Skip to content

A Will Eternal 76

บทที่ 76 รวมลมปราณขั้นแปด!

เวลาเดียวกันนั้น เหล่านักพรตขั้นสร้างฐานรากที่อยู่บนสามเขา เดิมทีกำลังหัวเราะร่ามองป๋ายเสี่ยวฉุนถูกไล่ล่า พวกเขารู้ดีว่าผู้เฒ่าโจวแค่ต้องการข่มขู่เท่านั้น แต่ภาพเมื่อครู่นี้ หลังจากที่พวกเขาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนจะตอบโต้สายฟ้าเส้นนั้น ทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี คิดจะเข้าไปสกัดกั้น แต่กลับสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เป็นอะไรสักอย่าง

ดวงตาแต่ละคนฉายแววแปลกใจ

“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา!”

“สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาจากการไล่ฆ่าของคนตระกูลลั่วเฉินได้ ในตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มีจุดที่น่าตกตะลึงอยู่!”

“นี่คือหน่ออ่อน บางทีอาจเทียบเคียงกับซ่างกวานเทียนโย่วไม่ได้ แต่ก็สูสีกับหลู่เทียนเหล่ยและโจวซินฉี!”

ขณะที่ทุกคนพากันพยักหน้ากับตัวเองอยู่นั้น บนเขาจ้งเต้า นัยน์ตาของเจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงเองก็เผยแววประหลาดใจ เขาเห็นภาพเมื่อครู่นี้กับตาตัวเองเช่นกัน จริงๆ แล้วตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนโหวกเหวกนั้น พลังจิตของเขาก็ได้กวาดมองไปเห็นเรื่องราวทุกอย่างแล้ว

การแสดงออกของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาตกตะลึงและประหลาดใจอย่างมาก จึงไม่ได้เข้าไปขัดขวางในทันที อยากจะลองดูเสียหน่อยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีความสามารถแฝงมากน้อยเพียงใด เวลานี้จึงพยักหน้าเบาๆ แววตาเผยความชื่นชม สะบัดร่างหนึ่งทีก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง

“ศิษย์พี่เจ้าสำนักที่รักช่วยข้าด้วย ผู้เฒ่าโจวจะฆ่าข้า อีกนิดเดียวชีวิตน้อยๆ ของข้าก็จะหายไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นเจิ้งหย่วนตง ก็รีบรุดเข้าไปหลบอยู่เบื้องหลังเจิ้งหย่วนตง มองเขาตาปริบๆ

เจิ้งหย่วนตงกระแอมแห้งๆ หนึ่งครั้ง เห็นท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ เวลานี้ผู้เฒ่าโจวก็ตามมาถึงแล้วเช่นกัน ถลึงตามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ประสานมือคารวะเจิ้งหย่วนตง

ทั้งสองคนสบตากัน ต่างฝ่ายต่างก็เป็นจิ้งจอกเฒ่า จึงเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายทันที นกฟ่งเหนี่ยวน่ะเรื่องเล็ก ให้ในสำนักนี้มีคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่

มิเช่นนั้นลำพังแค่หลี่ชิงโหวคนเดียว เวลาอยู่ก็ดีไป แต่หากออกไปจากสำนักเมื่อใด ในสำนักก็ไม่มีใครกำราบป๋ายเสี่ยวฉุนได้แล้วจริงๆ เพราะยังไงซะเขาก็มีคุณูปการติดตัว เป็นลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ ทั้งยังเป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนักด้วย

ต่อให้เจ้าสำนักอย่างเจิ้งหย่วนตงไปสั่งสอน วันหน้าเกรงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคงจะไประบายร้องทุกข์ต่อหน้ารูปภาพเอาได้

“ท่านเจ้าสำนัก เรื่องนี้ท่านอย่ามายุ่งด้วยจะดีกว่า ส่งป๋ายเสี่ยวฉุนมาให้ข้าเถอะ!” ผู้เฒ่าโจวจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ใบหน้าดุดัน แถมยังหัวเราะเสียงเหี้ยมออกมาอีกหนึ่งที

