Skip to content

A Will Eternal 864

บทที่ 864 นับกะผีอะไร

เรือลำนี้มีความเร็วสูงยิ่ง มันลอดทะลวงผ่านความว่างเปล่าของพื้นที่แม่น้ำตอนปลายสายตะวันออก ทุกที่ที่ผ่านล้วนมีเสียงอากาศระเบิดซัดดังเป็นทอดๆ

เสียงนี้ดังกัมปนาทจนทำให้สัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ในภูเขาลึกและในผืนป่าของพื้นที่แม่น้ำทงเทียนตอนปลายสายตะวันออกพากันแตกตื่น หลังจากที่สัตว์แต่ละตัวสัมผัสได้ถึงคลื่นตบะน่าตะลึงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ออกมา พวกมันต่างก็พากันเก็บปราณของตัวเองไว้อย่างมิดชิด ไม่กล้าเผยออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว

พวกสัตว์ร้ายที่แม้แต่นักพรตของสำนักแม่น้ำตอนปลายยังไม่กล้ามาแหยมด้วยง่ายๆ ทว่าพอสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรีบไปซ่อนตัวเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกสำนักตอนปลายเลย

ตลอดทางมานี้ทุกสำนักของแม่น้ำตอนปลายล้วนตกอยู่ในอาการอกสั่นขวัญหาย ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่พอเห็นเรือบินห้อทะยานผ่านไปบนท้องฟ้าก็ถึงขั้นรีบลงไปนั่งคุกเข่ากราบคำนับ

พวกเขาไม่กล้าเผยความแข็งกระด้างไม่เคารพยำเกรงออกมา เพราะคนส่วนใหญ่ต่างก็มองออกว่าคนที่อยู่ในเรือบินลำนี้ต้องมีตัวตนสูงศักดิ์อย่างหาอะไรมาเทียบเคียงไม่ได้ เพราะอย่างไรซะคลื่นตบะประเภทนี้ พวกเขาแค่รับสัมผัสเพียงเล็กน้อย จิตวิญญาณก็แกว่งไกวอย่างที่มิอาจควบคุมแล้ว

ท่ามกลางการทะยานของเรือบินลำนี้ ความเร็วของมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเวลาแค่ไม่กี่ชั่วยามก็บินไปถึงริมชายเขตของพื้นที่แม่น้ำตอนปลายขยับเข้าไปใกล้แม่น้ำตอนล่าง

พืชหญ้าทุกต้นของที่แห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พูดว่าตัวเองรู้จักทั้งหมด แต่ก็มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด เพราะว่าเส้นทางที่เขาเลือกบินผ่านไปก็คือพื้นที่แม่น้ำตอนปลายซึ่งเคยอยู่ในการดูแลของสำนักธาราเทพในปีนั้น

และเมื่อก้าวเข้ามาในแผ่นดินเกิดของสำนักธาราเทพที่อยู่ในแม่น้ำตอนล่าง ทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นเคยมากกว่าเดิม เขามองเห็นแม่น้ำทงเทียน อีกทั้งพอบินผ่านภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งมาได้ เขายังมองเห็นยักษ์ตนหนึ่งที่ตัวใหญ่เท่าขุนเขาซึ่งถูกเรือบินที่บินผ่านปลุกให้ตื่น!

ยักษ์ตนนี้นอนอยู่ตรงนั้น มันลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด กำลังจะอ้าปากร้องคำราม แต่พอสัมผัสได้ถึงปราณของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในเรือกลับหุบปากฉับ ตัวสั่นสะท้าน รีบหดหัวกลับไปทันที

ยักษ์ตนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ปีนั้นตอนที่เขาออกมาจากสำนักธาราเทพเพื่อหาประสบการณ์เคยได้เห็นมันมาก่อน ตอนนี้พอมาเห็นอีกครั้ง ในใจก็ให้ตื่นเต้น เพราะปีนั้นที่เห็นยักษ์ตนนี้เขาต้องเป็นฝ่ายที่ระมัดระวัง ทว่าวันนี้พอมาได้เห็นอีกครั้ง มองปราดเดียวเขาก็มองออกว่าพลังการต่อสู้ของยักษ์ตนนี้ มากสุดก็แค่ก่อกำเนิดเท่านั้น

