บทที่ 339 ข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอก
เรือบินพุ่งผ่านท้องฟ้าไปด้วยความเร็ว ไม่นานนักก็มาถึงฐานทัพประจำนครดาวอังคาร หลินเทียนหาวและบรรดาผู้รอดชีวิตถูกส่งไปรับการรักษาทันที เจ้านครดาวอังคารและคนอื่นๆ รอการกลับมาของทุกคนอยู่
หวังเป่าเล่อเห็นหลินโยวอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเพิ่งเดินทางมาถึง มิเช่นนั้นเขาคงเข้าร่วมปฏิบัติการกู้ชีพในถ้ำโลหิตด้วยแล้ว เมื่อหลินโยวเห็นหลินเทียนหาวที่ผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังครบสามสิบสองประการดีอยู่ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
หากมองดูใกล้ๆ หลินโยวมีผมขาวบนศีรษะเพิ่มขึ้นอีกหลายเส้น มากกว่าตอนที่หวังเป่าเล่อพบเขาเป็นครั้งแรกเสียอีก เห็นได้ชัดว่าแม้หลินโยวจะสงบนิ่งตอนที่ได้รับข้อความจากหวังเป่าเล่อ แต่ในใจคงกระวนกระวายมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ระดับความกังวลที่คนเป็นพ่อซุกซ่อนไว้คงเกินกว่าจะจินตนาการได้
มิเช่นนั้นผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีเจ้าผู้ครองนครอย่างเขาคงไม่เดินทางออกจากนครศักดิ์สิทธิ์ เพื่อมุ่งหน้ามายังดาวอังคารแน่นอน
เมื่อเห็นว่าลูกชายของตนเองปลอดภัย หลินโยวก็หันมามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาสื่อความหมายอยู่เป็นนาน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากเดินมาตบบ่าหวังเป่าเล่อเท่านั้น เขานำบุตรชายของตนเองไปรักษาตัวที่อื่น แทนที่จะเป็นห้องพักฟื้นของกองทัพบนดาวอังคาร
หวังเป่าเล่อก็ถอนใจอย่างโล่งอกเช่นกันเมื่อเห็นสถานการณ์คลี่คลายไปได้ด้วยดี เขาไม่ชอบติดหนี้ใครมาตั้งแต่เด็กแล้ว เหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดกับหลินเทียนหาว เกือบทำให้หวังเป่าเล่อติดหนี้ชีวิตที่ไม่มีวันใช้คืนได้ เมื่อทุกอย่างได้รับการแก้ไขเรียบร้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ
ชายหนุ่มนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในถ้ำโลหิต มีคนมากมายต้องสิ้นชีวิตในภารกิจนี้ หลายคนอาจไม่ตาย… หากหวังเป่าเล่อเลือกที่จะช่วยพวกเขาก่อนหลินเทียนหาว
แต่เรื่องนี้ไม่มีถูกไม่มีผิด ทุกคนที่พบเจอสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมีทางเลือกที่ตนเองต้องตัดสินใจ
การต่อสู้ในถ้ำโลหิตทิ้งรอยแผลเป็นที่ไม่มีวันลบจากใจหวังเป่าเล่อ เลือดและความตายทะลักเข้าหาเขาอย่างไม่ปรานี หากเรื่องนี้เกี่ยวกับจริง เช่นนั้นวิชาแห่งศาสตร์มืดก็คงเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดเวทนอกรีต
พลังอำนาจของมัน… ที่สำแดงออกมาในถ้ำโลหิต… ทรงพลังเกินไป…
ในโลกนี้ไม่มีเคล็ดเวทแห่งความดีหรือความชั่วหรอก มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ฝึกตนใช้พลังที่ตนร่ำเรียนมาไปในทางใด! หวังเป่าเล่อตัดสินใจมั่น เขาตั้งใจว่าจะไม่เลิกฝึก วิชาแห่งศาสตร์มืด แม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ตาม
