บทที่ 743 เขย่าคลอนทั้งเมือง
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนทอประกายเจิดจ้า เขาควบคุมทะเลเพลิงสิบหกสีน่าครั่นคร้ามที่อยู่รอบกายด้วยลมหายใจมั่นคง ทว่าความตื่นเต้นในใจทำให้เขาฮึกเหิมจนเนื้อเต้นไปทั้งร่าง ช่วงเวลานี้เขาเหมือนได้ย้อนกลับไปตอนที่หลอมยาอีกครั้ง ทุกครั้งที่เกิดแรงบันดาลใจเช่นนี้ เขามักจะรู้สึกเหมือนมีมือเล็กๆ มาเกาในหัวใจให้คันยิบๆ
“สิบเจ็ดสี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดังลั่น มือทั้งคู่ทำมุทรา ทันใดนั้นทะเลเพลิงสิบหกสีก็พลันหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางการหมุนโคจรนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้วิญญาณพยาบาทใดๆ ทว่าคลื่นความร้อนภายในกลับยิ่งปะทุเดือดมากขึ้นทุกขณะ
ทั้งยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าทะเลเพลิงนี้กำลังหดเล็กลง!
เหมือนถูกบีบอัดให้ค่อยๆ หดเข้ามาในขอบเขตหมื่นจั้ง ทั้งยังหดลงอย่างต่อเนื่อง กำลังไฟก็ยิ่งสะท้านสะเทือนฟ้าดิน ภายใต้คลื่นความร้อนนั้น ความว่างเปล่าที่อยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนบิดเบือน กลุ่มคนแปดทิศพากันตะลึงพรึงเพริด ถอยกรูดหนีห่างอย่างว่องไว ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา
จนกระทั่งถอยไปได้หลายหมื่นจั้ง พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า หัวใจของทุกคนสั่นไหวไม่หยุด และตอนนี้ผู้ฝึกลมปราณที่ห่างออกไปไกลยิ่งกว่าซึ่งสัมผัสได้ถึงแสงไฟสะท้านฟ้าก็พากันขยับเข้ามาใกล้ ทั้งยังมีทหารองค์รักษ์จำนวนมากกว่าเดิมที่พากันปรากฏตัวแล้วปิดผนึกพื้นที่แห่งนี้ไว้อย่างแน่นหนา
นั่นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้น่ากลัวเกินไป หากทะเลเพลิงระเบิดขึ้นมา ผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นก็คงร้ายแรงจนมิอาจจินตนาการได้
โจวหงตึงเครียดอย่างถึงที่สุด ส่วนซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าราวขี้เถ้ามอด ขณะเดียวกันในสายตาของพวกเขาก็เผยความตื่นเต้นปรากฏให้เห็น
แม้พวกเขาจะเป็นศัตรูกับป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าทั้งสามต่างก็เป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำเหมือนกัน สำหรับในด้านการหลอมไฟ พวกเขามีการแสวงหาความรู้เป็นของตัวเอง พอได้เห็นวิธีการหลอมไฟที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ มีหรือที่พวกเขาจะไม่ตื่นเต้น
ถึงขั้นที่ว่าตอนนี้ไม่มีใครสนใจการแข่งขันของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว ในสายตาของทุกคนมองเห็นแค่เพียงเงาร่างกลางทะเลเพลิงที่ปานประหนึ่งดวงสุริยากลางท้องฟ้าเท่านั้น!
ทะเลเพลิงผืนนั้นยังคงหมุนโคจร เสียงอึกทึกเขย่าคลอนฟ้าดินยังคงดังออกมาไม่ขาดสาย ภายใต้การบีบอัดนี้ ทะเลเพลิงเปลี่ยนจากหมื่นจั้งมาเหลือแค่แปดพันจั้ง หลังจากนั้นก็เป็นหกพันจั้ง จวบจนห้าพันจั้ง สามพันจั้งและเหลือเพียงหนึ่งพันจั้ง!
ชั่วขณะนั้นกลางทะเลเพลิงพันจั้งพลันมีสีหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมาย ทะเลเพลิงผืนนี้ก็ได้กลายมามีสิบเจ็ดสี!!
เมื่อไฟสิบเจ็ดสีปรากฏ ทุกคนรวมไปถึงพวกทหารองค์รักษ์ต่างก็รู้สึกเหมือนมีฟ้าลงผ่ากลางศีรษะ ต่อให้ก่อนหน้านี้จะพอเดาได้ แต่ทว่าพอได้เห็นเข้าจริงๆ ทุกคนกลับแตกตื่นคลุ้มคลั่งกันไปหมด
เพราะภาพนี้ทำลายความคิดของพวกเขา พลิกตลบความรู้ที่สืบทอดกันมาอย่างสิ้นเชิง สรรค์สร้างบทใหม่ลงบนประวัติศาสตร์แห่งการหลอมไฟ!!
