Skip to content

A Will Eternal 744

บทที่ 744 ปรมาจารย์ป๋าย

คนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่โดยรอบต่างก็มองมาทางป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยอารมณ์ที่สะเทือนไหวไม่หยุด การที่ได้เห็นไฟสิบแปดสีกับตาตัวเอง แม้จะเป็นแค่เสี้ยวเดียว แม้จะเป็นแค่ชั่วแวบเดียว ทว่านี่ก็คือ

ไฟสิบแปดสี!

ต้องรู้ว่าตลอดทั้งแดนทุรกันดาร คนที่ได้เห็นไฟสิบแปดสีกับตาของตัวเองมีน้อยยิ่งกว่าน้อย สำหรับผู้ฝึกวิญญาณส่วนใหญ่แล้ว ไฟสิบแปดสีคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่แค่ในตำนาน หยุดอยู่แค่คำพูด แทบไม่เคยมีใครเห็นของจริงมาก่อน

ทว่าตอนนี้ พวกเขาได้เห็นแล้ว!

และแน่นอนว่าคนที่ทำให้พวกเขาได้สมความปรารถนาย่อมต้องถูกผู้คนจดจำไว้ขึ้นใจ ชั่วชีวิตนี้คงยากที่จะลืมเลือน!

วิญญาณของป๋ายฮ่าวที่อยู่ห่างออกไปไกลมองเห็นภาพนี้ก็ให้ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมไฟ มีความคิดสร้างสรรค์ในการบุกเบิกสิ่งใหม่ แต่ก็เป็นเพียงแค่พรสวรรค์เท่านั้น ความสามารถทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ที่การหลอมไฟ ทว่าในด้านการฝึกบำเพ็ญตน ฝีมือของเขาธรรมดาอย่างมาก เขาจึงเข้าใจดีว่าหากไม่มีท่านอาจารย์ ถ้าคิดจะทำให้ทฤษฎีของเขากลายมาเป็นความจริง ความยากย่อมมากมหาศาล

อีกอย่างเขาก็มองออกว่าในร่างของอาจารย์ตนมีความพิเศษอย่างหนึ่งที่แม้ว่าคนอื่นจะมี แต่กลับไม่เด่นชัดเท่าเขา ความพิเศษนั้นก็คือความยึดมั่นถือมั่น!!

เขาไม่รู้สึกสักนิดเลยว่าความมีหน้ามีตาของตนถูกอาจารย์ดึงเอาไปหมด สำหรับเขาแล้ว ขอแค่รัศมีของอาจารย์เจิดจรัสไปนับหมื่นจั้ง ตนได้ช่วยเหลืออีกฝ่าย แค่นี้เขาก็พอใจมากแล้ว

ความทะเยอทะยานของเขามีไม่มาก ความปรารถนาของเขาไม่รุนแรง ตอนที่มีชีวิตอยู่เขาสนใจเพียงแค่ความสัมพันธ์ฉันญาติ ตอนนี้ได้ฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นวิญญาณ เขาก็ยังคงสนใจในความความรักฉันญาติอยู่ดี สำหรับเขาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนคืออาจารย์ และก็เป็นญาติของเขาด้วย

ท่ามกลางกลุ่มคนยังมีอีกคนหนึ่งที่อารมณ์ซับซ้อน คนผู้นี้ก็คือเฉินม่านเหยา นางมองป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบๆ เดิมทีในใจนางมั่นใจในตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงแปดส่วนแล้ว ทว่าตอนนี้กลับเกิดความลังเลขึ้นมาอีกครั้ง

นางรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเชี่ยวชาญการหลอมยา ทว่าการหลอมยาและการหลอมไฟนั้นคือสองระบบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้แสดงความสามารถด้านการหลอมไฟได้ยอดเยี่ยมมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งไม่กล้านำคนทั้งสองคนมาทับซ้อนเป็นคนคนเดียวกันมากเท่านั้น

“เขาใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนจริงๆ หรือเปล่า” เฉินม่านเหยาเงียบงันด้วยความลังเล

ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดต่างกัน และขณะที่ทุกสายตามองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก ปรับตบะที่กระเพื่อมไหวให้สงบนิ่ง การหลอมไฟสิบแปดสีก่อนหน้านี้เผาผลาญพลังกายใจของเขาแทบเกลี้ยง ยามนี้ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าหาราวลูกคลื่น ความเจ็บปร่าจึงชาลามไปทั่วกล้ามเนื้อทุกอณูในร่าง