กระนั้นเขาก็รู้จากคำแนะนำของแม่นางน้อยและเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องที่ฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดให้ใครรู้
ทันทีที่กลุ่มช่วยเหลือกลับมา ต้นไม้ยักษ์ เฉินเฟิง และผู้ฝึกตนชั้นสูงคนอื่นก็เข้าประชุมกับเจ้านครในทันที คนอื่นๆ ถูกส่งไปรักษาตัวหรือพักฟื้น ส่วนหวังเป่าเล่อก็ถูกส่งออกจากฐานทัพ ชายหนุ่มเดินทางกลับไปยังสำนักศึกษาของตนในทันที
เขารู้ดีว่าแม้เรื่องนี้จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฝ่ายบริหารนครดาวอังคาร แต่ผู้ฝึกตนชาวดาวอังคารส่วนใหญ่ไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ชีวิตของชาวเมืองดำเนินไปตามปกติ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
วันเวลาเดินหน้าผ่านไป ความถี่ที่เรือบินของกองทัพปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับเรือบินของกองวินัยอาณานิคม วงแหวนปราณที่ครอบ นครดาวอังคารไว้ถูกเพิ่มความสามารถจนสุดขีดจำกัด
หวังเป่าเล่อสังเกตทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เขาเข้าใจดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องลับที่ไม่อาจแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ ขั้นปราณและสถานะขุนนางของเขาในตอนนี้ยังไม่สูงพอที่จะทำให้รู้เรื่องภายในได้ แต่การกลับมาของหลินเทียนหาวช่วยคลายความสงสัยให้เขาไปได้บ้าง
“เป่าเล่อ ข้าซาบซึ้งเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เจ้าทำ” หลินเทียนหาวยังคงอ่อนแออยู่ แต่ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิบัติต่อหวังเป่าเล่อเหมือนผู้บังคับบัญชา หรือคิดว่าตนเองเป็นเพียงลูกน้องของอีกฝ่ายอีกต่อไป แววตาของหลินเทียนหาวที่มองหวังเป่าเล่อมีความอบอุ่นและความรู้สึกขอบคุณมากขึ้นกว่าเดิม
ชายหนุ่มได้ยินมาว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนเข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้ หากหวังเป่าเล่อเลือกที่จะช่วยคนอื่นแทน บัดนี้เขาคงได้ไปนอนอยู่บนเตียงชันสูตร เพื่อรอให้กองทัพผ่าพิสูจน์ศพ
“เราก็ครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก เจ้าไปปฏิบัติภารกิจแทนข้า เหตุใดข้าจึงจะไม่ทุ่มเทสุดตัวเพื่อช่วยเจ้ากันเล่า!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พลางตบบ่าหลินเทียนหาวไปด้วย
หลินเทียนหาวซาบซึ้งกับคำพูดของหวังเป่าเล่อเป็นอันมาก ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก แต่ก็ไม่ได้พูดแสดงความรู้สึกของตนเองต่อ บิดาสอนเขามาแต่อ้อนแต่ออก ว่าบางสิ่งก็ควรค่าที่จะจดจำและเก็บเอาไว้ในใจ
“จะว่าไปแล้ว บิดาข้าฝากมาบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับอาวุธเทพบนดาวอังคาร แต่ท่านบอกไม่ได้ว่าอาวุธเทพนั้นอยู่ที่ใดเนื่องด้วยติดเหตุผลบางอย่าง แผนการดั้งเดิมที่จะออกสำรวจพื้นที่ถูกยกเลิกไป แต่เหตุการณ์ในถ้ำโลหิตทำให้ ฝ่ายบริหารดาวอังคารตัดสินใจ… ว่าจะรื้อมันขึ้นมาอีกครั้ง!
