บทที่ 722 อาจารย์และศิษย์ที่พึ่งพาอาศัยกันเพื่อดำรงชีวิต
ตลอดทั้งนครจักรพรรดิขุย หากไม่นับรวมพระราชวังจะแบ่งออกเป็นเก้าสิบเจ็ดพื้นที่ และในเก้าสิบเจ็ดพื้นที่นี้ตรงกลางจะกินพื้นที่ส่วนหนึ่ง ทางทิศเหนือมีพื้นที่เกือบสองส่วนซึ่งกินอาณาบริเวณใหญ่ที่สุด
ร้านหลอมพลังจิตร้านนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งอยู่ริมขอบของพื้นที่ถนนเส้นที่แปดสิบเก้า แม้จะไม่นับว่าเจริญรุ่งเรืองมากนัก แต่ขอแค่เป็นร้านที่อยู่ในนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้ ราคาก็แพงลิบลิ่วอยู่แล้ว
กว่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเจอร้านนี้ ฟ้าก็มืดมากแล้ว ทว่าบนถนนเส้นนี้กลับยังคงมองเห็นแสงไฟสว่างไสวจากในร้านรวงต่างๆ รวมถึงกลุ่มคนที่เดินเข้าๆ ออกๆ
เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองร้านที่อยู่เบื้องหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ร้านนี้พื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก เพียงแค่หนึ่งจั้งเท่านั้น หากเทียบกับร้านอื่นๆ ที่มีขนาดสามจั้งห้าจั้งแล้ว ร้านของเขาก็ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย
ป้ายที่แขวนไว้หน้าประตูมีตัวอักษรอยู่สามคำว่า “ร้านหลอมพลังจิต”
แค่อักษรง่ายๆ สามคำ ทั้งสภาพก็ผุพังเต็มที นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อไปทันใด ส่วนด้านในนั้นมีลักษณะเป็นทรงยาว ดูเหมือนนอกจากร้านค้าแล้ว ยังมีลานบ้านด้านหลังอีก เพียงแต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ แล้วก็ดูเล็กแคบกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด
แถมด้านในที่แม้จะเปิดไฟเอาไว้ แต่กลับไม่สว่างไสวเท่าใดนัก เทียบกับไฟเจิดจ้าของร้านอื่นๆ แล้ว เรียกว่าต่างกันไกลโข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มคนที่แวะเวียนเข้าไปด้านในเลย
สิ่งเดียวที่พอจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกดีได้บ้างก็คือในร้านนี้หาใช่ไม่มีลูกค้า
ยามนี้มีชายหนุ่มยืนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าหน้าอกของเขาจะกระเพื่อมขึ้นลงเพราะหอบหายใจอย่างหนัก ยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไป เขาก็เห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นระเบิดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล
“ไข่มุกเมฆไหลเดือนสามของข้ากลับถูกเจ้าหลอมจนพังพินาศไปหมด!!”
“สมควรตายนัก ข้าแค่ขอให้พวกเจ้าหลอมพลังจิตให้สองครั้งเท่านั้น แค่สองครั้งเอง เจ้าๆๆ ” ชายหนุ่มผู้นั้นแผดเสียงอย่างบ้าคลั่ง พอเสียงนั้นดังออกมาจากในร้าน คนที่เดินไปเดินมาอยู่รอบด้านจึงพากันหันมามอง และยังมีคนไม่น้อยที่เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา
“คนผู้นี้น่าจะมาจากที่อื่น หาไม่แล้วจะเลือกมาหลอมพลังจิตที่ร้านนี้ได้อย่างไร”
“นั่นสิ ร้านหลอมพลังจิตแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเสียหาย เปิดมาได้จนถึงตอนนี้ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ยิ่ง”
ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขมวดคิ้วมุ่น มองชายหนุ่มที่อยู่ในร้านซึ่งเดินจากไปพร้อมความโมโห แถมยังหันไปด่ากราดใส่ร้านอีกหลายคำ ก่อนจะยอมจากไปอย่างหงุดหงิด ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งที ในที่สุดเขาก็มองออกแล้วว่าร้านแห่งนี้นอกจากราคาของตัวร้านเองแล้วก็ไม่มีมูลค่าอื่นๆ อีก
