บทที่ 164 พังไม่คิดเงิน
หลังจากสลักกากบาทลงบนวัตถุเวทไปเป็นจำนวนมาก หวังเป่าเล่อก็รู้สึกจิตใจสงบขึ้น เขาตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะสลักเครื่องหมายกากบาทลงไปบนวัตถุเวทที่ ใช้ไม่ได้
เช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะเป็นการง่ายในการจำแนกเท่านั้น ชื่อเสียงของเขาก็ จะไม่แปดเปื้อนด้วยหากบังเอิญวัตถุเวทที่ใช้ไม่ได้เหล่านั้นเกิดหลุดออกไป
ดูเหมือนขยะพวกนี้จะไร้ประโยชน์ ข้าลองเอาไปขายดีรึเปล่านะ
หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นลูบคาง เขาเริ่มชำนาญการขายวัตถุเวทจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา ฉะนั้นเมื่อเขาจ้องมองไปที่กองอาวุธเวทเหล่านั้น เขาคิดว่าอาจเป็นการดีที่จะขายอาวุธเวทไร้ค่าเหล่านี้เพื่อถอนทุนคืนเสียบ้าง
อย่างไรเสีย ข้าจะขายโดยใช้ชื่อตนเองไม่ได้ มิเช่นนั้น ชื่อเสียงที่ข้าอุตส่าห์สั่งสมมาอย่างยากลำบากก็จะเสียหายลงได้…หวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้ก่อนจะตัดสินใจลงขายผ่านสำนักควบคุมเครือข่ายวิญญาณโดยไม่เผยชื่อ
แค่นี้ก็จะไม่มีใครรู้ต้นตอของวัตถุเวทเหล่านี้ นอกจากพนักงานในสำนักควบคุมเครือข่ายวิญญาณเท่านั้น สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเขาเพราะว่าสำนักควบคุมเครือข่ายวิญญาณเคร่งครัดเรื่องการเก็บความลับของลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง
ข้าจะขายทุกชิ้นที่ขายได้ ถ้าหากไม่มีใครอยากได้เลยก็คงช่วยไม่ได้
คิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นโพสต์ขายของในทันที เขาลงขายไปเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และค่อยๆ โพสต์ขายต่างช่วงเวลากันออกไป
เพื่อเรียกร้องความสนใจ หวังเป่าเล่อตั้งชื่อให้วัตถุเวทบางชิ้นด้วยชื่อที่เขาคิดว่าน่าจะเตะตา ส่วนเรื่องราคาเขาก็ไม่ตั้งแพงเกินเอื้อมไปนัก
หลังจากที่โพสต์เสร็จ หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก ชีวิตเขาค่อยๆ กลับมาเป็นอย่างเคยเมื่อหนึ่งเดือนก่อน นอกเหนือจากการเรียนและอ่านหนังสือ เขาใช้เวลาไปกับการหลอมวัตถุเวทและทรายอาวุธ
สองสัปดาห์ล่องลอยผ่านไป หวังเป่าเล่อหลอมทรายอาวุธมาได้หลายร้อยเม็ด เขากำลังทำตามแผนหลอมให้ได้หนึ่งพันเม็ดอยู่เมื่อได้รับแจ้งเตือนว่าเขาได้รับ ศิลาวิญญาณห้าร้อยก้อน
ศิลาวิญญาณจำนวนนั้นโอนเข้าไปยังบัญชีสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเขาโดยตรง หวังเป่าเล่องุนงงเล็กน้อย และหลังจากที่ไปตรวจสอบ เขาก็พบว่ามีใครบางคนซื้อวัตถุเวทขยะที่เขาลงขายไว้ไป
วัตถุเวทที่ขายออกคือกระบี่เหาะเหินสุดทนทานที่หวังเป่าเล่อนำไปผสานรวมกับทรายอาวุธไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง
ดูเหมือนว่าจะมีอัจฉริยะสายตาแหลมคมจำแนกสมบัติได้ หลบซ่อนอยู่ใน เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงกระมัง…หวังเป่าเล่อมีความสุขมาก เขาจำได้ว่าเคยตั้งชื่อ ยอดเยี่ยมให้กับกระบี่เหาะเหินเล่มนั้นด้วย
เขาหันกลับไปหลอมวัตถุเวทต่ออย่างเปี่ยมสุข พลางคาดฝันถึงวันที่วัตถุเวทขยะของเขาจะขายออกอีก
