บทที่ 723 หาหน้าม้ามาหนึ่งคน
วิญญาณป๋ายฮ่าวลังเลเล็กน้อย เขารู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูยิ่งใหญ่เกินไป แต่พอเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ก้มหน้าก้มตาไปจัดการให้ ไม่นานป้ายชื่อร้านก็เปลี่ยนมาเป็นตัวอักษรเจ็ดคำ
ร้านหลอมพลังจิตอันดับหนึ่งในใต้หล้า!
พอป้ายนี้ถูกเอาขึ้นแขวนก็สร้างความฮือฮาให้กับร้านรอบด้านทันที อีกทั้งพอคนที่เดินผ่านไปมาพากันหันมาเห็นป้ายนี้ต่างก็มีสีหน้าเหยเก
และหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนป้ายแล้วก็ไม่ได้ไปศึกษาตำรับการหลอมไฟสิบหกสีอย่างในเวลาปกติ แต่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะด้วยความฮึกเหิม จ้องมองไปยังประตูใหญ่ตาปริบๆ รอให้มีคนเข้ามา
วิญญาณป๋ายฮ่าวยืนอยู่ข้างกัน เห็นท่าทางตื่นเต้นคึกคักของอาจารย์ แม้ในใจเขาจะรู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูใหญ่โตเกินจริงไปหน่อย แต่ก็ยังคงรอลูกค้าเดินเข้ามาเช่นเดียวกับป๋ายเสี่ยวฉุน
เพียงแต่รอมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว คนที่เดินผ่านหน้าประตูมีพอหลายร้อยคน ทว่ากลับยังคงไม่มีใครเข้ามา กลับกลายเป็นว่ามีคนไม่น้อยที่พอเห็นชื่อบนป้ายก็ถึงกับชี้ไม้ชี้มือหัวเราะด้วยความขบขัน
“อันดับหนึ่งในใต้หล้า? อวดอ้างเกินไปหน่อยไหม”
“ข้ารู้มาว่าร้านหลอมพลังจิตแห่งนี้ ก่อนหน้านั้นก็มีชื่อเสียงติดลบจนไม่มีใครเข้าร้าน แถมยังหลอมอาวุธวิเศษของคนจำนวนไม่น้อยพังป่นปี้ นี่คงเป็นเพราะใช้ชีวิตต่อไปไม่รอดแล้วถึงได้เปลี่ยนชื่อมาหลอกคนอื่นต่อ”
“ทำเรื่องชวนหัวแบบนี้จะมีความหมายอะไร ผู้ฝึกวิญญาณอย่างพวกเราต้องการของดีที่จับต้องได้อย่างแท้จริง!”
เสียงเหล่านี้ทยอยกันดังเข้ามา สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความรอคอยก็ค่อยๆ กลายมาเป็นเขียวคล้ำ ถึงท้ายที่สุดสีหน้าของเขาก็น่าเกลียดถึงขีดสุด เขาสูดลมหายใจเข้าลึก บอกกับตัวเองว่าต้องยืนหยัดต่อไปอีกสักหน่อย ดังนั้น วันที่สอง วันที่สาม จนกระทั่งผ่านไปได้เจ็ดวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
เจ็ดวันมานี้ คนที่เข้ามาในร้านไม่มีเลยสักคนเดียว ช่วงแรกเริ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกยังมีไม่น้อย แต่พอถึงท้ายที่สุดก็แทบจะไม่มีเหลืออีก ที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรับไม่ได้ที่สุดก็คือขนาดเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันก็ยังหายไปด้วย
กลับคืนสู่สภาพไร้คนสนใจใยดีอย่างที่เคยเป็น นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มใจ ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมแพ้ด้วย
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนมากพรสวรรค์ที่เดินไปทางไหนก็ชักนำให้ลมและเมฆปั่นป่วนอย่างข้าจะมาติดชะงักอยู่กับร้านเล็กๆ แห่งนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกวิญญาณป๋ายฮ่าวที่ยิ้มเจื่อนออกมาทันที แล้วจึงสั่งความต่อไป
“ศิษย์ข้า ข้าคิดมาแล้ว พวกเราแค่เปลี่ยนชื่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องเพิ่มกลอนคู่ไว้ที่หน้าร้านเพื่อแสดงให้เห็นถึงความห้าวหาญของพวกเราด้วย!”