เพียงแต่ว่าเนื่องจากในร่างของมันมีสายเลือดของชนพื้นเมืองจากแดนทุรกันดาร บวกกับที่ได้รับการบำรุงจากปราณของแม่น้ำทงเทียน จึงทำให้ร่างกายใหญ่โตขนาดนี้

“ฮ่าๆ ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งมากแล้วจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งห้าวเหิมทั้งลำพองใจ ควบคุมให้เรือบินผ่านไปในขอบเขตของสำนักธาราเทพอย่างรวดเร็ว ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน หัวใจของพวกเขาสะท้านไหวอย่างที่มิอาจสงบนิ่งได้ สายตาก็คอยเหลือบมองไปยังทิศทางที่ตั้งของสำนักธาราเทพเป็นระยะ

ไม่นานนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองไกลๆ ไปเห็นเทือกเขาลั่วเฉิน!!

วินาทีที่มองเห็นเทือกเขาลั่วเฉิน ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเกิดคลื่นกระเพื่อมไหว แต่ไม่นานคลื่นนั้นก็จางหายไป เขาดึงสายตากลับคืนมา เพิ่มความเร็วทะยานไปข้างหน้า

พื้นที่ของสำนักธาราเทพที่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนในปีนั้นถือว่ามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่อย่างถึงที่สุด มาตอนนี้เมื่อเรือบินที่ผ่านการควบคุมจากตบะของเขาบินผ่านไปกลับเปลี่ยนมาเป็นเล็กจ้อย

เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม….เขาก็แทบจะลอดทะลวงผ่านพื้นที่ของสำนักธาราเทพไปได้หมด แต่ไม่นานสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มฉายความคลางแคลงใจ เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น พื้นที่แม่น้ำตอนปลายยังพอมองเห็นนักพรต แต่ทำไมแม่น้ำตอนล่างถึงไม่มีเงาร่างของนักพรตให้เห็นแม้แต่คนเดียว!” ซ่งเชวียเองก็มองออกถึงปัญหานี้ เขาถึงได้ขมวดคิ้วพูดขึ้นมา

เสินซ่วนจื่ออึ้งงันไปครู่ แม้ว่าเขาจะสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่เมื่อเหรียญทองแดงหายไป ลำพังแค่ตบะของเขาก็ไม่มากพอจะทำนายให้รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องใดๆ ขณะที่คนทั้งสามกำลังเกิดความสงสัยอยู่นั้น ในที่สุดเรือบินของพวกเขาก็มาถึงตำแหน่งอันเคยเป็นที่ตั้งของสำนักธาราเทพ!

เพิ่งจะมาถึง สองยอดเขาริมฝั่งแม่น้ำของสำนักธาราเทพก็ปรากฏอยู่ในสายตาของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนสามคน ทว่าชั่วพริบตานั้น คนทั้งสามกลับต้องหน้าเปลี่ยนสี ยามนี้พื้นที่ดั้งเดิมของสำนักธาราเทพกลับมีม่านแสงค่ายกลล้อมวน ซึ่งนั่นแสดงว่ามีคนเปิดใช้ค่ายกลใหญ่พิทักษ์สำนักจากภายใน!

และสามารถมองเห็นนักพรตจำนวนมากที่อยู่ในค่ายกลนั้น นักพรตเหล่านั้นคือคนที่สำนักสยบธารทิ้งเอาไว้ เป็นลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่ปกป้องที่แห่งนี้ ตบะของพวกเขาไม่มากพอให้เดินทางไปยังแม่น้ำตอนกลาง ดังนั้นจึงเลือกที่จะอยู่ต่อที่เดิมเพื่อพิทักษ์รากฐานของสำนักธาราเทพเอาไว้!

และในความเป็นจริงก็ไม่ใช่แค่สำนักธาราเทพเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ สำนักธาราโลหิต สำนักธาราโอสถและสำนักธาราทมิฬก็ล้วนทำในแบบเดียวกัน ด้านหนึ่งก็เพื่อปกป้องบ้านเกิด อีกด้านหนึ่งก็เป็นการป้องกันอย่างหนึ่งของสี่สายในสำนักสยบธาร เพื่อเหลือทางถอยให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันก็ทิ้งเมล็ดพันธ์ที่จะทำให้สำนักสืบทอดต่อไปได้นานเท่านานเอาไว้ด้วย

ทว่าตอนนี้ท่าทางที่เหมือนกำลังเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจของลูกศิษย์ในสำนักธาราเทพกลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อที่แม้จะมาจากสำนักธาราโลหิต แต่พวกเขาก็จินตนาการได้เลยว่าที่นี่ต้องเกิดเรื่องใหญ่อะไรบางอย่างแน่นอน ในเมื่อสำนักธาราเทพยังเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าในสำนักธาราโลหิตก็คงไม่ต่างกัน!

