี้ว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนช่วยให้เขาช่วงชิงผลราชาผีมาได้สำเร็จจริง เขาก็จะปฏิบัติกับป๋ายเสี่ยวฉุนประหนึ่งลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง
อีกทั้งความยอดเยี่ยมของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาเองก็เห็นอยู่ในสายตาถึงขั้นที่ว่าต่อให้มองไปทั่วแดนทุรกันดาร เขาก็หาคนที่ใจกล้าโอหังอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เจออีกแล้ว โดยเฉพาะท่ามกลางเรื่องราวเหล่านี้ได้เผยให้เห็นถึงความฉลาดเจ้าเล่ห์ของป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งนี่ทำให้จอมวางแผน มากเล่ห์เพทุบายอย่างเขาชื่นชมอย่างถึงที่สุด
เขามองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นมีความกล้ามีปัญญา ทั้งยังรู้จักกาลเทศะ รู้รุกรู้ถอย ช่างหาได้ยากยิ่งนัก!
หาไม่แล้วลำพังเพียงแค่เรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวคนพวกนั้นมาเล่นงานตน เขาราชาผียักษ์ก็คงแตกหักกับอีกฝ่ายไปนานแล้ว
ขณะเดียวกันกับที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ราชาผียักษ์เองก็ถอนหายใจไปด้วย เขาแอบรู้สึกว่าลักษณะนิสัยนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนจะคล้ายคลึงกับตนไม่น้อย พอคิดมาถึงตรงนี้ ราชาผียักษ์ก็ด่ากราดอยู่ในใจอีกรอบ ก่อนจะลุกขึ้นสะบัดกายแล้วหายวับไปจากโถงราชา
พอปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่นอกห้องลับปิดด่านของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ยืนมองอยู่พักหนึ่ง ราชาผียักษ์ก็แค่นเสียงเย็น ไม่ได้บุกเข้าไปอย่างที่เคยทำ แต่เปล่งเสียงวางอำนาจออกมา
“ป๋ายฮ่าว!”
เสียงนี้ดังเข้ามาในห้องลับ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังทำสมาธิเข้าฌานสะดุ้งโหยง ลืมตาโพลง ยังไม่ทันตั้งตัวได้ ราชาผียักษ์ที่อยู่ข้างนอกสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นแล้วจึงเดินพรวดเข้ามาข้างใน มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงันไปพักหนึ่ง มองเห็นราชาผียักษ์ที่มาโผล่อยู่ด้านหน้าตัวเองก็รีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ
“คารวะหวังเหย่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่าทำไมราชาผียักษ์ผู้นี้ชอบปรากฏตัวกะทันหันอยู่เรื่อย นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว โตจนหัวหงอกกลับไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย แต่พอเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีรีบร้อนเช่นนี้ คิดดูแล้วคงไม่มีเรื่องดีอะไรแน่ ดังนั้นจึงรีบเปิดปาก
“หวังเหย่ หลายวันก่อนข้าฝึกบำเพ็ญตบะไม่ทันระวังเลยไปทำลายพลังก่อกำเนิดเข้า ตอนนี้มีอาการบาดเจ็บอยู่กับตัว ไม่สามารถไปที่ไหนได้แล้ว ส่วนยาวาสนาทลายฟ้านั้นข้าก็กินไปแล้วเก้าครั้ง ไม่มีให้ใช้แล้วขอรับ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบแก้ไขความผิดพลาดที่ตัวเองเคยทำไว้คราวก่อนทันที แม้ว่าเขาจะกินยาวาสนาทลายฟ้าไปแค่สามครั้ง แต่ก็ยังพูดโกหกได้หน้าตาเฉย
“เฉินม่านเหยาอยู่ในมือเจ้าหรือไม่!” ราชาผียักษ์ถลึงตา แค่นเสียงกล่าว ไม่สบอารมณ์อย่างมากกับท่าทางเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน
ประโยคนี้ดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลายมาเป็นสายฟ้าบ้าคลั่งที่ฟาดผ่าลงมา ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำรัวเร็วทันที เขาใจหายวาบ พูดกับตัวเองว่าท่าไม่ดี
เฉินม่านเหยาย่อมอยู่ในมือเขาอยู่แล้ว แต่เขายังคิดไม่ออกว่าควรจะพูดคุยกับนางอย่างไร ทั้งยังกังวลว่าเฉินม่านเหยาจะจำตนได้ ในขณะที่ยังคิดไม่ตกนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็มอบตัวเฉินม่านเหยาให้อีกฝ่ายไม่ได้
ยามนี้จึงรีบส่ายหน้า ทั้งยังทำท่างุนงง มองราชาผียักษ์ตาซื่อใส
“หวังเหย่ เฉินม่านเหยาคือใครหรือขอรับ? ฟังชื่อแล้วเหมือนจะเป็นผู้หญิง หรือว่าหวังเหย่ถูกใจนาง? หวังเหย่โปรดวางใจ ข้าน้อยจะต้องไปจับตัวนางมาให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็ตบอกรับประกัน
หากเปลี่ยนมาเป็นคนที่ไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุน เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาคงต้องมีลังเลกันบ้าง เพราะทักษะการแสดงของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นดีเลิศยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือสีหน้าต่างก็สมจริง ราวกับไม่รู้จักคนชื่อเฉินม่านเหยาจริงๆ
ทว่าราชาผียักษ์รู้ไปถึงไส้ถึงพุงของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขาจึงถลึงตา คำรามฮึ่มฮั่มใส่อีกฝ่าย
“อย่ามาแสแสร้งแกล้งโง่ใส่ข้า!”
“ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะป๋ายฮ่าว เฉินม่านเหยาผู้นั้นแตะต้องไม่ได้ หญิงผู้นี้ภูมิหลังยิ่งใหญ่มากนัก” สีหน้าของราชาผียักษ์เคร่งเครียดจริงจัง ถึงขั้นแผ่พลานุภาพสยบออกมาปกคลุมรอบด้าน เสียงก็ดังราวอสนีบาต หมายจะขู่ขวัญป๋ายเสี่ยวฉุน
แต่เขาใช้มุขนี้กับคนอื่นได้ผล ทว่าช่วงที่ผ่านมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นชินกับการวางมาดข่มขู่ของราชาผียักษ์แล้ว เขาจึงมองราชาผียักษ์ตาปริบๆ สีหน้าตัดพ้อน้อยใจ
“หวังเหย่ ข้าไม่รู้จักเฉินม่านเหยาจริงๆ นะขอรับ”
“พอที ที่นี่ไม่มีคนอื่นอยู่ เจ้าไม่ต้องทำสีหน้าแบบนี้ ข้าผู้อาวุโสรู้ว่าเจ้าถูกใจความงามของเฉินม่านเหยา ทว่านางเป็นศิษย์รักษ์ของต้าเทียนซือ ตอนนี้ต้าเทียนซือถามหาแล้ว เจ้าจงรีบปล่อยนางออกมาซะ ก็แค่สาวงามไม่ใช่หรือ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว วันหน้าเดี๋ยวข้าหามาให้เจ้ามากกว่านี้ก็สิ้นเรื่อง” ราชาผียักษ์เอ่ยอย่างหงุดหงิด เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ง่ายดายมาก ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่คิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นคนไม่รู้ความ
เมื่อเห็นว่าราชาผียักษ์พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้คิดไม่ตก เขาไม่กล้าปล่อยเฉินม่านเหยาไปจริงๆ เรื่องนี่เกี่ยวพันกับชีวิตน้อยๆ ของเขา ในสมองหมุนจึงเร็วจี๋ กำลังหาทางคลี่คลายปัญหา ราชาผียักษ์มองปราดเดียวก็รู้ถึงความลังเลของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงโมโหเดือดขึ้นมาทันที
คราวนี้เขาโกรธเข้าแล้วจริงๆ ทั่วร่างถึงกับปล่อยไอเย็นเยียบออกมา นัยน์ตาที่ใช้มองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเย็นชา กล่าวเนิบช้า
“ส่งตัวเฉินม่านเหยาออกมาเดี๋ยวนี้ ป๋ายฮ่าว อย่าได้บีบให้ข้าผู้เป็นราชาต้องลงมือกับเจ้า!” ในดวงตาของราชาผียักษ์เต็มไปด้วยปราณแห่งความเย็นน่าสะพรึง น้ำเสียงที่ใช้ก็เย็นเยียบราวหิมะที่ตกในวันอากาศหนาวที่สุด ทำให้ในห้องลับแห่งนี้กลายมาเป็นบ่อน้ำแข็งในชั่วพริบตา!