“กลอนคู่นั้นข้าก็คิดมาดีแล้ว ทั้งสั้นกระชับได้ใจความ เขียนไปว่า ‘หลอมพลังจิตหนึ่งครั้งเริ่มที่พันยา ไม่มีหมื่นยาอย่าหวังว่าจะเข้าประตู’!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อ กล่าวด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“แล้วเอ่อ กลอนแนวขวางจะเขียนว่า?” ป๋ายฮ่าวตกตะลึงไปกับกลอนคู่ประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงถามออกมาอย่างเหม่อลอย *(กลอนคู่คือกลอนแนวตั้งที่ติดสองข้างฝั่งประตู กลอนแนวขวางติดเหนือประตูด้านบน)
“ไม่หลอมก็อย่าหลอม!”
วิญญาณป๋ายฮ่าวอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แอบพูดกับตัวเองว่าเอาเถอะ ขอแค่อาจารย์มีความสุขก็พอ ดังนั้นเขาจึงไปจัดการติดกลอนคู่ไว้ที่หน้าประตู พอกลอนคู่นี้ถูกติดลงไป บวกกับกรอบป้ายร้านก็สร้างความครึกโครมในขอบเขตเล็กๆ ได้อีกครั้ง ร้านอื่นๆ ที่อยู่ข้างนอกและผู้คนที่เดินผ่านไปมาพอมองเห็นทั้งป้ายทั้งกลอนก็ตะลึงงันไปกับความบ้าระห่ำของร้านนี้
“หลอมพลังจิตหนึ่งครั้งต้องจ่ายยาวิญญาณตั้งหนึ่งพันเม็ด แถมนั่นยังเป็นแค่ราคาเริ่มต้นด้วย? ร้านอื่นๆ มากสุดแค่ไม่กี่ร้อยเม็ดก็ได้แล้ว เริ่มต้นที่หนึ่งพันยาวิญญาณ นี่อย่างน้อยก็ต้องเป็นราคาของอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำแล้วนะ”
“พวกเขายากจนเลยบ้าไปแล้วหรือไง จะลงหลุมทั้งทีเลยขุดหลุมให้ลึกเข้าไว้อย่างนั้นรึ?”
“ร้านนี้น่าสนใจแหะ”
เมื่อเห็นว่าชักนำให้เกิดความครึกโครมได้อีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่า ขณะที่กำลังรอคอย ดวงตาของป๋ายฮ่าวที่อยู่ข้างกันก็พลันเป็นประกาย เอนเข้ามากระซิบอะไรอยู่ข้างหูป๋ายเสี่ยวฉุนสองสามคำ ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ตบขาฉาดใหญ่ เห็นด้วยทันที
บางทีอาจเป็นเพราะวิธีนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ผลจริงๆ หรือไม่ก็เพราะพูดจาใหญ่โตเกินไป เป็นเหตุให้มีคนไม่พอใจ ดังนั้นวันที่สองหลังจากติดกลอนคู่ลงไป ในที่สุดร้านหลอมพลังจิตอันดับหนึ่งในใต้หล้าจึงได้ต้อนรับลูกค้าคนแรก
นั่นคือชายฉกรรจ์ชนพื้นเมืองคนหนึ่ง ต่อให้เขาย่อร่างให้เล็กลง แต่มองดูแล้วก็ยังสูงถึงหนึ่งจั้งกว่า เรือนกายบึกบึนไม่ธรรมดา ตอนที่เดินเข้ามาในร้าน พื้นดินถึงกับสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง
เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา วิญญาณของป๋ายฮ่าวก็ลอยออกมาทันที ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ชายฉกรรจ์คนนั้นพลันโบกมือขว้างขวานศึกขนาดยักษ์เล่มหนึ่งออกมา ขวานศึกเล่มนั้นปักลงบนพื้นดังปัง แม้ว่าขวานเล่มนี้จะธรรมดา ทว่าด้านบนกลับมีลายเส้นสีเงินหกเส้น มองดูแล้วน่าครั่นคร้ามไม่น้อย
“ป้ายข้างนอกของเจ้าเขียนไว้กำเริบเสิบสานขนาดนั้น ขวานศึกเล่มนี้ของข้าหลอมพลังจิตมาแล้วหกครั้ง ครั้งที่เจ็ดต้องการให้พวกเจ้าหลอม หากหลอมได้ดี อย่าว่าแต่พันยาเลย ข้าจะให้พวกเจ้าสามพันเม็ดด้วยซ้ำ แต่หากหลอมไม่ดี วันนี้ข้าจะรื้อที่นี่ทิ้งซะ!” เสียงของชายฉกรรจ์ราวเสียงฟ้าคำรณที่ดังกระหึ่มเล็ดรอดไปข้างนอก ดึงดูดความสนใจให้คนไม่น้อยพากันมองมาได้ทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง เดินออกมาจากหลังโต๊ะด้วยสีหน้าหยิ่งผยองนิ่งขรึม เขากวาดตามองขวานเล่มนั้นปราดเดียวก็เอ่ยเสียงเรียบ
“มีวัตถุดิบจ่ายยาสามพันเม็ด ไม่มีวัตถุดิบจ่ายยาหนึ่งหมื่นเม็ด!”