“ไม่จำเป็นต้องใช้วิญญาณ เพียงแค่มีไฟก็สร้างไฟสิบเจ็ดสีได้!!”
“ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ภาพนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย!!”
“ป๋ายฮ่าวผู้นี้ต้องเป็นบุกเบิกการหลอมไฟแบบใหม่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้แน่นอน!!” ขณะที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนร้องอุทานด้วยความตกใจ
ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาตัวสั่นระริก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้มากพอจะส่งผลกระทบต่อวิถีการหลอมไฟของพวกเขาหลังจากนี้
ยามนี้ทุกคนล้วนจับตามองป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในมุมหนึ่ง วิญญาณป๋ายฮ่าวกำลังมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยนัยน์ตาที่แฝงเร้นความตื่นเต้น ทั้งยังมากด้วยความพอใจที่เหนือล้ำยิ่งกว่าทุกคน เขารู้ดีว่าอาจารย์ของตัวเองกำลังทดสอบวิธีการหลอมไฟสิบแปดสีที่ตนเคยเสนอไปก่อนหน้านี้
และการทดลองที่ล้ำค่านี้ก็สำคัญอย่างยิ่งต่อตำรับไฟสิบแปดสีที่ตนสร้างสรรค์ เขาจำเป็นต้องจดจำทุกภาพเหตุการณ์เอาไว้ เขามั่นใจมากพอว่าเมื่อผ่านเรื่องครั้งนี้ไป ตำรับการหลอมไฟสิบแปดสีของเขาต้องมั่นคงถึงเก้าในสิบส่วน!
“ไฟสิบแปดสี…” พอนึกถึงตำรับไฟสิบแปดสีที่ตนสร้างขึ้นมา
สิ่งที่วิญญาณป๋ายฮ่าวคิดถึงไม่ใช่เกียรติยศ ไม่ใช่ชื่อเสียง แต่เป็นประโยชน์มหาศาลที่ไฟสิบแปดสีจะมีต่ออาจารย์ของตน มันจะทำให้อาจารย์ของเขากลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน!
ต่อให้อาจารย์ของเขาจะเป็นคนไม่น่าเชื่อถือแค่ไหน ทว่าความรู้สึกระหว่างอาจารย์และศิษย์ของพวกเขาไม่เคยแปรเปลี่ยน นั่นคือญาติคนเดียวที่เขาเหลืออยู่
และเวลานี้ก็มีอำนาจจิตคนฟ้าหลายเส้นเยื้องกรายมาเยือน ทุกคนต่างก็สะท้านสะเทือน ถูกดึงดูดให้มาดูภาพนี้ให้เห็นเองกับตา และพอได้เห็น ต่อให้เป็นคนฟ้าก็ยังใจกระตุก
“เขายังไม่หยุดอีกหรือนี่” ไม่นานหลังจากรอบด้านมีคนคืนสติ เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจก็ยิ่งดังมากกว่าเดิม!
“เขาไม่ได้หยุดมือ แล้วก็ไม่ได้รวมไฟ นี่เขาจะ…”
“หรือว่าเขาจะ…”
“หลอมไฟสิบแปดสี ฝ่าทะลุขั้นสีดำ กลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินคนที่สี่ของแดนทุรกันดาร!!”
เมื่อเสียงดังออกมา รอบด้านก็พลันเงียบสงัด ทว่าพริบตาเดียว เสียงฮือฮาดังกระหึ่มกว่าเดิมหลายสิบเท่าก็พลันระเบิดกึกก้องไปทั่วฟ้าดินแห่งนี้
“ชั้นดิน…ป๋ายฮ่าวจะฝ่าทะลุสู่ชั้นดินจริงๆ หรือนี่?!”
“ฝ่าทะลุภายใต้สายตาจับจ้องของคนหลายแสนคน!!”