ไม่ทันไรอีกเจ็ดวันก็ผ่านไป
วันนั้น ณ ลานกว้างประจำตำหนักการยุทธ์ มีชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์สวม ชุดคลุมเต๋าสีเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาคือฉีหนัน ศิษย์เอกคนใหม่ของตำหนักการยุทธ์ เขากำลังจ้องมองบุรุษและสตรีคู่หนึ่งด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ หมัดกำแน่น
สตรีผู้นั้นหน้าตาสะสวย แถมยังมีทรวดทรงยั่วยวน จนแม้แต่ชุดคลุมเต๋าก็ไม่อาจปกปิดได้มิด ส่วนบุรุษอีกคนรูปร่างผอมแห้งหน้าตาธรรมดา แต่ได้เปรียบด้านความสูง เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับเจ้าหนุ่มอย่างหยามเหยียดว่า
“ฉีหนัน เจ้าจะสู้กับข้าจริงๆ หรือ”
ลมหายใจของฉีหนันรัวเร็วขึ้น ดวงตาของเขาฉาบคลุมด้วยโทสะและความขมขื่น ทั้งตัวเขาและสตรีข้างกายบุรุษผู้นั้นต่างก็เป็นศิษย์เอกที่เพิ่งจะผ่านขึ้นมาสู่ เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงด้วยกันทั้งคู่ พวกเขาเคยเป็นคู่รักกัน ฉีหนันไม่คิดเลยว่า นางจะทอดทิ้งเขาไปอยู่กับหลี่เฟย ศิษย์เอกรุ่นพี่ ทันทีที่นางได้ขึ้นมายัง เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง
ฉีหนันทั้งโกรธเกรี้ยวและเดือดดาลจนเมื่อเขาปะทะกับชายคู่กรณี โทสะครอบงำจิตใจทำให้เขาท้าหลี่เฟยสู้
“ได้ เจ้าอยากจะสู้นัก ข้าก็จะช่วยให้สมหวังเอง!” หลี่เฟยเริ่มรำคาญสายตา โกรธเกรี้ยวของฉีหนันที่จ้องมองมา เขายกมือขวาขึ้นและเหวี่ยงลงอย่างแรง กระบี่เหาะเหินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นและพุ่งเขาหาฉีหนัน
กระบี่เหาะเหินพุ่งด้วยความเร็วสูง แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เกิดคลื่นเสียง แต่ก็ดูเหมือนเป็นลำแสงรูปกระบี่อยู่กลางอากาศ กระบี่พุ่งมาถึงตัวฉีหนันอย่างรวดเร็ว เขาเบี่ยงตัวหลบ กระแสลมเย็นยะเยือกที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของกระบี่กระแทก หน้าเขาอย่างแรงราวกับน้ำเย็นยะเยือกถังใหญ่ ความรู้สึกโกรธเมื่อครู่หายไปเป็น ปลิดทิ้ง
ในฐานะน้องใหม่แห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ช่องว่างของความสามารถระหว่างเขาและหลี่เฟยนั้นกว้างใหญ่มาก ขณะนี้ ฉีหนันล้มลุกคลุกคลานเพราะไม่รู้จะทำ อย่างไรต่อไป เขาหยิบเอาวัตถุเวทออกมาจากถุงเก็บของ แต่โชคไม่ดีนักที่วัตถุเวทของเขาเป็นระดับหนึ่งทั้งหมด กระบี่เหาะเหินของหลี่เฟยนั้นเป็นระดับสอง
เขาปัดเอากระบี่เหาะเหินออกไปอย่างไม่ทันคิด เขาทำไปเพียงเพื่อจะตอบโต้ไปบ้างเท่านั้น แต่กระบี่เหาะเหินของหลี่เฟยนั้นเป็นวัตถุเวทระดับสองชั้นเยี่ยม ทำให้ความคมและความแน่นอนนั้นเหนือกว่ามาก กระบี่เหาะเหินพุ่งกลับมาหาเขา พลางทำลายวัตถุเวทระดับหนึ่งของฉีหนันเป็นฝุ่นไปตามทาง วินาทีที่กระบี่อยู่ห่างจากหว่างคิ้วของฉีหนันเพียงไม่กี่เซนติเมตร กระบี่เหาะเหินรูปร่างธรรมดาๆ อีกเล่ม ก็พุ่งเข้ามาขวางเสียก่อน
เมื่อกระบี่ทั้งคู่กระทบกันก็เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น ผู้คนที่ผ่านไปมาถึงกับต้องชะงักกึกด้วยความตกใจ ฉีหนัน ผู้ซึ่งตอนนี้หน้าถอดสีถอยหลังกรูดไปในทันที