“ช่างเถอะๆ เดิมทีข้าก็แค่คิดอยากจะหาที่พักเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว เดินเข้าไปในร้าน พอเข้ามาข้างในจึงเห็นว่าในร้านที่ไม่ใหญ่นี้มีลูกจ้างแก่ชราอยู่แค่คนเดียว เขากำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางเกียจคร้าน ส่วนผนังรอบด้านก็ยิ่งว่างเปล่า แม้จะมีวัตถุหลอมพลังจิตจัดวางไว้บางส่วน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดเดียวก็รู้ว่าวัตถุเหล่านั้นผ่านการหลอมพลังจิตมาอย่างมากสุดก็แค่สามสี่ครั้งเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้ามา ลูกจ้างเฒ่าคนนี้ก็หาวหวอด สายตากวาดมองมาบนร่างป๋ายเสี่ยวฉุนแต่ก็ไม่ได้สนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองไปรอบด้านแล้วก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะแล้ววางแผ่นหยกโฉนดที่ดินลงไป
“จะหลอมแผ่นหยกชิ้นนี้รึ? บอกไว้ก่อนนะ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องจ่ายเงินล่วงหน้ามาก่อน และถ้าล้มเหลว ข้าก็ไม่รับผิดชอบ” ลูกจ้างเฒ่าคนนั้นอึ้งงันก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นอย่างกังขา พอพูดประโยคนี้จบถึงได้หยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมามอง แล้วเขาก็ต้องอึ้งงันไปอีกครั้ง ก่อนจะเบิกตากว้าง
“เจ้าคือเจ้าของร้าน?” ลูกจ้างเฒ่าลุกพรวดขึ้นยืน มองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายทีแล้วจึงนั่งลงไปใหม่อีกครั้ง
“นี่น่าจะเป็นร้านของข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มาผิดร้านจึงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอัดอั้น
“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็คิดเงินเดือนมาให้ข้าแล้วกัน หนึ่งปีสามพันยาวิญญาณ และยังมีของปีหน้าอีกสามพันยาวิญญาณ หากไม่ให้ก็อย่ามาโทษถ้าข้าผู้อาวุโสจากไปไม่ใยดี” ลูกจ้างเฒ่านั่งอยู่ตรงนั้น เขาเอ่ยด้วยความโอหังเล็กน้อย สายตากวาดมองร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ในสายตาของเขา แม้ฝีมือการหลอมพลังจิตของตนจะธรรมดา แต่ก็คุ้นเคยกับร้านและนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้เป็นอย่างดี เมื่อตนเป็นคนเดียวที่ดูแลร้านนี้ อีกฝ่ายย่อมขาดตนไม่ได้
“เงินเดือน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่ หลังจากซักไซ้อย่างละเอียดอีกสองสามประโยคก็เข้าใจทันทีว่าถึงแม้เดิมทีกิจการของร้านนี้จะธรรมดา แต่กลับไม่ได้มีสภาพอย่างในตอนนี้ เพียงแต่หลังจากที่ร้านนี้เป็นของป๋ายเสี่ยวฉุน ตระกูลเดิมที่ครอบครองร้านนี้ก็ถอนตัวสมาชิกทุกคนในร้านออกไป เหลือไว้แค่ลูกจ้างเฒ่าคนนี้ผู้เดียวให้เป็นคนดูแล
ฝีมือการหลอมพลังจิตของลูกจ้างเฒ่าคนนี้พื้นๆ อย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้สถานการณ์ของร้านยิ่งย่ำแย่ แม้ทุกวันนี้อาจไม่ถึงขั้นชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปทั่ว แต่ก็แทบจะไม่ต่างกันเท่าใดนัก วันปกติแทบไม่มีใครเข้าร้าน บางครั้งที่มีคนต่างถิ่นแวะเวียนเข้ามาก็มักจะถูกหลอกกลับไป จึงไม่เคยมีใครมาอีกเลย
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกพูดไม่ออก มองลูกจ้างเฒ่าเบื้องหน้าที่ทำท่าราวกับว่าหากเจ้าไม่ให้เงินเดือนข้า ข้าก็จะสะบัดหน้าจากไป เขาจึงตบถุงเก็บของแล้วหยิบยาวิญญาณสามพันเม็ดโยนไปให้อีกฝ่าย
“รีบไปซะ!”