“แต่โครงการสำรวจพื้นที่ครั้งใหม่นี้แตกต่างจากโครงการก่อนหน้านั้น… สหพันธรัฐและหลายกลุ่มอำนาจต้องผนึกกำลังกัน จึงมีความขัดแย้งและความตึงเครียดอยู่ภายใน ท่านบอกว่าเจ้าอาจจะได้รับข่าวเรื่องนี้ในเร็ววัน และท่านอาจช่วยเหลือเจ้าได้หากเจ้าต้องการ”
“อะไรนะ” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่หลินเทียนหาวพูดแม้แต่น้อย เขารู้เรื่องอาวุธเทพ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับตน แล้วในเมื่อมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เหตุใดเขาจึงจะต้องการความช่วยเหลือเล่า
หวังเป่าเล่อถามต่ออีกสองสามคำถามด้วยความสงสัย แต่หลินเทียนหาวก็ไม่ได้รู้รายละเอียดมากกว่านี้ เขาบอกเพียงว่าบิดาบอกมาเท่านี้ และให้นำข้อความนี้มาถ่ายทอดให้หวังเป่าเล่อรับทราบ
หวังเป่าเล่อเลิกคิดถึงเรื่องนี้ ครึ่งเดือนผ่านไป หลินเทียนหาวกลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง เมื่อชายหนุ่มกลับมาช่วยงานเอกสารต่างๆ หวังเป่าเล่อก็มีเวลาว่างมากขึ้น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกพลังปราณ และทบทวนพิมพ์เขียวปราการของตนเอง
ชายหนุ่มวิเคราะห์และปรับปรุงพิมพ์เขียวซ้ำไปซ้ำมาจนใกล้จะสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ข้อมูลการสร้างหุ่นเชิดก่อสร้างก็ใกล้เสร็จเช่นกัน
เขาใช้เวลานานในการหลอมหุ่นเชิดก่อสร้าง เมื่อสร้างเสร็จแต่ละครั้ง หวังเป่าเล่อจะตรวจสอบคุณภาพและหาจุดที่ต้องปรับปรุงในครั้งต่อไป ชายหนุ่มทำซ้ำไปซ้ำมาจนหุ่นเชิดสมบูรณ์แบบ จึงเริ่มหลอมหุ่นเชิดตัวใหม่อีกครั้ง
อีกครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตลอดเดือนที่ผ่านมานี้ หวังเป่าเล่อสาละวนอยู่กับการฝึกปราณและการหลอมอาวุธเวท แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นพฤติกรรมประหลาดของเจ้าลาอยู่หลายครั้ง มันมักจะวิ่งแจ้นออกจากที่พักไปแต่เช้า และกลับมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ
ความประหลาดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยใคร่รู้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจคิดถึงเรื่องนี้มากนัก เพราะยังไม่มีใครมาเคาะประตูเรียกร้องค่าเสียหายจากเขา งานบริหารสำนักศึกษาเป็นไปอย่างราบรื่นไร้ข้อติดขัด
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเลิกคิดถึงเรื่องนี้เสีย เขารู้ว่าเจ้าลาไปนู่นมานี่อยู่หลายที่ รวมถึงอาณาเขต 36 ที่ฐานทัพตั้งอยู่ด้วย
มันไปตามล่าหาเจ้าลาสีขาวเพื่อแก้แค้นหรือ ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เขาพุ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกพลังปราณและ การหลอมหุ่นเชิด
เวลาเดินหน้าไปอีกสิบกว่าวันจนหวังเป่าเล่อสร้างหุ่นเชิดเสร็จหลายสิบตัว และในขณะที่กำลังถือสันโดษอยู่เขาได้รับข้อความจากกองวินัยอาณานิคม
กองวินัยอาณานิคมได้ส่งคนมาพาตัวหวังเป่าเล่อไปเพื่อพูดคุยเล็กน้อย!