การประจักษ์แจ้งกับการผสานรวมไฟก็จางหายตามไปด้วย สติของเขาจึงหวนคืนกลับมาจากการหลอมไฟ นึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังแข่งขัน พอนึกถึงทุกอย่างที่ตัวเองทำลงไปก่อนหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเบิกตากว้าง รู้สึกงุนงงเล็กน้อย

“นี่…นี่…นี่ข้าทำอะไรลงไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนก แต่พอเห็นสายตาเลื่อมใสที่คนรอบด้านมองมายังตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กะพริบตาปริบๆ ฮึกเหิมขึ้นมาโดยพลัน

“ข้าหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้ สวรรค์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังตื่นเต้นสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ก่อนจะเอามือไพล่หลัง เชิดคางขึ้น ครุ่นคิดว่าภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมาย ตอนนี้ตนควรจะต้องพูดอะไรบางอย่างที่ฟังดูลึกลับสุดจะหยั่ง ดังนั้นจึงรีบเค้นสมองใคร่ครวญ แต่ยังไม่ทันให้เขาคิดออกว่าควรจะอวดตนอย่างไร ทันใดนั้นโจวหงที่อยู่ท่ามกลางศิษย์แห่งความภาคภูมิใจบนท้องฟ้าซึ่งกำลังหน้าเขียวหน้าแดงกลับหันมาตวาดใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

“ป๋ายฮ่าว การประลองครั้งนี้เจ้าช่วงชิงชัยชนะมาได้เพราะทำลายการหลอมไฟของซุนอี้ฝานและซือหม่าเทา เดิมทีชัยชนะครั้งนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะเจ้าทำผิดกฎ ดังนั้นเจ้าแพ้แล้ว!” ดวงตาทั้งคู่ของโจวหงเปล่งแสงวาบ น้ำเสียงที่ดังออกมาเต็มไปด้วยความหนักแน่นเฉียบขาด

พอคนทั้งหมดได้ยินก็พากันนึกขึ้นได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังประลองกับซุนอี้ฝานและซือหม่าเทา และตามหลักแล้ว สิ่งที่โจวหงพูดก็คือความจริง นี่จึงทำให้ทุกคนพากันลังเล

ในใจโจวหงเองก็กำลังกระวนกระวาย ทั้งยังมากด้วยความขมขื่น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีฝีมือเลิศล้ำน่าตะลึงได้ถึงระดับนี้ อีกฝ่ายถึงกับบุกเบิกแนวทางใหม่ ทั้งยังหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้เสี้ยวหนึ่ง

เขาพอจะจินตนาการได้เลยว่า อนาคตในวันข้างหน้า หากตนยังหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เลิกรา เกรงว่าความยากคงเพิ่มขึ้นไปอีก เว้นเสียแต่ว่าพวกลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์อย่างพวกเขาลงมือด้วยตัวเอง ถึงจะพอมีความเป็นไปได้

เพียงแต่เมื่อนึกถึงความเหี้ยมหาญในกาหลอมวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้เป็นโจวหงเองก็ยังใจหายวาบ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงพยายามคว้าจุดนี้เอาไว้ ต่อให้นี่จะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ทว่าเขาก็ต้องยืนกรานว่านี่คือเรื่องจริง!

เพราะอย่างไรซะนี่ก็คือการแข่งขันครั้งหนึ่งจริงๆ หากว่ากันตามกฎของการแข่งขันรวมไปถึงวิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ ก็นับว่าเขาทำผิดกฎ!

แทบจะชั่วขณะเดียวกับที่โจวหงเอ่ยออกมา พวกเสี่ยวหลางเสิน หลี่เทียนเซิ่งต่างก็ดวงตาเป็นประกาย ก่อนจะรีบเปิดปากช่วยโจมตี

“ถูกต้อง ป๋ายฮ่าว ครั้งนี้เจ้าแพ้แล้ว!”

“รบกวนการหลอมไฟของปรมาจารย์ซุนและปรมาจารย์ซือหม่า ป๋ายฮ่าว แม้ว่าเจ้าจะหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้เสี้ยวหนึ่ง ทว่าการแข่งขันครั้งนี้ก็ถือว่าเจ้าแพ้อยู่ดี!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาดุดัน เขารู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่พลังอำนาจของตนกำลังพวยพุ่ง ดังนั้นจึงคิดจะอ้าปากตอบกลับ ทั้งยังคิดจะชักนำความเดือดแค้นของฝูงชนให้มาโต้ตอบโจวหงด้วย ทว่าขณะที่เขากำลังจะอ้าปากนั้น ซุนอี้ฝานกลับเดินออกมาจากในกลุ่มคน แล้วโค้งตัวลงต่ำคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน!

ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือท่าทางก็ล้วนเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ไม่มีท่าทางของคนเสแสร้งแม้แต่น้อย แถมนัยน์ตายังเผยความเลื่อมใสอย่างลึกล้ำด้วย

“ปรมาจารย์ป๋าย ข้าผู้แซ่ซุนนับถือ!”

“การแข่งขันครั้งนี้ ข้าผู้แซ่ซุนขอยอมแพ้!”

ชั่วขณะที่ซุนอี้ฝานกล่าวจบ รอบด้านเงียบสงัดไปครู่หนึ่งก็ตามมาด้วยเสียงฮือฮาเกรียวกราว พวกเสี่ยวหลางเสินที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยิ่งร้อนใจ ส่วนโจวหงนั้นรีบพูดขึ้นทันที

“ปรมาจารย์ซุน เจ้า..”

“ราชาน้อยไม่ต้องพูดแล้ว ซุนอี้ฝานรู้ตัวเองดีว่าในด้านพรสวรรค์การหลอมไฟนั้น ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปรมาจารย์ป๋าย!” น้ำเสียงของซุนอี้ฝานเด็ดขาดอย่างมาก เขาไม่อยากล่วงเกินป๋ายเสี่ยวฉุนจริงๆ เขาเข้าใจดีว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเลื่อนสู่ชั้นดิน และความเป็นไปได้นี้ ก็มากกว่าทุกคนไม่รู้ต่อกี่เท่า

ในเมื่อคนแบบนี้เติบโตขึ้นมาแล้ว เขามิอาจกำราบได้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ก้มหัวให้

ไม่เพียงแต่ซุนอี้ฝานที่ยอมก้มหัวให้ ซือหม่าเทาที่นิ่งคิดไปครู่ก็ปรับลมหายใจ ก่อนจะปรี่ขึ้นหน้ามาแล้วโค้งตัวต่ำคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน

“ปรมาจารย์ป๋าย ซือหม่าขอยอมแพ้ ก่อนหน้านี้ที่ล่วงเกินไป หวังว่าปรมาจารย์ป๋ายจะไม่ถือสา”

เมื่อเห็นว่าแม้แต่ซือหม่าเทาก็ยังเอ่ยเช่นนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบด้านจึงดังกระหึ่มตามมาอีกครั้ง ส่วนพวกโจวหงที่อยู่กลางอากาศพากันหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าเดี๋ยวๆ ก็เขียว เดี๋ยวๆ ก็ซีดขาว อึดอัดขัดใจอย่างถึงที่สุด

โจวหงหน้าดำคล้ำยิ่งกว่าใคร แต่กลับทำอะไรไม่ได้

ในเมื่อซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาต่างก็เป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเองแบบนี้ เขายังจะทำอะไรได้อีก ตอนนี้ก็ยิ่งไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พอกัดฟันกรอดสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวจากไปไกลทันที

พวกเสี่ยวหลางเสินและหลี่เทียนเซิ่งก็พากันถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจ สะบัดหน้าหันตัวกลับไม่พูดไม่จา ส่วนองค์ชายรองที่ตลอดเวลาไม่เคยคำใด มาตอนนี้ก็บินทะยานจากไปเช่นกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ตนไม่จำเป็นต้องลงมือ ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาก็ช่วยตนคลี่คลายปัญหาเสียก่อนแล้ว ตอนนี้พอหันไปมองซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาสองคน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรซะก่อนหน้านี้เขาก็เล่นตุกติกกับยาวิญญาณของพวกเขาจริงๆ

“ปรมาจารย์ทั้งสองท่านอย่าได้ทำเช่นนี้เลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบรุดหน้าไปประคองให้ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทายืดตัวขึ้น ไม่ให้พวกเขาโค้งตัวคารวะค้างอยู่อย่างนั้น

“วิถีแห่งการหลอมวิญญาณ ผู้อาวุโสต้องมาก่อน หากแดนทุรกันดารไม่มีท่านผู้อาวุโสแต่ละรุ่นที่อุทิศกายใจให้กับการหลอมไฟ จะมีเด็กรุ่นหลังอย่างพวกข้าได้อย่างไร ที่ข้าสร้างสรรค์หนทางใหม่ ปรับเปลี่ยนตำรับการหลอมไฟได้ก็เพราะใช้รากฐานจากเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย!”

