Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1040

ตอนที่ 1040

อย่ามาตอแยข้า

หลิงอวิ๋นจื่ออ้าปากค้างต่อคำพูดของเมิ่งฮ่าว ศิษย์คนอื่นๆ ของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าที่อยู่ด้านหลังมัน ต่างก็จ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นเช่นกัน ฝานตงเอ๋อร์หอบหายใจออกมา

ผู้ฝึกตนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นรู้สึกตกตะลึงและจิตใจก็หมุนคว้าง ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเมิ่งฮ่าวได้พูดคำว่า…ไห่เซียน (อาหารทะเล) ออกมา

เวลาเดียวกันนั้น ดวงตาของผู้ฝึกตนอสูรที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็กลายเป็นสีแดงเจิดจ้าขึ้น รังสีสังหารของพวกมันพุ่งทะยานสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ภายในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า

“มันบังอาจเรียกพวกเราว่าไห่เซียนจริงๆ? มันต้องถูกสังหารไป!!”

“สังหารมันเดี๋ยวนี้! ข้าไม่ได้กินผู้ฝึกตนมานานมากแล้ว ข้าอยากจะกินมัน!!” เสียงกราดเกรี้ยวด้วยโทสะพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ ดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง

เมิ่งฮ่าวหัวเราะอย่างเย็นชา และสีหน้าก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย เขาเจตนาที่จะพูดจาออกมาเช่นนั้น แน่นอนว่าในตอนนี้เขาไม่เชื่อว่าถ้าพูดจาด้วยความสุภาพ ผู้ฝึกตนอสูรจะหยุดมองเขาในฐานะศัตรูที่พวกมันจำเป็นต้องสังหารไปในทันที

สำหรับเหตุผลที่พวกมันเกลียดชังเขา และต้องการให้เขาตกตายไป ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจจะคลี่คลายลงไปได้ ดังนั้นเมื่อเขาไม่มีพลังที่จะต่อสู้กลับไปโดยตรง เขาก็จะใช้คำพูดอย่างรุนแรงเพื่อเป็นอาวุธตอบโต้

บางครั้งพลังคำพูดของคนผู้หนึ่ง อาจจะแข็งแกร่งทรงพลังมากกว่าพื้นฐานฝึกตนของคนผู้นั้น

ยกตัวอย่างเช่น การเรียกผู้ฝึกตนอสูรเป็น ‘ไห่เซียน’ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะกล้าทำเช่นนี้

อันที่จริงจากรากฐานและประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า แทบจะไม่มีใครเคยคิดว่ากำลังคลุกคลีอยู่กับผู้ฝึกตนอสูร แต่เมื่อเมิ่งฮ่าวพูดจาออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้คำพูดนั้นดังก้องเข้าไปในหูของคนทั้งหมด

หลายครั้งที่เพียงแค่ประโยคเดียว หรือแม้แต่เพียงแค่ไม่กี่คำพูด ก็สามารถจะเปลี่ยนสถานการณ์ให้พลิกกลับไปได้

ตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือในตอนนี้ ซึ่งผู้ฝึกตนที่ไม่ได้เป็นอสูรของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้ากำลังมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าแปลกๆ โดยปกติแล้ว พวกมันมักจะมองว่าผู้ฝึกตนอสูรเป็นเหมือนกับศิษย์ร่วมสำนัก แต่ในตอนนี้เมื่อพวกมันมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น ก็อดจะคิดไปถึงอาหารทะเลขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“พูดจาไร้สาระอย่างไม่รู้จบ!”

