Skip to content

A Will Eternal 810

บทที่ 810 ข้าไม่อยากจากพวกเจ้าไปเลย

ในตำหนักเทียนซือ จ้าวสงหลินอัดอั้นตันใจ ทั้งยังรู้สึกทรมานในอารมณ์ พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมจากไปไหน ในใจเขาก็ก่นด่าลามไปยันบุพการีของอีกฝ่าย ข่มกลั้นอารมณ์โมโหจนใบหน้าแดงก่ำ ออกไปก็ไม่ได้ จะไม่ออกก็ไม่ได้อีก…

มาถึงท้ายที่สุด แม้แต่ต้าเทียนซือก็ยังทนมองไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งม้วนตลบให้จ้าวสงหลินออกไปจากตำหนักเทียนซือ มาปรากฏตัวอยู่นอกวังหลวง

พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็บ่นพึมพำอยู่ในใจตัวเอง จากนั้นถึงได้เดินอาดๆ จากไป แต่ในใจตัดสินใจไว้แต่แรกแล้วว่าเจ้าจ้าวสงหลินผู้นั้นอย่าได้หวังว่าจะหนีรอดเงื้อมมือของตนไปได้ง่ายๆ

“ยังมีเจ้าคนที่ชื่อหลิวหย่งนั่นอีกคน ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงในลำคอพลางเดินไปด้านหน้า

นอกวังหลวงเวลานี้ เงาร่างของจ้าวสงหลินเผยกาย เขาซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ รีบใช้ความเร็วที่มากที่สุดตรงดิ่งไปยังตระกูลของตัวเอง ชีวิตนี้เขายังไม่เคยเจอเรื่องที่น่าลำบากใจมากขนาดนี้มาก่อน ยิ่งก่อนหน้านั้นตนพูดต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนักว่าหากป๋ายฮ่าวหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้ เจอหน้ากันเมื่อไหร่ตนจะคุกเข่าคำนับอีกฝ่ายทันที ตอนนี้มาย้อนนึกดูเขาก็อยากจะตบปากตัวเองยิ่งนัก

เมื่อจ้าวสงหลินกลับไปถึงตระกูล เรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักก็แพร่ไปทั่วทั้งนครจักรพรรดิขุย

เวลาเพียงแค่ไม่นาน เรื่องที่ทุกคนยกมาวิพากษ์วิจารณ์ก็ล้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น!

“แดนทุรกันดารของเรา มีอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินปรากฏขึ้น…เป็นคนที่สี่!!”

“คนที่สี่ ต่อให้เป็นช่วงเวลาที่แดนทุรกันดารของเราเจริญรุ่งเรืองสูงสุดก็ยังมีชั้นดินปรากฏพร้อมกันแค่ห้าคนเท่านั้น!”

“ปีนั้นที่ปรมาจารย์ป๋ายหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้เสี้ยวหนึ่ง ข้าก็มองออกแล้วว่าท่านผู้อาวุโสต้องเลื่อนขั้นเป็นชั้นดินได้แน่นอน!”

ตลอดนครจักรพรรดิขุยครึกโครมไปทั่ว หรือแม้แต่มุมต่างๆ ทั่วแดนทุรกันดารก็ยังพากันแพร่กระจายข่าวนี้ ทำให้ทุกคนที่ได้ยินล้วนใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งอาจารย์หลอมวิญญาณก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ส่วนพวกตระกูลอาจารย์หลอมวิญญาณที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ยิ่งสะเทือนอารมณ์กันอย่างลึกล้ำ พวกเขาระดมกำลังทุกสัดส่วนพยายามคิดหาวิธีมาติดต่อกับอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินคนใหม่ผู้นี้

ต่อให้เป็นในเขตแม่น้ำทงเทียนก็ยังได้ยินเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน และเรื่องนี้ก็สร้างความสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรงให้กับพวกเขาจนสี่สำนักใหญ่ของต้นกำเนิดแม่น้ำถึงกับจัดชื่อป๋ายฮ่าวไว้บนกระดานต้องฆ่า!

ของรางวัลที่ตั้งไว้ก็สูงสุดขีด…เพราะอย่างไรซะ ตอนนี้เขายังเป็นแค่หนึ่งในสี่อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินของแดนทุรกันดารเท่านั้น อีกทั้งในสายตาของสี่สำนักใหญ่ต้นกำเนิดแม่น้ำ ป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็ยังอายุน้อยอยู่มาก อนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด บุคคลเช่นนี้จึงต้องฆ่าสถานเดียวเท่านั้น!