หากเหตุการณ์นี้เกิดก่อนที่เขาจะติดอยู่ในถ้ำกับหลี่หว่านเอ๋อร์ เขาคงรู้สึกรำคาญใจ แต่หหลังจากที่เหตุการณ์นั้นผ่านไปหลายเดือน หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอารมณ์ประหลาดซึ่งก่อตัวภายใน เมื่อได้รับคำเชิญให้ไปพูดคุย
ตามหาข้าอีกแล้วกระนั้นหรือ หลี่หว่านเอ๋อร์คิดถึงข้าหรืออย่างไร หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ เขากระแอมกระไอก่อนครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ตามเจ้าหน้าที่จากกองวินัยอาณานิคมออกจากสำนักศึกษา เพื่อมุ่งหน้าไปยังศูนย์บัญชาการหลัก
แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่เจอหลี่หว่านเอ๋อร์เมื่อมาถึง เขาถูกเชิญไปยังห้องๆ หนึ่ง เมื่อประตูปิดงับตามหลัง วงแหวนปราณก็ถูกปลุกขึ้นในทันที แรงกดดันทับลงมาที่ร่างของชายหนุ่มอย่างหนักหน่วง สีหน้าของหวังเป่าเล่อมืดมนลง เขาหันไปมองประตูที่ปิดลงด้วยสายตาเย็นเยียบ
“กองวินัยอาณานิคม เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรหวังเป่าเล่อ เจ้าไม่รู้หรือว่าตนเองได้ทำความผิดร้ายแรงอะไรลงไป” ทันทีที่หวังเป่าเล่อประกาศศึก เสียงของจั่วอี้เซียนก็ดังขึ้น ประตูเล็กปรากฏขึ้นที่อีกฝั่งของห้องก่อนเปิดออก เผยให้เห็นจั่วอี้เซียนที่มาพร้อม ผู้ฝึกตนอีกราวเจ็ดถึงแปดคน จั่วอี้เซียนเอามือไพล่หลังพร้อมยิ้มเยาะ
“น่าเสียดายจริงที่หมอนี่มาตามหมายเรียก เราทำตามกระบวนการทุกอย่างในการเรียกผู้ต้องหาเข้ามาสอบปากคำ หากเขาไม่ทำตามหมายเรียกและพยายามขัดขืน ข้ากะว่าจะส่งคนไปจับถึงที่ตามกระบวนการเลยทีเดียว ถ้าเป็นแบบนั้นอะไรๆ คงง่ายขึ้นมาก” จั่วอี้เซียนก้าวเข้าห้องมา และมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเยือกเย็น เขาถอนใจอยู่ภายใน แต่เมื่อคิดถึงหลักฐานที่ตนเองรวบรวมมาได้ในคราวนี้ ก็เริ่มมั่นใจขึ้นมาในทันที จั่วอี้เซียนตั้งใจจะแสดงให้หวังเป่าเล่อเห็นว่าตนเองทำอะไรได้บ้างในคราวนี้ เขาจะถลกหนังหวังเป่าเล่อออกและหักกระดูกให้แตกเสีย สองสามท่อน หากทำไม่สำเร็จ เขาจะไม่เรียกตนเองว่าจั่วอี้เซียนอีกต่อไป
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเมื่อเห็นจั่วอี้เซียนเดินเข้ามา ดวงตาของชายหนุ่มเย็นเยียบ เขานั่งลงบนเก้าอี้ ฟันเฟืองในหัวหมุนอย่างรวดเร็ว หรือจะเป็นเรื่องที่เขาฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืด
แต่ไม่ควรจะมีใครรู้สิ!
หวังเป่าเล่อพยายามคำนวณสถานการณ์อย่างบ้าคลั่ง แต่ก็บังหน้าด้วยสีหน้าใจเย็นเก็บอาการ จั่วอี้เซียนเปิดปากพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้อง
“หวังเป่าเล่อ เมื่อหลายเดือนก่อน ในวันที่หมอกสีโลหิตและพายุอุบัติขึ้นบน ดาวอังคาร กองทัพได้ออกตามหาตัวเจ้าแต่หาไม่พบ ในคืนนั้นเจ้าอยู่ที่ไหน ทำอะไร และอยู่กับใคร”
หวังเป่าเล่อที่มัวแต่ครุ่นคิดเรื่องวิชาแห่งศาสตร์มืดตัวแข็งเมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองจั่วอี้เซียนที่กำลังวางตนเหนือกว่า กะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าประหลาด จิตใจของเขาไม่ได้ถูกรุ่มเร้าด้วยความไม่แน่นอนของสถานการณ์อีกต่อไป ชายหนุ่มเลิกคิดถึงวิชาแห่งศาสตร์มืด ร่างกายพลันผ่อนคลาย แต่สีหน้าที่แสดงออกมาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย “ข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอก!”