ยามนี้เมื่อเรือบินทะยานมาถึง ค่ายกลของสำนักธาราเทพก็พลันเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวทันที ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ด้านในมีสีหน้าตึงเครียดระแวดระวัง จ้องมาที่ท้องฟ้าเขม็ง

ทั้งยังมีนักพรตรวมโอสถหลายคนที่บินกันออกมาเป็นกลุ่ม พวกเขามองมายังเรือบินที่ทะยานมาบนท้องฟ้าด้วยสายตาเครียดขรึมพลางสั่งการให้ลูกศิษย์คนอื่นจัดกองทัพเตรียมรับมืออย่างเต็มกำลัง ในบรรดานักพรตรวมโอสถเหล่านี้มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งน่าจะมีตบะรวมโอสถช่วงกลาง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้นำของทุกคน เพียงแต่ว่าเขาเหมือนคนเป็นโรคอะไรบางอย่าง มองดูแล้วอ่อนแออย่างมาก ยามนี้ในสีหน้าที่เคร่งเครียดของเขาซุกซ่อนความร้อนใจเอาไว้ สายตาก็คอยมองประเมินเรือบินที่จู่ๆ ปรากฏเหนือน่านฟ้าของสำนักธาราเทพอย่างต่อเนื่อง

เรือบินลำนี้เขารู้สึกคุ้นตาไม่น้อย มองออกว่าเป็นของสำนักสยบธาร เรือบินของสำนักสยบธารที่กระจายตัวอยู่ด้านนอกในเวลานี้…ก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่ลำพังเพียงแค่เห็นเรือบินอย่างเดียวย่อมไม่สามารถทำให้ความระแวดระวังของเขาลดน้อยลงไปได้

“พี่ใหญ่โหว!” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่รัว ในใจบังเกิดความไม่เป็นสุข ขณะเดียวกันมองปราดเดียวเขาก็พอจะเห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำของนักพรตมากมายในค่ายกลได้รำไร!

คนผู้นี้ก็คือโหวอวิ๋นเฟยศิษย์พี่ของป๋ายเสี่ยวฉุน

ทั้งยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของโหวเสี่ยวเม่ย!!

ไร้ซึ่งความลังเลใด เมื่อกล่าวจบป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระโดดผลุงจากเรือมายืนอยู่กลางอากาศทันที

และเสียงของเขาก็ดังเข้าไปในค่ายกลเช่นกัน เมื่อทุกคนได้ยินก็ล้วนพากันอึ้งงัน ยิ่งโหวอวิ๋นเฟยก็ยิ่งตะลึงค้าง จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่พักใหญ่ ใบหน้าของเขาค่อยๆ ฉายความเหลือเชื่อและคาดไม่ถึง ก่อนจะร้องอุทานเสียงหลง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!”

หลังจากที่เสียงของโหวอวิ๋นเฟยดังออกมา นักพรตรวมโอสถหลายคนที่อยู่รอบกายเขาก็อึ้งค้าง พวกเขารู้สึกว่าชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนี้คุ้นหูไม่น้อย และไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่ลูกศิษย์สำนักธาราเทพที่อยู่โดยรอบก็ยังเกิดความลังเลใจเช่นกัน

และขณะที่โหวอวิ๋นเฟยอึ้งตะลึง คนรอบด้านลังเลไม่แน่ใจอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างทั้งร่างพลันพร่าเลือน เมื่อปรากฏชัดเจนอีกครั้งก็เข้ามาอยู่ในค่ายกล อยู่เบื้องหน้าโหวอวิ๋นเฟยแล้ว!