“เจ้าบอกให้ข้าไป!” ลูกจ้างเฒ่าตะลึงงัน สีหน้าไม่สบอารมณ์ พอหยิบยาวิญญาณสามพันเม็ดนั้นไปได้ก็สะบัดปลายแขนเสื้อแล้วเดินออกจากร้านทันที
“คอยดูเถอะ อีกไม่ถึงหนึ่งเดือน คนผู้นี้ต้องมาเชิญตัวข้ากลับแน่นอน ในนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้ ร้านหลอมพลังจิตมีมากมาย การแข่งขันของที่นี่ดุเดือด คิดจะหาอาจารย์หลอมวิญญาณสักคนมานั่งเฝ้า ค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่ายย่อมสูงยิ่งกว่านี้”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยันพร้อมเดินจากไปไกลเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่าลูกจ้างเฒ่าจากไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กวาดตามองร้านที่วางเปล่าแล้วถือโอกาสปิดประตูร้านเสียเลย จากนั้นจึงร่ายตราผนึกไปรอบร้านแล้วเริ่มทำความสะอาด จนกระทั่งถึงกลางดึก ในที่สุดเขาก็จัดการทั้งนอกทั้งในร้าน รวมไปถึงที่พักและลานบ้านด้านหลังจนเรียบร้อยหมดทุกส่วน แล้วเสร็จถึงได้นั่งขัดสมาธิอยู่ในลานบ้านด้านหลัง มองไปรอบด้านก็ต้องถอนหายใจเฮือก
“ที่นี่เทียบกับที่พักในนครผียักษ์ของข้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว คิดถึงช่วงเวลาในนครผียักษ์อย่างยิ่งยวด และยิ่งมากด้วยความเสียใจ หากตอนนั้นยอมปล่อยเฉินม่านเหยาไปแต่โดยดีก็คงหมดเรื่องหมดราวไปแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พอใจร้านนี้อย่างมาก ทว่าวิญญาณป๋ายฮ่าวนั้นกลับคิดต่างออกไป เขาพอใจร้านนี้อย่างถึงที่สุด เขาเป็นผีนักพรต ร่างของวิญญาณมีความพิเศษ หลังจากล่องลอยไปมาอยู่ในร้านแห่งนี้อยู่หลายรอบ สีหน้าก็เผยความพึงพอใจ เมื่อกลับมาถึงข้างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิม
“อาจารย์ ที่นี่ดีมากเลย ในเมื่อช่วงเวลาสั้นๆ นี้พวกเรายังกลับนครผียักษ์ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็พักอยู่ที่นี่แล้วกัน พลังวิญญาณของที่แห่งนี้ช่วยบำรุงข้าได้มาก ฝึกตนอยู่ที่นี่จะพัฒนาได้รวดเร็วกว่าที่อื่นๆ” วิญญาณป๋ายฮ่าวกล่าวด้วยความตื่นเต้น พอสะบัดร่างหนึ่งครั้งก็กลายมาเป็นชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน
“ปราณวิญญาณขี้ปะติ๋วแค่นี้จะไปดีอะไร รอวันหน้าอาจารย์จะพาเจ้าไปยังสถานที่ที่ดีกว่านี้ ที่นั่นมีปราณวิญญาณเข้มข้นกว่าที่นี่หลายต่อหลายเท่า”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างซังกะตาย
“ท่านอาจารย์ไม่ต้องหมดอาลัยตายอยาก ข้ารู้สึกว่าที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว วันปกติท่านอาจารย์ก็ฝึกตนได้ ส่วนเรื่องดูแลร้าน ข้าก็ทำให้ท่านได้”
วิญญาณป๋ายฮ่าวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็มีท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อย ทุกวันเขาจะอยู่แต่ในสถูปวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ว่าด้วยความพิเศษของวิญญาณเขา รวมถึงพลังการคุ้มครองจากหน้ากากของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่กลัวว่าคนอื่นจะจับพิรุธได้ แต่อย่างไรซะก่อนตายเขาก็มีแค่ตบะสร้างฐานรากเท่านั้น และสถานที่ที่ไกลที่สุดซึ่งเขาเคยไปมาก็มีเพียงป่าลวงวิญญาณที่เขาเอาชีวิตไปทิ้งไว้เท่านั้น