“ไฟสิบแปดสีเสี้ยวนั้นถือว่าโชคช่วยล้วนๆ เป็นเพราะข้าป๋ายฮ่าวยืนอยู่บนไหล่ของผู้อาวุโส ถึงได้ลอบมองเห็นมุมหนึ่งของท้องฟ้ากว้างไกล”

“การประลองในวันนี้ ข้าไม่ได้ชนะ ปรมาจารย์ทั้งสองท่านก็ยิ่งไม่ได้แพ้ อีกทั้งภายใต้การช่วยเหลือจากท่านทั้งสอง ทำให้ข้าผู้แซ่ป๋ายได้รับผลประโยชน์มหาศาล สามารถพูดได้ว่า หากไม่มีปรมาจารย์ทั้งสองท่าน วันนี้ข้าผู้แซ่ป๋ายก็มิอาจหลอมไฟสิบแปดสีเสี้ยวนั้นออกมาได้ ขอบพระคุณปรมาจารย์ทั้งสองท่านอย่างมาก!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนที่รื่นไหลอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้ในใจก็มีความละอายใจ หลังจากที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจเสร็จ เขาก็ยังถึงกับถอยออกมาหลายก้าว ก่อนจะโค้งตัวต่ำๆ คารวะให้กับคนทั้งสอง ท่วงท่านั้นจริงใจยิ่งกว่าที่ทั้งสองคนทำก่อนหน้านี้เสียอีก

ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเช่นนี้ต่อหน้าคนหลายแสนคน และต่อหน้าอำนาจจิตคนฟ้าที่ยังคงมองมาก็ทำให้ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาใจสั่นขึ้นมาทันใด เพราะพอตัดสินจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คำขออภัยของพวกเขาก่อนหน้านี้จึงทำลงไปเพราะความจนใจ ทว่าตอนนี้การก้มหน้ายอมแพ้ของตัวเองกลับไม่ได้แลกมาด้วยความลำพองใจ แต่แลกมาด้วยความจริงใจและอ่อนน้อมยิ่งกว่าจากป๋ายเสี่ยวฉุน ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาก็ถึงกับหายใจถี่รัวด้วยความตื่นเต้นทันที

พวกเขายิ่งเข้าใจดีว่าเมื่อคนรอบด้านได้ยินคำพูดเหล่านี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากแค่ไหน นี่ไม่เพียงแต่สามารถคลี่คลายเรื่องยาวิญญาณก่อนหน้านี้ไปได้ ยังช่วยเรียกคืนชื่อเสียงของพวกเขากลับมาอีกไม่น้อย

คนทั้งสองมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความซาบซึ้งใจ สามคนประสานสายตากันแล้วหัวเราะร่า พวกเขาไม่มีใครคิดจะหันไปมองเงาร่างของโจวหงที่จากไป แถมตอนนี้ยังถึงขั้นรู้สึกเจ็บใจที่พวกเขารู้จักกันช้าเกินไปด้วย ดังนั้นคนทั้งสองจึงเดินเข้าไปในร้านของป๋ายเสี่ยวฉุน เตรียมจะสนทนาเรื่องความรู้ในการหลอมไฟกันยาวๆ

ส่วนคนรอบด้านและอำนาจจิตของคนฟ้าที่กวาดมองมาซึ่งพอได้ยินคำพูดและเห็นการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พากันเอ่ยชื่นชมกันอยู่ในใจ อดไม่ได้ที่จะชมเชยการวางตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน

“นี่ต่างหากถึงจะเป็นท่วงทำนองของปรมาจารย์ที่แท้จริง เปลี่ยนจากสงครามการต่อสู้มาเป็นสันติภาพ พูดแล้วเหมือนง่าย แต่ทำได้สวยงามเช่นนี้ ใช่ว่าจะทำกันได้ทุกคน!”

“วางตัวอย่างนี้ มิน่าเล่าถึงได้มีชื่อเสียงระบือไปทั่วนครผียักษ์!”

“ชื่อเสียงฉาวโฉ่พวกนั้นต้องเป็นเพราะคนบางคนจงใจใส่ร้ายเขาแน่นอน”

“ป๋ายฮ่าวผู้นี้ ข้าขอนับถือ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version