วัตถุเวทส่วนมากของเขาตอนนี้แหลกไปแล้ว เว้นไว้เสียแต่กระบี่เหาะเหินระดับสองที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขาราวกับโล่ พลางส่องแสงแสบตา
อีกด้านหนึ่ง กระบี่เหาะเหินของหลี่เฟยกระเด็นออกไปราวกับว่ามันชนเข้ากับศิลายักษ์ กระบี่กระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังก้องสะท้อนไปทั่ว มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นเช่นกันเพราะปลายกระบี่นั้นถึงกับทื่อไป แล้วตัวกระบี่เองก็เสียหายหนักเพราะรอยร้าวขนาดใหญ่
เมื่อเห็นเหตุการณ์ หลี่เฟยถึงกับอ้าปาก เขาตกใจจนต้องแสดงออกมาทางสีหน้า เขาหันไปมองกระบี่เหาะเหินที่พังแล้วลอยกลับมา ก่อนหันกลับไปมองกระบี่เหาะเหินของฉีหนัน เขาเจ็บปวดใจยิ่ง
“ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเจ้ากล้ามาท้าข้าสู้ได้อย่างไร…เหมือนว่าเจ้าจะหวังพึ่งวัตถุเวทสินะ” หลี่เฟยหรี่ตาลงขณะเผยสีหน้าเยือกเย็น เขายังไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น หลี่เฟยโบกมืออีกครั้ง กระบี่เหาะเหินเจ็ดเล่มบินออกมาจากกระเป๋าเก็บของ
ทุกเล่มเป็นวัตถุเวทระดับสองแบบชั้นเยี่ยม แข็งแกร่งทั้งในแง่ของความเร็วและความคม เขาเก็บสะสมกระบี่เหล่านี้มาเป็นเวลาสองปี และบัดนี้ เมื่อเขาขยับผนึกมือ กระบี่เหาะเหินก็พวยพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้น…ข้าจะพังวัตถุเวทของเจ้าเสีย ดูสิว่าเจ้าจะยังอวดดีได้หรือไม่!” ขณะที่หลี่เฟยพูด กระบี่เหาะเหินก็พุ่งเข้าประชิดตัวฉีหนันผู้ซึ่งกลัวจนตัวแข็งด้วยความรวดเร็ว
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นในทันใด ผู้คนรอบข้างต่างก็จ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตา พลางอ้าปากค้าง บ้างก็ตกตะลึงจนแน่นิ่งนัยน์ตาเบิกโพลง
“สวรรค์! นี่ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม กระบี่เหาะเหินเล่มนั้นแข็งแรงเสียจนไม่น่าเชื่อ!”
“นั่น…มันวัตถุเวทอะไรกันน่ะ โล่เวทในรูปแบบกระบี่หรือ”
“เหมือนจะมีเครื่องหมายกากบาทอยู่ด้านบนด้วย! หมายความว่าอะไรกัน”
เมื่อมองจากมุมมองผู้ชม กระบี่เหาะเหินของหลี่เฟยพุ่งเข้าไปราวกับห่าฝน พุ่งไปปะทะกับกระบี่เหาะเหินของฉีหนันแบบตรงๆ ทว่าหมู่มวลกระบี่เหาะเหิน ก็กระดอนออกไม่เป็นท่าในพริบตา ก่อนจะแตกหักเพราะความเร็วและความรุนแรงจากแรงปะทะ บางชิ้นถึงกับแหลกเป็นเสี่ยง แม้กระทั่งเล่มที่เสียหายน้อยที่สุดก็ยังปลายหักกระเด็นออก
เหตุการณ์นี้แปลกประหลาดยิ่ง ในไม่ช้า เมื่อเสียงดังสนั่นเงียบลง เศษกระบี่เหาะเหินที่แตกหักก็ลอยห้อมล้อมอยู่รอบตัวฉีหนัน ตัวเขาเองก็ยังตะลึง หลี่เฟยถึงกับตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ตัวเขาสั่นเทิ้มขณะที่จ้องมองไปยังกระบี่เหาะเหินตรงหน้าฉีหนัน หลี่เฟยมีสีหน้าราวกับเห็นผี
“นั่นมันสมบัติเวทหรือ เจ้ามันหน้าไม่อาย ฉีหนัน! เป็นการต่อสู้ระหว่างศิษย์ด้วยกันเองแท้ๆ เจ้ากลับเอาสมบัติเวทมาใช้อย่างนั้นหรือ!” หลี่เฟยสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ เขาโกรธเสียจนไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป นัยน์ตาเขาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เขาถอยหลังไปสองสามก้าว แม้กระบี่เหาะเหินเล่มนั้นจะดูไม่เหมือนสมบัติเวท แม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่เคยเห็นวัตถุเวทที่ทนทานอย่างเหลื่อเชื่อเช่นนั้นมาก่อน