“นกของท่าน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวชาหนึบ กำลังจะอธิบาย

ผู้เฒ่าโจวได้ยินสามคำนี้สีหน้าก็เริ่มเขียวคล้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเก็บเสียงกลับไป มองเจิ้งหย่วนตงด้วยความกล้ำกลืน

“ศิษย์พี่ ข้าเคยหลั่งเลือดเพื่อสำนัก ข้าเคยสร้างความดีเพื่อสำนัก…”

เจิ้งหย่วนตงหนังหน้ากระตุก ไอแห้งๆ หนึ่งที

“ผู้เฒ่าโจว เรื่องนี้ให้แล้วกันไปเถอะ แม้ว่าเสี่ยวฉุนจะเกเร แต่สันดานเดิมเป็นคนจิตใจดีงาม เอาอย่างนี้แล้วกัน หากคราวหน้าเขายังทำเรื่องเหลวไหล ข้าจะไม่มีทางเข้าขัดขวางอีก แถมยังจะจัดการให้ด้วย ดีไหม?”

ผู้เฒ่าโจวเผยท่าทางฝืนใจเต็มที พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ บอกลาแล้วจากไป ก่อนจะจากไปยังถลึงตามองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกหนึ่งครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ลุกขึ้นยืน สีหน้าฉายแววสงสัย เดิมทีเขาก็เป็นคนฉลาดอยู่แล้ว เรื่องเมื่อครู่เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ยามนี้เขาจึงค่อยๆ มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ดูเหมือนเรื่องนี้จะแหม่งๆ พิกล…เพียงแต่เขาไม่ค่อยแน่ใจนัก พอมองไปที่เจ้าสำนัก เจ้าสำนักก็เอ่ยปากเนิบช้า

“คู่บำเพ็ญตนของผู้เฒ่าโจวเคยเป็นคนเลี้ยงนกฟ่งเหนี่ยวพวกนั้น ในการสู้รบครั้งหนึ่ง คู่บำเพ็ญตนของเขาสิ้นใจลงเพราะช่วยเขาเอาไว้ ส่วนผู้เฒ่าโจวก็แทบเอาชีวิตไม่รอด ทั้งยังสูญเสียคนรักไป เขาเสียใจมาก บางครั้งจึงบ้าคลั่งขึ้นมา

คนนอกรู้แค่ว่าเขาคลั่งไคล้พืชหญ้า แต่กลับไม่รู้ว่าหากเขาไม่ลุ่มหลงไปกับมัน ก็คงไม่อาจสะกดกลั้นไม่ให้จิตสังหารคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้ ทำได้เพียงยืมเอาความหลงใหลมาบรรเทาอาการบาดเจ็บของจิตใจ

ดังนั้นเจ้าอย่าไปยั่วโมโหเขา หากเขาคลั่งขึ้นมา ข้ากังวลว่าจะไปช่วยไม่ทัน” เจิ้งหย่วนตงมองป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังคำพูดประโยคนี้ก็ให้รู้สึกว่าผู้เฒ่าโจวน่าสงสารนัก จากนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอีก รีบพยักหน้าเอ่ยปากอย่างอดสู

“ข้าไม่ได้วางยาจริงๆ นะ นกของเขา…นกที่เขาเลี้ยงใส่ร้ายข้า”

“สรรพสิ่งล้วนมีเหตุผและผล ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็นต้นเหตุก็ไม่ต้องไปครุ่นคิดถึงความจริงแล้ว” เจิ้งหย่วนตงตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุน หมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ รู้สึกว่าตัวเองช่างซวยนัก ครุ่นคิดว่าต่อไปพอเจอผู้เฒ่าโจว ตัวเองหลบเลี่ยงไปทางอื่นเสียก็สิ้นเรื่อง คิดได้เช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้กลับเขาเซียงอวิ๋นอย่างระมัดระวัง รีบวิ่งเข้าไปในที่พักแล้วปิดประตูไม่ออกมา