เพียงแต่ว่านี่เป็นเรื่องที่เกินกว่าอำนาจของพวกเขาจะเอื้อมมาถึง ดังนั้นจึงได้แต่ทอดถอนใจ ยากที่จะลงมือปฏิบัติได้จริง

ขนาดเขตแม่น้ำทงเทียนยังรู้เรื่องนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลของโจวอีซิงที่ถึงแม้จะอยู่ไกลจากนครจักรพรรดิขุยมาก แต่พวกเขาก็ยังได้ยินเรื่องนี้ ทั้งหลังจากรู้ว่าโจวอีซิงคือลูกน้องใต้บังคับบัญชาของป๋ายเสี่ยวฉุน คนทั้งตระกูลก็ปิติยินดีกันอย่างบ้าคลั่ง ประมุขตระกูลคนปัจจุบันถึงกับออกคำสั่งทันทีว่าจะแต่งตั้งโจวอีซิงเป็นประมุขน้อยของตระกูล!

เรื่องนี้ได้รับความเห็นเป็นเอกฉันท์จากผู้อาวุโสทุกคนในตระกูล ต่อให้พวกพี่น้องชายหญิงของโจวอีซิงจะไม่ยินยอมมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ลูกน้องของอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน เมื่ออยู่ในโลกแห่งอาจารย์หลอมวิญญาณ นี่นับว่าเป็นตำแหน่งที่สูงส่งมากแล้ว

แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อได้รับการชี้นำจากป๋ายเสี่ยวฉุน การหลอมไฟของโจวอีซิงเองก็ได้ก้าวทะยานอย่างพรวดพราด จนกระทั่งวันนี้ขาดอีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะกลายมาเป็นขั้นสีดำได้แล้ว

นอกจากนี้แม้ว่าโองการประทานคุณแด่ประชาจะถูกผลักดันไปทั่วทั้งแดนทุรกันดาร ทว่าโจวอีซิงเองก็ยังมีอำนาจมากพอที่จะรับประกันได้ว่าเหล่าพี่น้องของเขาจะไม่กล้าทำตัวต่อต้าน อีกทั้งต่อให้พวกเขาดิ้นรนไปแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์…เพราะอย่างไรซะตอนนี้คนทั้งแดนทุรกันดารต่างก็รู้ว่าโองการประทานคุณแด่ประชานี้มาจากความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุน

ไม่เพียงแต่ในตระกูลเท่านั้นที่ตำแหน่งอำนาจของเขาเพิ่มขึ้น แม้แต่ในนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้ โจวอีซิงเองก็มีหน้ามีตา ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็มีแต่คนก้มหัวคำนับ ทำให้เขาห้าวเหิมอยู่ในใจ รู้สึกว่าการตัดสินใจของตนในครานั้นช่างถูกต้องยิ่งนัก!

ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงป๋ายเสี่ยวฉุนเลย ทั้งๆ ที่คำสั่งโยกย้ายประกาศออกมาแล้ว และเขาควรจะเดินทางไปยังพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีได้ตั้งนานแล้ว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังอิดๆ ออดๆ เอาแต่ตะลอนๆ ไปทั่วนครจักรพรรดิขุย ดื่มด่ำไปกับสายตาแห่งความอิจฉารุนแรงซึ่งแฝงเร้นไว้ด้วยความเคารพเลื่อมใส

อีกทั้งทุกวันยังมีอาจารย์หลอมวิญญาณจำนวนมากที่แห่แหนจากทั่วสารทิศเพื่อมาเยี่ยมเยือนป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนที่มาล้วนมีของขวัญชิ้นใหญ่ติดไม้ติดมือมาด้วย นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกรื่นรมย์เหมือนตัวจะลอยได้

โดยเฉพาะร้านหลอมพลังจิตของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งแวะเวียนกลับไปอยู่หลายรอบ หลังจากได้รับการคำนับกราบกรานจากคนมากมาย เขาก็แทบจะเดินไปทั่วทั้งนครจักรพรรดิขุยแล้ว สุดท้ายเมื่อหมดที่ไปแล้วจริงๆ จึงนึกถึงจ้าวสงหลินและหลิวหย่งขึ้นมาได้

ทว่าหลิวหย่งผู้นั้นเจ้าเล่ห์มากอุบาย…เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องมาแก้แค้นจึงรีบเผ่นจากนครจักรพรรดิขุยไปเฝ้าพิทักษ์อยู่แถวกำแพงเมือง