ค่ายกลนี้มิอาจสกัดกั้นเขาเอาไว้ได้ อีกทั้งยังไม่ระคายผิวของเขาแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่ได้ดำรงอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ทุกคนพากันอ้าปากค้าง พวกรวมโอสถก็ยิ่งทำท่าเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ ทุกคนตึงเครียดอย่างถึงที่สุด นั่นเป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างความสะท้านสะเทือนให้ทุกคนมากเกินไป

“เสี่ยวฉุน เป็นเจ้าจริงๆ หรือนี่!!” โหวอวิ๋นเฟยสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ อยู่หลายที เวลานี้เขาคืนสติกลับมาแล้ว หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพินิจพิเคราะห์ ในใจก็ให้บังเกิดความตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เขาพบว่าตนมองตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ออกแล้ว แต่พอจะสัมผัสได้ว่าคลื่นที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่ายน่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าบุรพาจารย์สำนักธาราเทพที่เขาเคยพบเสียอีก

ไม่ได้พบโหวอวิ๋นเฟยมานานหลายปี เวลานี้ได้พบหน้าสหายเก่า ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ดีใจมากเหมือนกัน กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเหมือนโหวอวิ๋นเฟยนึกอะไรออก หน้าของเขาพลันเปลี่ยนสี รีบพูดรัวเร็ว

“เสี่ยวฉุน ตอนนี้เจ้ามีตบะอะไร?!”

“หา? ก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบกระมัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ระหว่างที่เขาพูด เสินซ่วนจื่อและซ่งเชวียที่อยู่บนเรือบินนอกค่ายกลก็เดินออกมาจากเรือและมาหยุดยืนอยู่กลางอากาศ

เดิมทีสีหน้าของโหวอวิ๋นเฟยยังตื่นเต้น แต่พอได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ในใจจะตื่นตะลึงไปกับตบะของอีกฝ่าย ทว่าสุดท้ายเขาก็ยังได้แต่ยิ้มขื่น

“รีบหนีไปเร็วเข้า อย่าอยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่ต้องไปที่สำนักสยบธาร…เสี่ยวฉุน ไปเถอะ ไปให้ไกลจากแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกแห่งนี้”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!” วินาทีที่คำพูดนี้ดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสี หอบหายใจถี่รัว ตะโกนถามเสียงดัง

โหวอวิ๋นเฟยส่ายหัวพลางหัวเราะขมขื่น เขารู้ดีว่าเรื่องนี้มิอาจปิดบังป๋ายเสี่ยวฉุนได้ อีกทั้งพอนึกถึงฐานะของป๋ายเสี่ยวฉุนในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ส่วนลึกในใจของเขาก็บังเกิดความหวังขึ้นมาเสี้ยวหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้

หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงบอกเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟังอย่างตรงไปตรงมา บอกกับเขาว่าตอนนี้สำนักสยบธารกำลังเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวง!

เมื่อได้ยินว่าสามสำนักใหญ่ของแม่น้ำตอนกลางร่วมมือกันเปิดสงครามหมายกำจัดสำนักสยบธาร ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนมาเป็นแดงฉานในเสี้ยววินาที ปราณสังหารพลุ่งพล่านเต็มอก ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มรุนแรง

เขาคำรามเดือดดาลหนึ่งครั้งแล้วพุ่งทะยานออกจากค่ายกล ก้าวเข้าไปในเรือบินโดยที่ไม่สนใจซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อ ก่อนจะระเบิดตบะทั้งหมดออกมาอย่างไม่มีกั๊กไว้แล้วบังคับให้เรือบินทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เหนือกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เรือบินก็แล่นฉิวไปยัง…สำนักสยบธาร!

“เสี่ยวฉุน!!” โหวอวิ๋นเฟยรีบตะโกนห้าม แต่กลับสายไปเสียแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเร็วมากเกินไป พริบตาเดียวก็หายไปไม่เหลือเงา ส่วนซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อที่ยืนอยู่กลางอากาศซึ่งพอได้ยินคำบอกเล่าของโหวอวิ๋นเฟยก่อนหน้านี้ พวกเขาสองคนก็หน้าเปลี่ยนสีทันใด ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ร่ายความเร็วสูงสุดพุ่งตัวไปยังทิศทางของสำนักสยบธารทันที

แต่ก่อนจะจากไป เสินซ่วนจื่อเห็นว่าโหวอวิ๋นเฟยร้อนใจ เขารู้ความสัมพันธ์ของโหวอวิ๋นเฟยกับป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบบอกให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ศิษย์พี่โหวไม่ต้องเป็นกังวล ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนตามไปทัน สามสำนักใหญ่นั่น…จะนับกะผีอะไรได้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version