บทที่ 925 เริ่มการประลอง
และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหาตู้หลิงเฟยอยู่นั้นเอง สายตาเส้นหนึ่งก็พลันพุ่งลงมาจากในตำหนักใหญ่บนยอดเขา เพียงแค่สายตาก็ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆซัดตลบ แม้แต่ประกายแสงระยิบระยับบนท้องฟ้าก็ยังเกิดการบิดเบือน
ต่อให้เป็นมหาสมุทรทงเทียนก็ยังหยุดนิ่ง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำตกและทะเลสาบเบื้องล่างของที่แห่งนี้เลย บัดนี้ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพากันสั่นสะท้านเมื่อสายตานี้ทอดลงมา ส่วนทุกคนที่อยู่บนลานกว้างรวมถึงป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็ใจสั่นระรัวราวลั่นกลองศึก ทุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขาดหายไปกลางคัน หัวใจของทุกคนเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แรงกดดันอย่างที่มิอาจบรรยายพลันเอ่อท้นไปทั่วร่างโดยที่มิอาจควบคุม
ถึงขั้นที่ว่า…แม้แต่จะขยับร่างก็ยังมิอาจทำได้!!
ต่อให้คนฟ้าอย่างพวกป๋ายเสี่ยวฉุนที่แม้จะไม่ถึงขั้นขยับร่างไม่ได้
แต่ก็ยังคงถูกพลานุภาพสยบที่ราวกับพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทรนี้ตรงเข้ามาบีบคั้นกดดันจนในร่างมีเสียงกัมปนาทดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เทียนจุน!” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเสียงดังอึงอล ลมหายใจหอบรัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับพลานุภาพสยบเช่นนี้ เพราะเมื่อครั้งที่อยู่ในแดนทุรกันดาร เขาก็เคยมีประสบการณ์สัมผัสกับพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้ามของเทียนจุนมาก่อน
และเขาก็รู้สึกได้ว่าอำนาจของเทียนจุนในเวลานี้ เหมือนจะพลุ่งพล่านเดือดระห่ำมากกว่าตอนอยู่แดนทุรกันดารด้วยซ้ำ นี่จึงทำให้ใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนไม่หยุด
พลังอำนาจเช่นนี้เหนือเกินกว่าคนฟ้าจนเทียบกันไม่ติด เหนือกว่าครึ่งเทพไปไกลโข เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งใดทัดเทียมได้อีกแล้ว!
“เขาได้รับบาดเจ็บไม่ใช่หรือ!!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตัวสั่น พวกคนฟ้าคนอื่นๆ ก็ควบคุมอาการสั่นสะท้านของตัวเองไม่ได้เช่นกัน ขนาดคนฟ้ายังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงก่อกำเนิดเลย เวลานี้ในสมองของก่อกำเนิดทุกคนว่างเปล่าขาวโพลน ราวกับวิญญาณหลุดลอยออกไปจากร่างแล้ว
และเวลานี้เอง ใต้รูปปั้นของเทียนจุนบนยอดเขาหลักก็มีเงาร่างของสตรีผู้หนึ่งเดินออกมาช้าๆ นางสวมอาภรณ์ปักลายหงส์ สูงศักดิ์เหนือผู้ใด นางก็คือตู้หลิงเฟย!
นางยืนอยู่กลางอากาศ หันหลังให้กับรูปปั้นของเทียนจุน เอ่ยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยบารมีดังก้องไปสี่ทิศ
“คารวะ!”
พอจบคำพูดของนาง ทุกคนที่อยู่บนลานกว้างรวมถึงป๋ายเสี่ยวฉุนก็พากันก้มตัวต่ำคารวะรูปปั้นใหญ่ยักษ์อย่างที่มิอาจควบคุมตัวเองได้
“คารวะเทียนจุน!”
เสียงของนักพรตหลายร้อยจนเกือบพันคนรวมเข้าด้วยกันจึงกลายเป็นคลื่นเสียงที่ก้องกังวานอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความกระตือรือร้นอันเร่าร้อน แฝงไว้ด้วยความสั่นสะเทือน และยิ่งมากด้วยความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อผู้แข็งแกร่ง!