เสียงเก่าแก่โบราณดังขึ้นมาด้วยโทสะ รังสีสังหารอันเข้มข้นกดทับลงมา ก่อตัวเป็นหัตถ์ยักษ์กระแทกตรงมายังเมิ่งฮ่าว

เท่าที่เห็นหัตถ์ยักษ์นี้สามารถจะบดขยี้ไปทั่วทั้งบริเวณนั้นได้ ขณะที่มันตกลงมา อากาศได้แตกกระจายออกไป และกฎธรรมชาติก็พังทลายลงไป ราวกับว่าโทสะแห่งสวรรค์กำลังบดขยี้ลงมา ทำให้สีหน้าของหลิงอวิ๋นจื่อต้องเปลี่ยนไป ในตอนนี้เสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาดังก้องออกมา ขณะที่หญิงชราได้ปรากฏตัวขึ้นอยู่ในกลางอากาศ นางชี้นิ้วตรงไปยังหัตถ์ยักษ์นั้น ทำให้มันพังทลายลงไป กลายเป็นหนวดขนาดใหญ่ เกิดเป็นเสียงอู้อี้ดังก้องออกมา แต่หนวดนั้นไม่ได้จางหายไป กลับลดเลี้ยวไปรอบๆ ร่างของหญิงชราและพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างต่อเนื่อง

หญิงชราไม่ได้ทำอะไรเพื่อสอดมือเข้าไปในครั้งนี้ นางแค่กล่าวว่า

“พอได้แล้ว ศิษย์น้องอู๋ เจ้าก็รู้ว่าเมิ่งฮ่าวมีความสำคัญอย่างไร อย่าได้บังคับให้ข้าต้องทำลายความสัมพันธ์ของพวกเรา”

 

ขณะที่นางกล่าว กระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้พุ่งออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า ถึงแม้ว่าจะไม่มีร่างจริงแสดงตัวออกมา แต่กลิ่นอายของอาณาจักรเต๋าก็ได้ปรากฏขึ้น กระจายเป็นแรงกดดันอันเข้มข้นออกไป แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งถึงกลิ่นอายแห่งการคุกคามตามธรรมชาติ

กลิ่นอายนี้ได้โผล่ออกมาจากร่างของหญิงชราและหลิงอวิ๋นจื่อ ทำให้เกิดเป็นพลังม้วนกวาดออกไปในทั่วทุกทิศทาง อาณาเขตต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ทะเลที่เก้าทั้งหมดต้องพลุ่งพล่านปั่นป่วนไปทั่ว

แทบจะในทันทีที่กระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏขึ้น กระแสสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กระแสที่สองก็ระเบิดออกมาจากภายในส่วนลึกของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าด้วยเช่นกัน สัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้กระจายความรู้สึกแห่งความบ้าคลั่งและดุร้ายออกมา เต็มไปด้วยปราณอสูร เห็นได้ชัดว่านี่คือผู้ฝึกตนอสูรแห่งอาณาจักรเต๋า!

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนแซ่อู๋จะส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาก็ตามที แต่ก็ไม่อาจจะเทียบได้กับฝ่ายของหญิงชรา

แต่เรื่องราวก็ยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ แทบจะในทันทีที่กลิ่นอายอาณาจักรเต๋าได้ปรากฏขึ้น กลิ่นอายของอาณาจักรเต๋าอีกสองกลิ่นอายก็ปรากฏออกมาจากสองทิศทางที่แตกต่างกัน กระแสแห่งพลังได้พุ่งขึ้นมา จนก่อตัวเป็นพลังของสี่ฝ่าย

หนวดเส้นนั้นหยุดชะงักนิ่งอยู่ในกลางอากาศ ราวกับว่าในตอนนี้มันกำลังอยู่ในท่ามกลางการยับยั้งชั่งใจ

ศิษย์ของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าซึ่งอยู่รอบๆ บริเวณนั้น เฝ้ามองดูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป แม้แต่ผู้ฝึกตนอสูรหรือไม่ใช่อสูร ต่างก็ไม่เคยคาดคิดว่าพวกมันจะได้เห็นภาพอันน่าตกใจเช่นนี้ด้วยสองตาของตนเองได้

มีศิษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มองไปด้วยดวงตาที่สาดประกายขึ้น เห็นชัดว่าพวกมันตระหนักดีถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่อยู่ภายในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า

ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้างขึ้น ด้วยการตรวจสอบเพียงเล็กน้อยของเขา ก็เผยให้เห็นถึงความสามารถอันลึกล้ำของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พวกมันมีผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าอยู่ถึงเจ็ดคน! ช่างเหมาะสมกับศักดิ์ฐานะที่เป็นหนึ่งในสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง!”