ข้อนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจมากเหมือนกัน รู้สึกว่าหลิวหย่งผู้นี้นับว่าเป็นคนมีความสามารถที่เด็ดเดี่ยวไม่น้อย

แต่จ้าวสงหลินกลับไม่ได้เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เขาเลือกที่จะปิดด่าน

เข้าใจไปว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคงลืมตัวเองไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเขาดูถูกความแน่วแน่ของป๋ายเสี่ยวฉุนมากเกินไป หลังจากวันนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนต้องไปที่ตระกูลจ้าวแทบทุกวัน ทำให้คนทั้งตระกูลจ้าวอยู่กันไม่เป็นสุข ทว่าพวกบุตรอนุภรรยากลับลิงโลดมากเป็นพิเศษ

และตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีตัวตนไม่ธรรมดา ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็เป็นที่จับตามองของผู้คน ทั้งยังมีผู้ฝึกตนอิสระไม่น้อยที่อยากจะกลายมาเป็นผู้ติดตามของเขา ที่สำคัญที่สุดคือเขาเพิ่งเลื่อนสู่ชั้นดิน อีกทั้งความขัดแย้งที่เขามีกับคนทั้งราชสำนักล้วนเป็นที่รับรู้กันถ้วนทั่ว หากตอนนี้มีอันตรายเกิดขึ้นกับเขาในนครจักรพรรดิขุย ทุกคนล้วนต้องหันหัวหอกเข้าหาพวกชนชั้นสูงเหล่านั้น!

และตัวตนอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับการสรรเสริญเยินยอจากอาจารย์หลอมวิญญาณทั่วทั้งแดนทุรกันดาร หากมีปัญหาเกิดขึ้นกับเขาที่นี่ นั่นก็นับเป็นเรื่องที่ใหญ่มากจนแม้แต่เจ้าพระยาสวรรค์ก็ยังมิอาจแบกรับได้

ดังนั้นจึงพูดได้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ปัญหาเรื่องความปลอดภัยของเขาได้รับการรับประกันมากที่สุด และไม่ว่าใครจะไล่อย่างไรเขาก็ไม่ยอมไปไหน พอเห็นว่าจ้าวสงหลินกลายเป็นเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง วันๆ เอาแต่หลบอยู่ในเจดีย์พระยาสวรรค์ ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเอ่ยปากเช่นไรก็ไม่ยอมสนใจใยดี

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงโมโหขึ้นมาทันควัน

“ดีนักนะ เจ้าสุนัขสงหลิน นึกว่าหลบหน้านายท่านป๋ายของเจ้าแล้วนายท่านป๋ายจะทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตามองเจดีย์พระยาสวรรค์ รู้สึกว่าจ้าวสงหลินผู้นี้ทำเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่ตัวเองแพ้แต่กลับเล่นแง่ไม่ยอมทำตามคำพูด

“ถ้าเจ้าแน่จริงก็หัดทำตัวอย่างหลิวหย่งสิ จะหลบหน้าข้าก็ไปหลบที่แนวหน้าสนามรบกำแพงเมืองโน่น แบบนั้นข้ายังจะพอนับถือเจ้าอยู่บ้าง กะอีแค่เจดีย์พระยาสวรรค์หลังเดียว เจ้าคอยดูเถอะว่าข้าจะทำให้เจ้าเดินออกมาด้วยตัวเองได้ยังไง!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที แล้วก็ถือโอกาสไปเดินเตร่ที่ตระกูลของพระยาสวรรค์ท่านอื่น หากเจอพระยาสวรรค์คนใดก็จะจับอีกฝ่ายมาเบ่งอำนาจใส่ สร้างความโมโหให้กับพระยาสวรรค์พวกนั้น ขณะเดียวกันก็ให้พวกพระยาสวรรค์ช่วยเขาตัดสินความเป็นธรรม แอบบอกเป็นนัยๆ ว่าหากจ้าวสงหลินไม่ออกมา ไม่ยอมคุกเข่าคำนับเขา เขาก็จะไม่ยอมไปเด็ดขาด นี่จึงทำให้พวกพระยาสวรรค์เหล่านั้นอึดอัดใจ ขณะเดียวกันก็เริ่มเคียดแค้นจ้าวสงหลินบ้างแล้ว

ดังนั้นเมื่อพวกพระยาสวรรค์แทบทุกคนล้วนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนพาลมาระบายอารมณ์ใส่ สุดท้ายเฉินฮ่าวซงก็ต้องออกหน้ามาเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยความเอือมระอา จ้าวสงหลินที่เสียใจกับการกระทำของตัวเองอย่างลึกล้ำ อยากร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตาถึงได้ฝืนใจออกจากด่าน มายืนอยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเองเองแล้วคุกเข่าดัง “ตุ้บ”