“ไม่ว่าเขาจะฝ่าทะลุขั้นได้สำเร็จหรือไม่ ความกล้าหาญนี้ก็ทำให้ข้านับถือได้แล้ว!!” ท่ามกลางเสียงดังเซ็งแซ่ของฝูงชน ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาต่างก็หอบหายใจจนหน้าอกกระเพื่อม ทั้งตื่นเต้น และทั้งมากด้วยความอับอายอย่างมิอาจบรรยายได้ ยามนี้พวกเขาถึงเพิ่งได้รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแท้จริง แล้วนั่นก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง
และขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดาและร้องอุทานกันอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในค่ายกลก็พลันเงยหน้าขึ้น ตบะของเขาพวยพุ่งขึ้นมาทันควัน ก่อนจะระเบิดตูมตามต่อเนื่อง ปากของเขาก็ยิ่งเปล่งเสียงคำรามกร้าวดั่งฟ้าคำรณ
“สิบแปดสี!!” เมื่อเสียงนั้นดังออกมา ทะเลเพลิงที่หมุนวนก็มาพร้อมกับเสียงครืนครั่นน่าครั่นคร้าม ทะเลเพลิงหมุนโคจรรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังหุบตัวอย่างว่องไว!
หนึ่งพันจั้ง แปดร้อยจั้ง หกร้อยจั้ง…ยังคงหดตัวเข้ามาเรื่อยๆ แม้จะเหลือแค่ในรัศมีไม่กี่ร้อยจั้ง กระนั้นพลังงานเปลวเพลิงที่อยู่ภายในก็ไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง กลับยิ่งดุเดือดมากขึ้น ความรู้สึกถึงวิกฤตอันตรายก็ยิ่งระเบิดออกมาอย่างเต็มกำลัง
ตูมๆๆ!
เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว ทะเลเพลิงนี้ก็แค่เหลือสามร้อยจั้ง!!
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มสั่นสะท้าน พลังอำนาจจิตของเขาถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ตบะของเขาก็เริ่มจะประคองไว้ไม่ไหว วิธีการหลอมไฟเช่นนี้จำเป็นต้องมีตบะมากพอ เขาจำเป็นต้องควบคุมการบีบอัดของเปลวเพลิงให้อยู่มือ ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยความแข็งแกร่งของเรือนกายด้วย หากเปลี่ยนมาเป็นคนที่เรือนกายไม่แข็งแกร่งมากพอย่อมไม่สามารถยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้
“ข้ายังทำได้ต่อ ข้าเชื่อว่าในเมื่อวิธีนี้สามารถแปรเปลี่ยนไฟสิบเจ็ดสีได้ ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นสิบแปดสีได้เหมือนกัน…ต่อให้เพียงแค่เสี้ยวเดียว…ก็มากพอจะพิสูจน์ได้ว่า วิธีนี้ของป๋ายฮ่าวศิษย์ข้า ใช้ได้จริง!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นสีแดงก่ำ ร้องคำรามอยู่ในใจ ก่อนจะแหงนหน้าแผดเสียงยาวเหยียด ครั้นจึงควบคุมทะเลเพลิงสามร้อยจั้งให้หดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง
เสียงตูมตามดังเขย่าฟ้าสะเทือนดิน ทะเลเพลิงสามร้อยจั้งผืนนั้นหดตัวเข้าหากันอีกครั้ง สองร้อยจั้ง หนึ่งร้อยจั้ง ห้าร้อยจั้ง…สามสิบจั้ง สิบจั้ง!!
และขณะที่ทะเลเพลิงนี้มีขนาดสิบจั้ง สีข้างในนั้นก็เกิดคลื่นเคลื่อนไหว พอคลื่นนี้กระเพื่อมออกมา ทุกคนก็เริ่มมองไม่ออกว่าข้างในนั้นมีกี่สีกันแน่ ทว่าพลังเปลวเพลิงที่อยู่ข้างใน มาบัดนี้กลับเหมือนจะเกิดการแปรสภาพบางอย่างที่แปลกประหลาดและน่าตะลึง!!
บัดนี้ไม่มีใครเอ่ยคำใด ทุกความคิดของผู้คนล้วนมารวมกันอยู่บนทะเลเพลิงเล็กๆ ผืนนั้น!
มองทะเลเพลิงที่เปลี่ยนจากสิบจั้งมาเป็นเจ็ดจั้ง ห้าจั้ง สามจั้ง…จวบจนหนึ่งจั้ง!
จากหลายหมื่นจั้งกลับหดเหลือแค่หนึ่งจั้ง และทันใดนั้นสีในทะเลเพลิงก็เปลี่ยนมาเป็นเด่นชัด ไม่ใช่สิบเจ็ดสี…แต่กลับมีอีกสีหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ซึ่งสีนั้นดูลึกลับมหัศจรรย์จนคนบอกไม่ถูกว่ามันคือสีอะไร ทว่าเมื่อได้เห็นแล้วกลับมิอาจลืมเลือนมันไปได้ชั่วชีวิต!!
สิบแปดสี!!
ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสี ลมพายุบ้าคลั่งพัดกวาดให้ก้อนเมฆเคลื่อนถอยแล้วสลายตัวออกจากกัน และในท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไป ชั้นเมฆหนาหนักพลันกลิ้งซัดตลบกันเป็นทอดๆ คล้ายทัณฑ์สวรรค์กำลังรวมตัวกันแผ่พลานุภาพลงมาสยบทั้งนครจักรพรรดิขุย!
บัดนี้นครจักรพรรดิขุยสั่นสะเทือน ผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนขุมหนึ่งที่สามารถเขย่าคลอนทุกชีวิต ผู้คนพากันใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง หันขวับมามอง และทันใดนั้นเสียงร้องอุทานหลงโทนก็ดังออกมาจากหลายจุดในนครจักรพรรดิขุยอย่างพร้อมเพรียงกัน
“นั่นมัน…”
“ไฟสิบแปดสี!!!”
สตรีธุลีแดงที่อยู่ในกองทัพผียักษ์ถูกแสงสว่างในนครจักรพรรดิขุยเขย่าคลอนจนรีบต้องกวาดอำนาจจิตมองมา เมื่อนางมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ตลอดทั้งร่างก็ราวกับถูกฟ้าผ่า ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ขณะเดียวกันบัดนี้ในวังหลวงที่อยู่บนท้องฟ้า ในตำหนักเทียนซือ ต้าเทียนซือของราชวงศ์จักรพรรดิขุยก็ได้ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหลุบตาลงมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน
“คนที่จักรพรรดิหมิงเลือก…ถึงกับหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้เสี้ยวหนึ่ง คนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาจะใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนนั้นหรือไม่?”
“จักรพรรดิหมิง ท่านต้องการอะไรกันแน่…” เนิ่นนาน ต้าเทียนซือถึงพึมพำขึ้นมาเบาๆ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
ขณะที่แปดทิศทางครึกโครมกันถ้วนทั่ว ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าขาวเผือด พลังกายและตบะลดลงไปฮวบฮาบ ร่างทั้งร่างเหมือนถูกควักออกไปจนกลวงโบ๋ เขามองทะเลเพลิงหนึ่งจั้งผืนนั้นที่พอไฟสิบแปดสีปรากฏในชั่วระยะเวลาสั้นๆ มันก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างดำเนินอยู่แค่เวลาสามชั่วลมหายใจ…ทะเลเพลิงหนึ่งจั้งก็ถูกเผาผลาญจนเหลือเพียงความว่างเปล่า…
เปลวไฟสิบแปดสีหายวับไปกับตาประหนึ่งดอกราตรีที่บานเพียงชั่วข้ามคืน!
วินาทีที่มันหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ เลือดสดสาดกระจายลงบนพื้นดิน ก่อนจะเซถอยหลังไปหลายก้าว และทุกคนที่อยู่รอบด้านซึ่งเห็นสถานการณ์นี้ก็พากันเงียบงันไปนาน แม้จะรู้สึกเสียดายไม่น้อย ทว่าสายตาที่พวกเขามองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเผยให้เห็นความกระตือรือร้นอันเร่าร้อน เผยความเคารพเลื่อมใส ก่อนที่ทุกคนรวมไปถึงทหารองค์รักษ์จะพร้อมใจกันยกมือขึ้นประสานแล้วก้มตัวคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน!
ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะล้มเหลว ทว่าก็ยังล้มเหลวอย่างมีเกียรติ!!
เพราะอย่างไรซะนั่นก็คือไฟสิบแปดสี คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงชั้นดินเท่านั้นถึงจะหลอมออกมาได้ และตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เดินอยู่บนวิถีทางแห่งการหลอมไฟอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง มีการสร้างสรรค์เป็นของตัวเอง ทำลายกรอบของการสร้างตำรับหลอมไฟที่คนอื่นๆ ไม่กล้ากระโดดออกมา
กลายมาเป็น ครึ่งก้าวชั้นดิน!!
ต่อให้ไฟสิบแปดสีนั้นจะดำรงอยู่แค่สามชั่วลมหายใจ ต่อให้จะมีเพียงแค่เสี้ยวเดียว แต่ก็ยังคงสะเทือนเลือนลั่นปฐพี ครึกโครมโลกทั้งใบ แล้วใครเล่าจะยืนยันได้ว่าป๋ายฮ่าวที่วันนี้หลอมไฟสิบแปดสีได้แค่เสี้ยวเดียว วันใดวันหนึ่งในอนาคตจะไม่สามารถหลอมไฟสิบแปดสีแล้วกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินผู้สูงศักดิ์คนที่สี่ของทั้งแดนทุรกันดารได้อย่างแท้จริง!!