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ตอนนี้เขามองเห็นแล้วว่าฝ่ายที่เป็นตัวแทนของหญิงชราคือ กองกำลังที่เข้มแข็งมากที่สุดในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า และเป็นฝ่ายเดียวกับที่ช่วยเหลือรับรองเขาในฐานะศิษย์หลักด้วยเช่นกัน

หลังจากที่ผ่านไปนาน เสียงเก่าแก่โบราณก็ดังก้องออกมาจากภายในหนวดเส้นนั้น เย็นชาและเต็มไปด้วยรังสีสังหาร “พวกเราสามารถจะลืมเรื่องที่มันสังหารคนไปได้ ถ้ามันยินยอมส่งมอบศิษย์ของข้าที่มันจับกุมตัวไป และโขกศีรษะเพื่อยอมรับผิด จากนั้นพวกเราก็จะปล่อยวางเรื่องราวเหล่านี้ไว้”

หญิงชราขมวดคิ้ว เท่าที่นางคิด การส่งมอบผู้ฝึกตนอสูรที่ถูกจับตัวไปไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เรื่องที่ให้โขกศีรษะเพื่อยอมรับผิดเป็นสิ่งที่มากเกินไป นางกำลังจะอ้าปากพูดโต้ตอบ แต่เมิ่งฮ่าวก็เริ่มหัวเราะขึ้นมา

“ปล่อยวางเรื่องนี้? หลังจากที่มาถึงทะเลที่เก้า ข้าถูกล่าสังหารโดยพวกไห่เซียนเป็นจำนวนมาก! จากนั้นเมื่อมาถึงอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้านี้ ก็ยิ่งมีพวกไห่เซียนแอบมาลอบโจมตีข้ามากขึ้นกว่าเดิมอย่างคาดไม่ถึง! จนกระทั่งมีไห่เซียนหนึ่งตัวพยายามที่จะสังหารข้าอีกด้วย!”

“หลังจากที่ข้าสังหารมันไป และไห่เซียนชราที่ไร้ยางอาย ก็ใช้พื้นฐานฝึกตนอาณาจักรโบราณของมันพยายามที่จะสังหารข้าไป!”

“จากนั้นกลุ่มกองกำลังของไห่เซียนทั้งหมดก็รวมพลังกันมาโจมตีข้า! สุดท้ายก็กลายเป็นเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อขึ้น ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋า ยังได้พยายามที่จะมาทำร้ายข้า! ข้าก็มีความอดทนในขีดจำกัดเหมือนกัน! เจ้าคิดว่าจะสามารถปล่อยวางเรื่องราวนี้ได้? คิดว่าจะหยุดมันได้จริงๆ!?” คำพูดของเมิ่งฮ่าวแหลมคมและเย็นชา

ในทันทีที่เขาพูดจบ ศิษย์ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นต่างก็ขมวดคิ้ว พวกมันส่วนใหญ่เชื่อว่าเมิ่งฮ่าวไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คำพูดของเขาไม่อาจจะเทียบกับผู้ทรงพลังในอาณาจักรเต๋าทั้งหมดในตอนนี้ได้

สำหรับผู้ฝึกตนอสูร พวกมันเริ่มหัวเราะหึๆ อย่างเย็นชาออกมา มีความเชื่อว่าเมิ่งฮ่าวประเมินตนเองจนสูงส่งเกินไป

“ไสหัวไป! เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะมาพูดอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้!” เสียงเก่าแก่โบราณพูดขึ้นมา ดังก้องออกไปคล้ายกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำราม

ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะยืนอยู่ที่ข้างกายของหลิงอวิ๋นจื่อ แต่โลหิตก็เริ่มไหลซึมออกมาจากดวงตา, หู, จมูกและปากของเขา อันเนื่องมาจากแรงสั่นสะเทือนของเสียงนั้น อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขาก็ดุร้ายขึ้น ขณะที่แหงนหน้าขึ้นไปและหัวเราะออกมา

“ข้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ?”