ตอนนี้เมื่อได้มาอยู่ในนครจักรพรรดิขุย แถมยังมีร้านเป็นของตัวเอง นี่จึงทำให้อารมณ์ของเขาฮึกเหิมอย่างห้ามไม่ได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าป๋ายฮ่าวมีความสุข เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง สายตาที่กวาดมองวิญญาณป๋ายฮ่าวมีแววครุ่นคิด เขามองออกว่าสถานที่แห่งนี้เหมือนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเป็นที่ของตัวเอง
“ก็จริงนะ ลูกศิษย์คนนี้ของข้าชะตาชีวิตรันทดยิ่งนัก พอกลายมาเป็นผีนักพรตก็เพราะว่าข้าใช้ตัวตนของเขา ดังนั้นต่อให้เขาอยากจะทำความสนิทสนมกับคนอื่นมากแค่ไหนก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนเท่าไหร่นัก ลำบากเขาแล้วจริงๆ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ก่อนจะยกมือขวาทำมุทราชี้ไปที่วิญญาณของป๋ายฮ่าว ทันใดนั้นพลังหน้ากากของเขาก็แผ่ไปรวมอยู่บนร่างของวิญญาณป๋ายฮ่าวอีกหลายส่วน
“อาจารย์” ป๋ายฮ่าวอึ้งงัน
“ต่อไปเวลามีคนนอกอยู่ด้วยก็คงต้องลำบากให้เจ้าปลอมตัวเป็นวิญญาณทาสของอาจารย์แล้ว ด้วยพรสวรรค์การหลอมพลังจิตของอาจารย์ แค่พลิกฝ่ามือก็สามารถทำให้ร้านนี้กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลี่ยิ้ม ข้างกายของอาจารย์หลอมวิญญาณหลายคนในแดนทุรกันดารจะต้องมีวิญญาณทาสอยู่ด้วย ซึ่งวิญญาณทาสเหล่านั้นมักจะเหม่อลอย ทำได้เพียงเรื่องง่ายๆ บางอย่างเท่านั้น
ให้วิญญาณป๋ายฮ่าวปลอมเป็นวิญญาณทาสก็จะสามารถแก้ไขปัญหาตัวตนของเขาได้ อีกอย่างผีนักพรตนั้นไร้รูปลักษณ์ รูปร่างเปลี่ยนแปลงไปได้ เท่านี้ก็ไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองตัวตนของเขาออก
ป๋ายฮ่าวตื้นตันใจ เขามองอาจารย์ของตัวเองแล้วประสานมือโค้งตัวคารวะต่ำๆ
และก็เป็นเช่นนี้ อาจารย์ศิษย์สองคนอาศัยอยู่ในร้านด้วยกันอย่างนี้ จนกระทั่งผ่านไปได้หลายวัน ประตูใหญ่ของร้านถึงได้เปิดออกอีกครั้ง แม้ว่าภายนอกจะไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้เท่าใดนัก ทว่าอาจารย์หลอมพลังจิตได้ต่างจากคนเดิมราวฟ้ากับเหวแล้ว
เพียงแต่ร้านนี้มีชื่อเสียงเน่าเละไปแล้ว เปิดร้านมาเกินครึ่งเดือนก็ได้แต่มองฝูงชนด้านนอกที่เดินกันขวักไขว่เข้านอกออกในร้านอื่น มีเพียงร้านเขาเท่านั้นที่ไม่มีใครเข้ามาสอบถาม
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็นึกถึงคำพูดอวดตนของตัวเองก่อนหน้านี้เลยเริ่มนั่งไม่ติด หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่เขาจึงสั่งความป๋ายฮ่าวทันที
“ศิษย์ข้า ข้าคิดมาแล้ว ร้านของพวกเราไม่มีคนเข้าเป็นเพราะชื่อร้านไม่โดดเด่นพอ เจ้าไปเปลี่ยนชื่อ ให้ชื่อว่า ร้านหลอมพลังจิตอันดับหนึ่งในใต้หล้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยอย่างลำพองใจ