ฝูงชนต่างพากันตกตะลึง กระทั่งคนรักเก่าของฉีหนันเองก็ไม่เชื่อสายตาตนเอง
อีกด้านหนึ่ง ฉีหนันเองก็เงียบงันเพราะตกใจไปก่อนใครเพื่อน ตอนนี้เขากำลังหายใจรัวเร็ว พลางจ้องมองไปยังกระบี่เหาะเหินตรงหน้า เขาจำได้แม่นว่าเขาซื้อ กระบี่เหาะเหินเล่มนี้มาเมื่อสัปดาห์ก่อนเพราะว่าราคาถูก หลังจากที่ซื้อมาเขาจึงค้นพบว่ากระบี่เล่มนี้เชื่องช้าและไม่คมเอาเสียเลย
นอกเหนือไปจากความแข็งแล้ว เขาคิดว่ากระบี่เหาะเหินเล่มนี้ช่างไร้ค่าเพราะ ไร้ซึ่งความคมและความเร็ว หากไม่ใช่เพราะผู้ขายมีมาตรการไม่คืนเงินให้ เขาคง คืนร้านไปนานแล้ว
อย่างไรก็ดี ตอนนี้ความคิดเหล่านั้นพลันหายไปจากมโนสำนึกของเขาเรียบร้อย เขากลับมาสู่โลกความเป็นจริงและกำกระบี่ที่ลอยอยู่ตรงหน้าไว้แน่นด้วยสีหน้า กระวนกระวาย
“นี่ไม่ใช่สมบัติเวท แต่คือกระบี่เหาะเหินวัตถุเวทระดับสองที่ข้าซื้อมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ชื่อว่า…พังไม่คิดเงิน!” ฉีหนันตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่เฟยตาแทบถลน เพราะสำหรับเขาแล้วคุณภาพของวัตถุเวทชิ้นนั้นอยู่ในระดับชั้นเยี่ยมแน่นอน แต่กลับมีชื่อแสนไร้สาระ…อย่างไรก็ตาม เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าชื่อนั้นสะท้อนคุณลักษณะของมันได้เป็นอย่างดี
ฝูงชนที่รายล้อมอยู่ต่างก็งุนงงกับชื่อกระบี่ แต่แล้ว ใครคนหนึ่งส่งเสียงร้องราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ในฝูงชน
“ชื่อนั้น…ข้าจำได้แล้ว! ข้าเห็นใครคนหนึ่งซื้อมันไปจากบนห้องซื้อขาย ราคาแค่ห้าร้อยศิลาวิญญาณเท่านั้นเอง!”
“ข้าก็เคยเห็นเช่นกัน! ข้าคิดว่ามีขายอยู่ตั้งเจ็ดแปดชิ้นเลยนะ ทุกชิ้นมีเครื่องหมายกากบาท…”
“ราคาแค่ห้าร้อยศิลาวิญญาณเท่านั้นหรือ ข้าซื้อด้วยเล่มหนึ่ง!”
เมื่อทุกคนได้ยินบทสนทนานั้น ต่างก็ลุกลี้ลุกลนกันขึ้นมาในทันที บางคนก็รีบรุดเข้าไปยังเครือข่ายวิญญาณเพื่อซื้อวัตถุเวท แม้กระทั่งหลี่เฟยก็ยังเปิดเครือข่ายวิญญาณอย่างไม่รอช้า
เมื่อมองเห็นสถานการณ์ ฉีหนันก็เริ่มกังวล รีบสั่งซื้อสินค้าเพิ่มเช่นกัน
นาทีนั้น ราวกับว่าทุกคนจะลืมเรื่องการต่อสู้ไปหมดสิ้น ทุกคนต่างก็ง่วนอยู่กับการหาวัตถุเวทในเครือข่ายวิญญาณ และในไม่ช้า วัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อวางขายบนเครือข่ายวิญญาณก็หมดเกลี้ยง
ลูกค้าบางคนก็สมหวัง บางคนก็ผิดหวัง ด้านหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งกำลังหลอมทรายอาวุธอยู่ที่ตำหนักอาวุธเวท ก็งุนงงเป็นอย่างมากเมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือนขึ้นบน แผ่นหยกสื่อสาร
“ท่านได้รับศิลาวิญญาณห้าร้อยก้อน…ยอดเงินของท่านอยู่ที่…”
“ท่านได้รับศิลาวิญญาณเจ็ดร้อยก้อน…”
“ท่านได้รับศิลาวิญญาณหนึ่งพันก้อน…”
หวังเป่าเล่อถึงกับวางทรายอาวุธลงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่