“ข้าคือนายน้อยแห่งตระกูลฟาง และในอนาคตข้าก็จะกลายเป็นผู้นำตระกูลอย่างแน่นอน ตระกูลฟางมีฟางโส่วเต้า ซึ่งเป็นปรมาจารย์ปฐพี พร้อมกับปรามาจารย์เหยียนซวี และท่านปรมาจารย์รุ่นแรก ในการต่อสู้บนดาวตงเซิ่ง ข้าได้สังหารผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าไปอย่างง่ายดายราวกับเป็นการเชือดไก่ เจ้าต้องการให้ข้าโขกศีรษะ? นั่นก็เหมือนกับการที่ให้ตระกูลฟางทั้งหมดต้องโขกศีรษะให้กับเจ้า! ต่อให้ข้าโขกศีรษะก็ตามที เจ้ากล้าที่จะยอมรับมัน?!”

คำพูดของเขาดังก้องออกไปคล้ายกับเป็นเสียงฟ้าร้องอยู่ในหูของคนทั้งหมด แม้แต่เจ้าของเสียงเก่าแก่โบราณนั้น ซึ่งไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่ยังคงหลบซ่อนตัวนั่งเข้าฌาณตามลำพังอยู่ ก็ยังต้องไร้คำพูดที่จะกล่าวออกมาได้

มันสามารถจะไม่สนใจต่อเมิ่งฮ่าวได้ แต่ก็ไม่อาจจะไม่แยแสต่อตระกูลฟางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ปรมาจารย์รุ่นแรกของตระกูลฟาง ได้แสดงออกถึงพลังในการต่อสู้บนดาวตงเซิ่ง แม้แต่ตระกูลจี้ก็ยังตกใจกลัวจนต้องล่าถอยออกไป แล้วมันจะไปเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?

ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋านี้ ได้เห็นกับสองตาของตนเอง ถึงการโจมตีของปรมาจารย์รุ่นแรก ทำให้หนังศีรษะของมันต้องด้านชาและจิตใจต้องหมุนคว้าง ทันใดนั้นตำนานเกี่ยวกับปรมาจารย์รุ่นแรกของตระกูลฟางทั้งหมด ก็ดูเหมือนจะพุ่งวนไปมาอยู่ในจิตใจของมัน

มันอยู่ในรุ่นของผู้แข็งแกร่งที่ดุร้าย อยู่ในยุคเดียวกับจี้เทียน จากตำนานที่ผ่านมา ในสงครามใหญ่ซึ่งราชันจี้ได้กลายเป็นสวรรค์ และปรมาจารย์รุ่นแรกของตระกูลฟางคือผู้สังหารอันดับหนึ่ง ทำให้ทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่เก้าต้องอาบไล้ไปด้วยโลหิต!

อย่างไรก็ตาม เมิ่งฮ่าวยังพูดไม่จบ!

“ในตอนนี้ ข้าไม่เพียงแต่จะเป็นศิษย์ของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าเท่านั้น ข้ายังได้เป็นศิษย์หลักของเซียนกู่เต้าฉ่าง (พิธีเต๋าเซียนโบราณ) และสำนักกระบี่ไท่สิงอีกด้วย! เจ้าถามเซียนกู่เต้าฉ่างและสำนักกระบี่ไท่สิงแล้วหรือยังว่า จะมาวุ่นวายกับข้าได้หรือไม่!?”

“เจ้าต้องการให้ข้า ซึ่งเป็นศิษย์หลักของพวกมันโขกศีรษะ? นั่นก็เหมือนกับการให้เซียนกู่เต้าฉ่างและสำนักกระบี่ไท่สิงทั้งหมดโขกศีรษะต่อเจ้า! ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอถามเจ้าเหมือนก่อนหน้านี้ ถ้าข้าคุกเข่าโขกศีรษะจริงๆ เจ้ากล้าที่จะยอมรับมัน?”

 

ขณะที่คำพูดของเมิ่งฮ่าวดังก้องออกไป หลิงอวิ๋นจื่อยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ สำหรับหญิงชรา นางยิ้มออกมาเล็กน้อย นางเคยคิดว่าจะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ดวงตานางเจิดจ้าขึ้นด้วยความขบขัน ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว

สำหรับผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าชรา ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้ฝึกตนอสูร ยังคงลังเลอยู่อย่างต่อเนื่อง

“เจ้าคิดว่ากลุ่มไห่เซียนอันกระจ้อยร่อยนี้ เป็นแค่กองกำลังเดียวในท่ามกลางสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ทั้งหมด?”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ? ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่า ใครกันที่มีคุณสมบัติพอ?”