ขณะที่ทุกคนพากันคำนับ ตู้หลิงเฟยที่อยู่บนท้องฟ้าก็ได้เบี่ยงตัวหันข้างเล็กน้อย จนกระทั่งทุกคนคารวะเสร็จ นางถึงได้หันกลับมาดังเดิม นางกวาดสายตามองผ่านกลุ่มคนที่อยู่เบื้องล่าง หยุดชะงักอยู่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนครู่หนึ่ง ก่อนจะย้ายสายตาออกไปโดยไม่เผยพิรุธใดๆ ครั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อย
“การประลองครั้งนี้ ทุกท่านคงรู้กติกากันแล้ว คนแรกที่เดินออกมาจากพื้นที่การประลองจะได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเทียนจุน”
“เนื่องจากพื้นที่การประลองกว้างใหญ่มาก การประลองครั้งนี้จึง…ไม่จำกัดเวลา!”
นางพูดมาถึงตรงนี้ก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเหล่าองค์รักษ์ที่อยู่บนลานกว้างก็พากันเดินออกมามอบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้กับนักพรตทุกคนของแม่น้ำสี่สาย
“แผ่นหยกแผ่นนี้จะบันทึกเรื่องราวทุกอย่างของพวกเจ้าเอาไว้ และเมื่อพวกเจ้าค้นพบทางออกแล้วก็จงบีบวัตถุที่เป็นหลักฐานให้แตกสลาย!” ตู้หลิงเฟยอธิบายเสร็จก็พลิกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นในมือของนางก็มีก้อนหินสีม่วงก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ก่อนที่นางจะโยนก้อนหินนั้นลงไปยังทะเลสาบที่อยู่เบื้องล่าง
พริบตาเดียว ก้อนหินสีม่วงก็กลายมาเป็นรุ้งยาวสีม่วงเส้นหนึ่งที่จมหายเข้าไปในทะเลสาบ และวินาทีที่มันจมหายลงไปนั้นเอง ตลอดทั้งทะเลสาบก็พลันมีเสียงซ่าดังสนั่นหวั่นไหว น้ำของทะเลสาบกลิ้งซัดตลบไปรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง ริ้วคลื่นชั้นแล้วชั้นเล่าแผ่กระจาย ก่อนที่ประตูหินใหญ่มหึมาบานหนึ่งจะ…ผุดออกมาจากกลางทะเลสาบ!
ประตูหินนี้ใหญ่พอร้อยจั้ง มันทะยานตัวขึ้นฟ้าพร้อมเสียงดังครืนครั่น สุดท้ายก็ตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลสาบพร้อมแผ่กลิ่นอายเก่าแก่ยาวนานออกมา และบนประตูหินนี้ยังมีภาพใบหน้าดุร้ายมากมายสลักเอาไว้ ใบหน้าพวกนี้มองดูเหมือนมีชีวิตจริง แต่ละหน้าบูดเบี้ยว พากันส่งเสียงร้องคำรามแหบโหย
อีกทั้งยังมีควันดำแผ่ออกมาจากประตูหินบานนี้ ก่อนที่ควันพวกนั้นจะเกาะตัวกันกลายมาเป็นมังกรสีดำเก้าสิบเก้าตัวที่พากันหันไปโก่งคอร้องคำรามใส่สี่ทิศ พริบตานั้นฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน มังกรนิลเก้าสิบเก้าตัว แต่ละตัวใหญ่พอพันจั้ง ยามนี้กำลังเริงระบำเป็นวงกลมคล้ายต้องการยึดครองนภากาศ หมายจะสลัดให้พ้นจากประตูหิน บุกออกไปนอกโลก
และเมื่อเทียบกับมังกรนิลเหล่านี้แล้ว ประตูหินที่มีขนาดแค่ร้อยจั้งจึงกลายมาเป็นเล็กจ้อยจนแทบไม่มีค่าพอให้พูดถึง
ภาพนี้ทำเอาทุกคนบนลานกว้างใจแกว่งกันอย่างรุนแรง ตะลึงพรึงเพริดอึ้งค้างไปอีกครั้ง และวินาทีนี้เอง เมื่อเห็นว่ามังกรดำพากันร้องคำรามและยิ่งว่ายเวียนแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง ในรูปปั้นเทียนจุนก็พลันมีเสียงแค่นเย็นชาดังออกมา เพียงแค่เสียงแค่นเสียงเดียวกลับเป็นดั่งทัณฑ์สวรรค์ที่ผ่าเปรี้ยงลงมาราวกับจะแหวกฟ้าทุบดิน
โลกทั้งใบสั่นสะเทือน มังกรดำเก้าสิบเก้าตัวโดนแรงสะเทือนจนขวัญผวา รีบเปลี่ยนจากเสียงแผดร้องมาเป็นเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เสียงนี้แฝงไว้ด้วยความสิ้นหวัง ความไม่ยินยอม แต่เมื่ออยู่ภายใต้เสียงแค่นเย็นชาที่ราวกับอสนีบาตนี้ ร่างของพวกมันก็พากันแหลกสลายอย่างห้ามไม่ได้
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ มังกรนิลเก้าสิบเก้าตัวที่ก่อนหน้านี้ยังคลุ้มคลั่งบ้าระห่ำ มาตอนนี้กลับแตกทลายกันไปหมด กลายมาเป็นเพียงควันสีดำที่ล้อมวนอยู่รอบประตูหิน และไม่นานก็ก่อตัวกันขึ้นมาเป็นน้ำวนสีดำขนาดใหญ่ยักษ์
น้ำวนนี้หมุนคว้างครืนครั่นจนก่อเกิดเป็นพลังงานขุมหนึ่งที่กระชากรั้งประตูหิน ทำให้ประตูหินค่อยๆ …มีรอยแยกเส้นหนึ่งปริแตกออกมา!