ชายฉกรรจ์ถลึงตามองป๋ายเสี่ยวฉุน บนใบหน้าที่ดุร้ายยกยิ้มน่าสะพรึงกลัว
“ดี งั้นก็หนึ่งหมื่นเม็ด ข้าจะรออยู่ที่นี่”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้า มือขวาคว้าจับผ่านอากาศ ขวานศึกเล่มนั้นก็ตรงดิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนที่เขาจะหิ้วมันเดินเข้าไปในห้อง ยามนี้คนข้างนอกที่มาดูเรื่องสนุกยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างตื่นตะลึงไปกับยาหนึ่งหมื่นเม็ดที่ชายฉกรรจ์ชนพื้นเมืองผู้นี้จ่ายไป
“หลอมพลังจิตหนึ่งหมื่นยาวิญญาณ แถมยังมาหลอมในร้านเล็กๆ แห่งนี้ หาดูได้ยากยิ่ง ชายฉกรรจ์ผู้นั้นคงไม่ได้เป็นหน้าม้ากระมัง? แต่ไม่เคยเห็นหน้าม้าคนไหนทำอะไรโจ่งแจ้งขนาดนี้มาก่อนนะ”
“หลอมพลังจิตเจ็ดครั้งก็ยังกล้ารับ หากล้มเหลวขึ้นมา ชื่อเสียงของร้านนี้คงย่อยยับไม่เหลือดีแน่”
“ร้านนี้ของพวกเขายังจะมีชื่ออะไรให้เหลืออีก หากหลอมไม่สำเร็จ ดูท่าร้านนี้ก็คงไม่เหลือด้วย”
และขณะที่คนด้านนอกกำลังพูดคุยกัน เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป คลื่นกระเพื่อมขุมหนึ่งก็พลันแผ่ออกมาจากในห้อง พอคลื่นนี้แผ่ออกมา ทุกคนก็พากันเบิกตากว้าง หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดินออกมาจากในห้องด้วยลมหายใจที่ชะงักค้าง ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนยามนี้ลากขวานศึกออกมาด้วย ซึ่งบนขวานมีเส้นสีเงินเส้นที่เจ็ดปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด!
“ทำสำเร็จแล้วจริงด้วย!”
“สวรรค์ นี่มันคือการหลอมพลังจิตเจ็ดครั้งเชียวนะ เวลาแค่หนึ่งก้านธูปก็ทำสำเร็จได้ด้วย!!”
ขณะที่ทุกคนฮือฮาไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โยนขวานศึกเล่มนั้นลงตรงหน้าชายฉกรรจ์ชนพื้นเมือง ส่วนตัวเขาเองเอามือไพล่หลัง วางมาดลึกล้ำสุดจะหยั่งประกอบด้วยสีหน้าของคนที่มีชะตาชีวิตไม่ธรรมดา
ชายฉกรรจ์ชนพื้นเมืองผู้นั้นตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าเผยความตื่นเต้น หลังจากหยิบขวานศึกขึ้นมาดู ดวงตาเขาก็เผยความเหลือเชื่อ ลมหายใจถี่รัว ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งทีอย่างไม่พอใจ
เสียงกระแอมนี้ดังไปเข้าหูของชายฉกรรจ์ชนพื้นเมือง เขาจึงคืนสติกลับมาทันใด สายตาที่ใช้มองป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างบ้าคลั่ง ก่อนตะโกนด้วยเสียงที่ดังที่สุด
“เทพยิ่งนัก ร้ายกาจเกินไปแล้ว นี่เป็นการหลอมพลังจิตที่น่าตะลึงที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิตนี้ หกครั้งถึงเจ็ดครั้งกลับทำสำเร็จในเสี้ยววินาที ปรมาจารย์ป๋าย ข้ายอมแล้ว ไม่เสียแรงที่ร้านของเจ้าชื่อว่าร้านหลอมพลังจิตอันดับหนึ่งในใต้หล้า ร้านหลอมพลังจิตอันดับหนึ่งในใต้หล้าแห่งนี้เป็นหนึ่งสมชื่ออย่างแท้จริง!”
“ทุกคนรีบมาดูเร็วเข้า ขวานศึกเล่มนี้ของข้าถูกหลอมพลังจิตเป็นครั้งที่เจ็ดสำเร็จแล้ว ที่นี่ไร้เทียมทานยิ่งนัก ต่อไปข้ายังจะมาอีกแน่ๆ!”
เสียงตะโกนนี้ดังสนั่นหวั่นไหว ทุกคนที่อยู่ข้างนอกได้ยินกันอย่างชัดเจน ไม่นานสีหน้าของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด ราวกับว่าทุกคนต่างรู้สึกขบขัน เพราะทักษะการแสดงของชายฉกรรจ์ผู้นี้ย่ำแย่ยิ่งนัก ประโยคนี้ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็เหมือนกำลังโฆษณาให้กับร้านนี้ รู้กระทั่งว่าอาจารย์หลอมพลังจิตแซ่ป๋าย
วิญญาณป๋ายฮ่าวที่อยู่ด้านข้างยิ้มเจื่อน ชายฉกรรจ์คนนี้คือหน้าม้าจริงๆ นี่เป็นความคิดของเขาเอง หลังจากที่บอกให้อาจารย์รับรู้ เขาก็ไปหาตัวอีกฝ่ายมา
ทว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ความคิดของเขา แต่เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่เรียกร้องให้อีกฝ่ายพูดเช่นนี้ แถมนี่ยังผ่านการแก้ไขจากเขามาบ้างแล้วด้วย หากให้พูดตามประโยคดั้งเดิมของป๋ายเสี่ยวฉุนจะยิ่งฟังเกินจริงกว่านี้อีก
เดิมทีตามแผนการของป๋ายฮ่าวก็คือจะให้ชายฉกรรจ์ผู้นี้แสดงอย่างละมุนละไมสักหน่อย ไม่ต้องเปิดเผยพิรุธอะไรมากนัก แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าโจ่งแจ้งไปหมด
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว เขาขมวดคิ้วฉับ รู้สึกว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้ยังพูดไม่เยอะพอ ตามที่เขาบอกไปก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายต้องพูดสรรเสริญตนก่อน แล้วค่อยเยินยอร้านแห่งนี้ สุดท้ายถึงเอ่ยชื่นชมการหลอมพลังจิต อย่างน้อยต้องพูดให้นานถึงหนึ่งก้านธูปถึงจะถูก
ทว่าตอนนี้มีคนอยู่เยอะ แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่พอใจ แต่จะพูดออกมาโต้งๆ ก็ไม่ได้ ได้แต่เชิดหน้าต่อไป ยังคงวางท่าลึกล้ำสุดจะหยั่ง ประหนึ่งมีเพียงข้าเท่านั้นที่สูงส่ง ดวงตาทั้งคู่จ้องมองไปบนฟ้าไกล