ส่วนเจ้านกที่ใส่ร้ายตนนั้น เขาคิดไปคิดมา กังวลใจว่าจะไปยั่วโมโหผู้เฒ่าโจวเข้าอีก ดังนั้นจึงกัดฟันยอมละทิ้งความคิดแก้แค้นไป

“ผู้ชายที่ดีไม่รังแกนก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอบใจตัวเอง นั่งอยู่ในบ้านไม้ หยิบเอายาลมปราณม่วงเพิ่มพลังสิบกว่าเม็ดที่ตนหลอมเองพวกนั้นออกมา นึกถึงเมื่อตอนกลางวันที่ผู้เฒ่าโจวลงมือ นัยน์ตาก็เผยความอิจฉา

“นักพรตขึ้นสร้างฐานรากนี่ร้ายกาจจริงๆ อีกนิดเดียวก็เกือบจะทำข้ากระอักเลือดแล้ว ยังดีที่ข้ามีผิวหนังคงกระพัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ มองยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังเหล่านั้น แล้วก็มองไปรอบด้านอีกที หลังแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงเอาหม้อกระดองเต่าออกมา เริ่มหลอมพลังจิต

ไม่นานเขาก็เอายาทั้งหมดมาหลอมพลังจิตสามครั้ง มองเห็นเส้นสีเงินบนยาแต่ละเม็ดที่ดับแสงลงอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง

“หากมีวัตถุดิบของไฟสี่สีก็ดีน่ะสิ” เขาได้ลองสืบข่าวเกี่ยวกับวัตถุดิบของไฟสี่สีมาแล้ว ในสำนักนั้นใช่ว่าไม่มี เพียงแต่มีอยู่น้อยมาก จำเป็นต้องใช้คะแนนคุณความดีสูงอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นการหลอมยาวิเศษหรือวิชาวิถีอัคคีของการบำเพ็ญเพียร ไฟสี่สีก็ล้วนไม่ใช่สิ่งของธรรมดา

ส่วนตลาดตรงตีนเขา โดยทั่วไปย่อมไม่มีทางมีขาย นอกเสียจากงานประมูลที่ปีหนึ่งจะมีเพียงหนึ่งครั้ง ถึงจะพอมีวัตถุดิบไฟสี่สีปรากฏให้เห็นบ้าง แต่ก็หายากยิ่ง

“หางวิเศษก็เหลือไม่เยอะแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนตรวจดูหางวิเศษที่เหลืออยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกลืนยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังลงไปหนึ่งเม็ด เริ่มฝึกบำเพ็ญตบะ

เวลาผ่านไปในแต่ละวัน ทุกวันป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนฝึกบำเพ็ญตบะ จากการกลืนยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังลงไปทีละเม็ด ตบะของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด หลังจากที่กินยาทั้งหมดจนไม่มีเหลือ กลางดึกวันนี้ กลุ่มเมฆด้านนอกเป็นชั้นหนาปกคลุมแสงจันทร์ ในบ้านไม้ ทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนส่งเสียงดังสนั่น เสียงนั้นไม่ได้ดังออกมา แต่ดังสะท้อนอยู่ในร่างกายของเขา

ตลอดทั้งร่างของเขาสั่นสะเทือน พริบตานั้นพลังวิญญาณในร่างกายจากแต่ละตำแหน่งทั่วร่างโลดแล่นมารวมตัวกัน กลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่หนึ่งสาย ไหลเวียนไปทั่วร่างราวกับแม่น้ำมังกร ตลอดทางก็เปิดเส้นลมปราณจำนวนนับไม่ถ้วน