และชั่วขณะที่รอยแยกนี้เผยตัว ปราณเย็นชาวังเวงขุมหนึ่งก็เล็ดรอดออกมาจากร่องแตกแล้วแผ่ปกคลุมไปแปดทิศอย่างรวดเร็ว ผ่านที่ใด ฟ้าดินแห่งนั้นก็คล้ายตกอยู่ในห้วงเวลาของวันที่อากาศหนาวเย็นมากที่สุด!
ไอความเย็นนี้ยังสามารถทำให้จิตวิญญาณเกาะตัวเป็นน้ำแข็งได้อีกด้วย ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังตัวสั่นเทา ลมหายใจแข็งค้าง รีบหันไปมองที่รอยแตกบนประตู แม้รอยแตกนี้จะเล็ก แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังใหญ่อยู่หลายจั้ง
เพียงแต่ว่าต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะใช้พลังตบะคนฟ้าทั้งหมดก็ยังไม่สามารถมองเห็นโลกภายในรอยแตกนั้นได้อย่างชัดเจน
ทว่าแม้จะเห็นได้ไม่ชัด แต่ทุกคนซึ่งรวมถึงป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็ตระหนักได้ทันทีว่า…การประลองครั้งนี้คงมีความยากขั้นสูงสุด แฝดอวิ๋นเหลย เชียนกุ่ยจื่อ และยังมีหลิงเซียนซ่างเหรินต่างก็สีหน้าเคร่งเครียด ยิ่งพวกนักพรตก่อกำเนิดของทั้งสี่สายก็ยิ่งเครียดหนัก
พวกซ่งเชวีย ป๋ายหลิน จ้าวเทียนเจียว จั่วเต้า ไม่มีใครที่ไม่ใจสั่นสะท้าน
เพราะประตูใหญ่ของพื้นที่การประลองนี้พิลึกพิลั่นเกินไป เป็นเหตุให้ทุกคนอดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดการรับลูกศิษย์ของเทียนจุนถึงต้องตั้งกฎเช่นนี้ และเหตุใดถึงได้เลือกพื้นที่การประลองที่เห็นได้ชัดว่ายากลำบากขนาดนี้
เพราะอย่างไรซะทุกคนที่เข้าร่วมการประลองลูกศิษย์ของเทียนจุนครั้งนี้ก็ล้วนมีตบะไม่ต่ำกว่าก่อกำเนิด ไม่พูดว่าทุกคนเจ้าเล่ห์เพทุบายเหมือนกันหมด ทว่าคนส่วนใหญ่ก็มีแผนการลึกล้ำแยบคายกว่าลูกศิษย์ระดับล่างหลายเท่าตัว จึงยากที่จะไม่เกิดข้อกังขา
และขณะที่ทุกคนตื่นตะลึงและคลางแคลงใจกันอยู่นั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นจางต้าพั่งที่เวลานี้ในดวงตาของเขาเผยความเหลือเชื่อออกมา ทั้งลมหายใจยังถี่รัว นั่นเพราะประตูหินบานนี้…เคยปรากฏมาก่อนในความฝันของเขา!!