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นตะเบ็งเสียงชื่นชมอีกพักหนึ่งถึงได้จ่ายยาวิญญาณแล้วจากไปด้วยความปิติยินดี จนกระทั่งเขาจากไปไกลแล้ว ทุกคนที่อยู่ข้างนอกถึงหันมามองหน้ากันด้วยความกังขาในใจ ไม่นานนักก็มีคนคนหนึ่งกัดฟันเดินเข้าไปในร้าน
แม้ชายฉกรรจ์คนนั้นจะเป็นหน้าม้าที่แสดงออกชัดเจนเกินไปหน่อย แต่อย่างไรซะการหลอมพลังจิตเจ็ดครั้งสำเร็จ สำหรับผู้ฝึกวิญญาณแล้ว แค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอ
เวลาตลอดทั้งวันมีลูกค้าเข้ามาทั้งหมดหกคน เมื่อวัตถุหลอมพลังจิตของคนทั้งหกนี้มีเพียงครั้งเดียวที่ล้มเหลว ส่วนห้าครั้งล้วนสำเร็จ ทุกคนที่อยู่นอกร้านก็เริ่มแสดงความสนใจขึ้นมาทันที
อันตราความสำเร็จเช่นนี้มากพอจะทำให้คนใจเต้นกระหน่ำได้แล้ว ดังนั้นเมื่อเปิดร้านในวันต่อมาจึงมีคนเข้ามาเยือนมากถึงยี่สิบกว่าคน อีกทั้งในครึ่งเดือนต่อมา ร้านหลอมพลังจิตอันดับหนึ่งในใต้หล้าแห่งนี้ก็สร้างความครึกโครมให้กับพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างแท้จริง ชื่อเสียงของร้านไม่เพียงแต่โด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังระบือไปไกลยิ่งกว่าเดิมด้วย!
และเมื่อชื่อเสียงเริ่มขจรไปไกลจึงทำให้ร้านนี้มีชื่อขึ้นมาในขอบเขตเล็กๆ ของพื้นที่ที่แปดสิบเก้าแห่งนี้ ดังนั้นคนที่มาเยือนจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้น แม้จะไม่สำเร็จทุกครั้ง แต่ก็ยังคงรักษาอัตราห้าครั้งสำเร็จสามครั้งเอาไว้ได้ นี่ทำให้ผู้ฝึกวิญญาณตื่นตะลึงและดีใจกันมาก พอคนพูดกันปากต่อปาก หนึ่งเดือนให้หลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยุ่งจนหัวหมุน พอปรึกษากับป๋ายฮ่าวจึงตั้งกฎว่าหนึ่งวันจะรับแค่สิบรายการเท่านั้น
ขณะเดียวกันการหลอมไฟของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องการวิญญาณพยาบาทจำนวนมาก แม้ว่าในสถูปวิญญาณของเขาจะมีอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรซะจำนวนก็มีจำกัด ในระยะเวลาสั้นๆ นั้นพอใช้ แต่พอนานวันเข้าก็ถูกนำมาใช้จนหมด
ดังนั้นร้านนี้จึงมีกิจการที่สองเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือการขายยาวิญญาณ ใช้วิญญาณพยาบาทมาซื้อยาวิญญาณ และสำหรับผู้ฝึกตนในแดนทุรกันดารแล้ว ยาวิญญาณคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการฝึกตน ทั้งยังพูดได้ว่าเป็นกิจการที่มีความต้องการมากที่สุดในขอบเขตของแดนทุรกันดารแห่งนี้
ยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นนำยาวิญญาณระดับกลางหรือแม้แต่ระดับสูงออกมาวางขาย นั่นจึงทำให้เกิดการแข่งขันกันทันที เพราะอย่างไรซะในร้านขายยาวิญญาณทั่วพื้นที่ที่แปดสิบเก้านี้ ยาวิญญาณระดับสูงก็มีให้เห็นน้อยมาก
ทว่าทางฝ่ายของป๋ายเสี่ยวฉุน ขอแค่มีวิญญาณมาแลก ต้องการยาวิญญาณระดับสูงมากเท่าไหร่ก็มีให้ซื้อเท่านั้น!
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้ร้านนี้ไม่มีชื่อเสียง ไม่โด่งดังก็นับว่าเป็นเรื่องยาก ไม่นานชื่อเสียงของร้านก็โด่งดังไปทั่วพื้นที่ที่แปดสิบเก้า