หลังจากวนครบหนึ่งวงโคจรแล้ว ขอบเขตพลังวิญญาณในร่างกายก็ขยายใหญ่มากกว่าก่อนหน้านี้อยู่ไม่น้อย คราบสกปรกหลุดออกมาจากรูขุมขนทั่วร่าง ความรู้สึกเบาตัวกลายเป็นความโปร่งโล่งสบาย ทำให้จิตใจป๋ายเสี่ยวฉุนกระปรี้กระเปร่า ดวงตาทั้งคู่เปิดขึ้นพรึ่บ นัยน์ตาของเขามีประกายเฉียบคมวาบผ่าน เมื่ออยู่ในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้จึงเหมือนแสงไฟโชติช่วง บาดตาอย่างถึงที่สุด

“รวมลมปราณขั้นแปด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นไปล้างตัวในลานบ้าน เขามาอยู่สำนักธาราเทพหลายปีแล้ว ร่างกายมองดูแข็งแกร่งไม่น้อย เพียงแต่ว่าส่วนสูงไม่เพิ่มขึ้นเท่าไหร่นัก เรื่องนี้ทำให้เขากลุ้มใจอยู่บ้าง

แต่ยังดีที่รูปลักษณ์ของเขาไม่เปลี่ยน ยังคงขาวสะอาดสะอาด ผอมบางเช่นเดิม

“เมื่อถึงขั้นรวมลมปราณขั้นแปด การควบคุมวัตถุของข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นมาอีกเยอะมาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาชี้ไปยังหินก้อนใหญ่ที่อยู่ไกลออกมา พริบตาเดียวหินก้อนนี้ก็ลอยขึ้น เคลื่อนที่เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็วตามความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุน ความเร็วสลับสับเปลี่ยนกันระหว่างยกหนักเสมือนเบาและยกเบาเสมือนหนัก

“แต่ที่ข้าสนใจมากที่สุดก็คือตอนที่รบกับเฉินเหิงคราวนั้น วิชาควบคุมคน…ที่สำแดงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายระยิบระยับ เสียดายก็แต่พอทดลองทำกลับจับจุดสำคัญไม่ได้ เพราะยังไงซะคนและสิ่งของก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนิ่นนานป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกดความคิดนี้ไว้ในใจ

“ในวิชาพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางเคยบอกไว้ว่า หากฝึกได้ถึงขั้นแปด สามารถหลอมรวมลมปราณม่วงแปลงกระถางระดับกลางที่มีพลานุภาพยิ่งกว่าเดิมออกมาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ในลาน ลังเลอยู่ชั่วครู่มือทั้งสองก็ทำมุทราชี้ไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง

พริบตาเดียวลมปราณม่วงก็ปรากฏออกมาเป็นเส้นๆ ซึ่งก็คือเวลาชั่วสองลมหายใจ เบื้องหน้าของเขาก็มีกระถางใหญ่สีม่วงใบหนึ่งปรากฏออกมา

ในด้านเวลาถือว่าเร็วกว่าก่อนหน้านี้เกินหนึ่งเท่าตัว

อีกทั้งกระถางใหญ่ใบนี้ก็แตกต่างไปจากเคยอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้เลือนรางอีกต่อไป สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้แต่ตัวอักษรโค้งเว้าบนนั้นก็ยังเด่นชัดเกินสิ่งใดเปรียบ

พลังกดดันอันน่าตกตะลึงระลอกหนึ่งแผ่ซ่านออกจากกระถางใหญ่ใบนี้ ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววประหลาดใจ รู้สึกได้ว่ากระถางใหญ่ใบนี้ไม่ธรรมดา

“พลานุภาพมากกว่าก่อนหน้านี้เยอะเลย!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงตบะบางส่วนในร่างกาย ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาปลดปล่อยพลังม่วงแปลงกระถางออกมาหนึ่งครั้ง พลังวิญญาณในร่างจะหายไปเกินครึ่ง จำเป็นต้องพักฟื้นต่ออีกช่วงหนึ่งถึงจะเอาออกมาใช้ต่อได้