พอได้ดื่มด่ำกับการคุกเข่าคำนับจากพระยาสวรรค์ อารมณ์ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกบานอย่างยิ่งยวด นั่นถึงได้ยอมปล่อยพระยาสวรรค์คนอื่นๆ สะบัดปลายแขนเสื้อด้วยความลำพองใจหนึ่งครั้งแล้วใช้เหตุผลที่ว่าต้องการออกทัศนาจรพาโจวอีซิงโดยสารเรือสวรรค์ของนครจักรพรรดิขุยพร้อมกับองค์รักษ์ผู้พิทักษ์ที่ต้าเทียนซือจัดหามาให้…มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี!

วันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปจากนครจักรพรรดิขุย อาจารย์หลอมวิญญาณจำนวนมากล้วนพากันมาส่งเขา ทว่าในบรรดาพวกชนชั้นสูง พระยาสวรรค์แทบทุกคนต่างก็ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก และลึกๆ ในใจก็คาดหวังว่าเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนไปแล้วก็ขอให้ไปลับอย่าได้หวนกลับคืนมาอีกเลย

ยิ่งจ้าวสงหลินก็แทบจะหยิบกลองหยิบฆ้องออกมาตีดังๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความปิติยินดีของตนที่ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนผู้สร้างความคับแค้นใจให้ตนก็จะจากไปเสียที

สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไปจากนครจักรพรรดิขุยท่ามกลางความซับซ้อนของคนมากมาย ก่อนหน้าจะจากไป เขาหวนนึกไปถึงความทรงจำที่ผ่านมาในนครจักรพรรดิขุยจึงหันกลับมามองอีกครั้ง ก่อนจะทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง

“ข้าไม่อยากจากพวกเจ้าไปเลย…”

ตอนแรกที่เขามาที่นี่ เขาเป็นเพียงแค่บุคคลตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่มาจากนครผียักษ์ ทว่าตอนนี้เมื่อต้องจากไป ตนกลับเหมือนเปลี่ยนฟ้าเปลี่ยนดิน กลายมาเป็นบุคคลสำคัญผู้ยิ่งใหญ่ของทั่วทั้งแดนทุรกันดาร

หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป คนจำนวนนับไม่ถ้วนในนครจักรพรรดิขุยที่หวนนึกถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ต่างก็เต็มไปด้วยความปลงอนิจจัง

“นี่คือบุคคลที่ต่อให้เจ้าเกลียดเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนับถือเขา!” เฉินฮ่าวซงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที

“หลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักขุยของพวกเราก็แทบไม่เคยมีใครที่เป็นเหมือนเขา…ทั้งๆ ที่เจอกับมรสุมโถมกระหน่ำ ทว่าสุดท้ายกลับยังยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ!” พระยาสวรรค์หลายคนของนครจักรพรรดิขุยต่างก็รู้สึกปลงอนิจจังออกมาจากใจจริง

อยู่ในนครผียักษ์จับราชาสวรรค์เป็นตัวประกัน สยบศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในกาหลอมวิญญาณ ศึกขั้นดินเป็นที่จับตามองของคนนับหมื่น ผู้ตรวจการที่ค้นบ้านยึดทรัพย์ตระกูลนับไม่ถ้วน!

สร้างความวุ่นวายพลิกฟ้าในพิธีเซ่นไหว้บรรพชน สังหารพระยาสวรรค์ด้วยความเดือดดาล ผลักดันโองการประทานคุณแด่ประชาต่อต้านศัตรูทั้งราชสำนัก เลื่อนสู่ชั้นดินโดยที่รับรู้กันทั่วแดนทุรกันดาร!

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป เรื่องหลายทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้กลับไม่ได้จางหายไปจากนครจักรพรรดิขุย กลับกันคือยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

วันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป ต้าเทียนซือที่จ้องนิ่งไปยังแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในตำหนักเทียนซือก็ยังถึงกับพึมพำเบาๆ

“ข้าอยากรู้เหลือเกินว่า เหตุใดจักรพรรดิหมิง…ถึงได้เลือกเขา!”

เฮยหมิงที่อยู่ข้างกันก็พูดเสียงแผ่วอยู่ในใจตัวเอง

“ข้า สู้เจ้าไม่ได้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version