“สุดท้ายข้าขอเตือนพวกเจ้าหนึ่งประโยค…” ขณะที่จิตวิญญาณของทุกคนเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวไม่มั่นคง ตู้หลิงเฟยที่ยืนอยู่กลางอากาศก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ พอเสียงของนางดังออกมา คนเกือบพันจากแม่น้ำสี่สายที่อยู่บนลานกว้างก็พากันเงยหน้าขึ้น
“พื้นที่การประลองคือพื้นที่ที่มีขอบเขตกว้างใหญ่อย่างถึงที่สุด แม้จะไม่ใช่ไร้ที่สิ้นสุด ทว่าก็เป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง…ที่นั่นแบ่งออกเป็นทั้งหมดสี่เขต อันได้แก่บึงบ่อลึก ป่าแห่งแมกไม้ ลานที่ราบและทะเลทรายรกร้าง!”
“ในพื้นที่การประลอง อาวุธทุกชิ้นที่พวกเจ้าเอาเข้าไปล้วนใช้ไม่ได้…ทั้งยังต้องระวังเรื่องพลังวิญญาณของพวกเจ้า เพราะในพื้นที่การประลองไม่เพียงแต่ใช้อาวุธวิเศษไม่ได้ แม้แต่พลังวิญญาณก็ยังมีเบาบางมาก…”
“คิดจะรอดชีวิตอยู่ในนั้น หรือคิดจะได้รับผลสำเร็จจากการประลองครั้งนี้ พวกเจ้าจำเป็นต้องมีความสามารถในการควบคุมพลังวิญญาณของตัวเอง ขณะเดียวกัน…ในพื้นที่การประลองก็มีอาวุธล้ำค่าที่ไร้เจ้าของอยู่เป็นจำนวนมาก หากคิดวิธีเก็บเอาอาวุธเหล่านั้นมาได้ก็จะทำให้พลังการต่อสู้ในพื้นที่การประลองของพวกเจ้าเพิ่มขึ้น และก็มีโอกาสที่จะประลองสำเร็จมากขึ้น!”
“อีกทั้งผู้ที่เข้าไปในพื้นที่การประลองครั้งนี้ไม่ได้มีแค่พวกเจ้า แต่ยังมีองค์รักษ์ของเกาะทงเทียนเราอีกด้วย พวกเขาจะมีข้าเป็นผู้นำ รับผิดชอบตรวจตรา ประเมินและตัดสินการประลองครั้งนี้!” ตู้หลิงเฟยเอ่ยเนิบช้า พอนางกล่าวจบ ทุกคนที่อยู่บนลานกว้างก็พอจะวางใจกับการประลองครั้งนี้ได้บ้าง เพราะอย่างไรซะก็ไม่ได้มีแค่พวกเขา แต่ขนาดองค์รักษ์ของเกาะทงเทียนก็ยังต้องเข้าร่วมด้วย
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือตู้หลิงเฟยคือทูตของเกาะทงเทียน เมื่อมีนางเข้าไปด้วย พวกเขาจึงคลายใจลงได้ไม่น้อย ยิ่งแฝดอวิ๋นเหลย เชียนกุ่ยจือและหลิงเซียนซ่างเหรินก็ยิ่งผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ตัวตนที่แน่ชัดของตู้หลิงเฟย แต่อย่างไรซะทุกคนก็เป็นคนฟ้ากันมานานหลายปี ลึกๆ ในใจจึงพอจะคาดเดาได้ไม่มากก็น้อย พอเห็นว่าตู้หลิงเฟยก็เข้าไปด้วยตัวเอง ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกว่าแม้การประลองครั้งนี้จะมีอันตรายรออยู่ ทว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่การจัดฉากเพื่อให้เทียนจุนเลือกลูกศิษย์เท่านั้น!
เมื่อเห็นท่าทีสงบนิ่งของทุกคน ตู้หลิงเฟยจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วยกมือขวาชี้ไปยังประตูหิน
“พื้นที่การประลอง…จงเปิด!”
จบคำพูดของนาง น้ำวนที่ล้อมรอบประตูหินก็พลันมีแรงดึงดูดแผ่ออกมา เสียงกัมปนาทดังกึกก้องไปทั้งชั้นฟ้า รอยแยกบนประตูหินถูกกระชากรั้งจนเปิดออกอีกส่วนหนึ่ง ทันใดนั้นไอความเย็นที่แผ่ออกมาจากด้านในก็ยิ่งขยายลุกลามออกไปเป็นวงกว้าง แม้ไอความเย็นจะเข้มข้นมาก แต่เวลานี้มันกลับมิอาจขวางกั้นไฟเร่าร้อนในใจของทุกคนเอาไว้ได้ พริบตานั้นก็มีคนขยับร่างพุ่งทะยานไปยังประตูหิน และจากนั้นเงาร่างมากมายก็ทยอยกันเหยียบย่างเข้าไปข้างใน!