แต่ตอนนี้เขาพบว่าพลังวิญญาณในร่างกายของตัวเองยังคงมีอยู่ถึงเจ็ดส่วนกว่า

“สามารถสำแดงได้ถึงสามครั้ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงระคนดีใจ หลังจากสลายกระถางม่วงไปแล้วก็หยิบเอากระบี่วิหคทองออกมา กลายร่างเป็นเส้นสีทอง ขึ้นไปเหยียบบนนั้นแล้วบินตรงดิ่งออกไปนอกเขาเซียงอวิ๋น

พอมาถึงผืนป่าด้านนอก บนท้องฟ้าเริ่มมีเสียงฟ้าร้องอื้ออึงคล้ายพายุฝนกำลังก่อตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนมองสีท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าอันตรายเล็กน้อย ดังนั้นจึงรีบยืนทำมุทรากลางอากาศ กระถางสีม่วงปรากฏออกมาอีกครั้ง เขาชี้ไปที่ก้อนหินซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลหนึ่งที กระถางม่วงคำรามครืนครันตรงรี่เข้าไปกระแทกแรงๆ

เสียงกัมปนาทดังลั่น แม้แต่พื้นดินก็ยังสั่นไหวน้อยๆ ขณะที่นกและสัตว์ป่าจำนวนไม่น้อยพากันตกใจ บนพื้นก็ปรากฏหลุมลึกขึ้นมาหนึ่งหลุม รอยปริแตกมากมายบนพื้นดินโดยรอบทอดยาวออกไปพอสิบจั้ง

“แข็งแกร่งขนาดนี้เชียว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เขาชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยผิวหนังคงกระพันและวิชาลมปราณม่วงแปลงกระถางของตนในเวลานี้ หากต้องประมือกับเฉินเหิง เกรงว่าไม่จำเป็นต้องใช้พละกำลังมากมายนักก็คงกำจัดอีกฝ่ายจนสิ้นซากได้แล้ว

“แต่ก็ช่างเหอะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ยังรับประกันความปลอดภัยไม่ได้ เรื่องที่ต้องสู้จนสุดชีวิตแบบนั้นเขาไม่อยากจะทำอีกแล้ว ก่อนหน้านี้สู้ตายมาแล้วครั้งหนึ่งจนเกือบจะเสียชีวิตน้อยๆ นี่ไป เขารู้สึกว่าศัตรูของตนต้องอยู่ในขั้นต่ำกว่าการรวมลมปราณขั้นเจ็ดเท่านั้น ถึงจะมั่นใจได้อย่างที่สุด

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว ศัตรูแข็งแกร่งที่มีพลังรวมลมปราณขั้นหนึ่งถึงขั้นเจ็ดก็สิ้นราบพนาสูร” ป๋ายเสี่ยวสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างลำพองใจหนึ่งที เสียดายที่รอบด้านไม่มีกำแพงรั้ว ดังนั้นจึงทำได้แค่ยืนอยู่บนกระบี่วิหคทอง เชิดหน้ามองเมฆทะมึนบนท้องฟ้าด้วยท่าทางของยอดฝีมือผู้เบื่อหน่าย ตอนที่หมุนตัวควบคุมกระบี่ให้บินไปทางสำนักก็ยังคงท่าทางเช่นนี้เอาไว้

และเวลานี้เอง ทันใดนั้น…สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนในชั้นเมฆถูกดึงดูดด้วยกระบี่วิหคทองที่ลอยอยู่กลางอากาศ จึงกลายร่างเป็นงูสีเงินหลายเส้น ทะยานดิ่งเข้าไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน…

ป๋ายเสี่ยวฉุนตาเหลือกถลนทันควัน

ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องและเสียงโหยหวนของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมาแว่วๆ…

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version