“ถ้าเจ้าไม่อาจจะอธิบายข้าได้ในตอนนี้ แล้วเจ้าคิดว่าตระกูลฟาง, เซียนกู่เต้าฉ่าง, สำนักกระบี่ไท่สิง และปรมาจารย์ของอาณาจักรทะเลแห่งนี้ จะไม่สามารถกวาดล้างพวกเจ้าเหล่าไห่เซียนออกไปได้จนสิ้นซากจริงๆ?” เสียงของเมิ่งฮ่าวได้ยินชัดมากขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นคำพูดที่แหลมคมอย่างถึงที่สุด ศิษย์ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นทั้งหมดต่างก็อ้าปากค้าง และสีหน้าของผู้ฝึกตนอสูรต่างก็สลดลงไป

ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจทั้งหมด ในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าแห่งนี้ไปแล้ว

เขายืนอยู่ที่นั่น ขบฟันแน่นด้วยโทสะที่กำลังเดือดดาลอยู่ จนผู้คนทั้งหมดสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“แต่ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเรียกกลุ่มคนเหล่านั้นให้มาช่วยเหลือ ถ้าเจ้ากล่าวคำว่า ‘โขกศีรษะ’ ขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า เพียงแค่ข้าบดขยี้แผ่นหยกนี้ ท่านปรามาจารย์รุ่นแรกของตระกูลฟางก็จะมาสังหารเจ้าไปในทันที?!” ฉับพลันนั้นเมิ่งฮ่าวก็ยกแผ่นหยกชูขึ้นสูง เพื่อให้คนทั้งหมดได้มองเห็น

คำพูดของเขาทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นมาในทันที ไม่เพียงแต่สีหน้าของหลิงอวิ๋นจื่อและหญิงชราจะเปลี่ยนไปเท่านั้น แม้แต่ใบหน้าของสองปรามาจารย์อาณาจักรเต๋าจากกลุ่มผู้ฝึกตนอสูรก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน

ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าที่ทรงพลังทั้งสองนี้ มาจากกองกำลังอีกฝ่ายที่มีพลังเท่าเทียมกัน แต่ในตอนนี้คำพูดของเมิ่งฮ่าวได้กลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากที่สุดเท่าที่เขาสามารถจะใช้ออกมาได้

“เจ้าคงคิดว่าข้ากำลังหลอกลวงอยู่ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกให้ว่าทำไม ท่านปรมาจารย์รุ่นแรกถึงได้มอบแผ่นหยกนี้ให้กับข้าด้วยตนเอง และรับปากว่าจะปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายข้าได้ทุกเมื่อ เนื่องจากข้าคือผู้สืบทอดหนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาวของท่าน!”

“ข้ายังเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นในตระกูลฟาง ที่สามารถปรุงสามเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของปรามาจารย์รุ่นแรกได้สำเร็จ!”

“รวมทั้งข้าได้ทำในสิ่งที่คนทั่วไปเกือบทั้งหมดไม่อาจจะทำได้มาก่อน! ข้ายืนกรานเต๋าของตนเอง และเปิดชีพจรเซียนได้สูงสุดถึงหนึ่งร้อยยี่สิบสามจุด!”

“และจริงๆ แล้ว ข้าก็อยู่ใน…ลำดับขั้นด้วยเช่นกัน!”

เมิ่งฮ่าวพูดร่ายความจริงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เกิดเป็นความเงียบกริบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นไปทั่ว ตลอดเวลาหลายปีทั้งหมดที่ผ่านมาของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า เมิ่งฮ่าวเป็นบุคคลแรกที่ก่นด่าประณามผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าอย่างรุนแรง!

ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของเขาก็คล้ายกับเป็นกระบี่อันคมกริบ ใครก็ตามที่ได้ยินก็จะรู้สึกว่าจิตใจกำลังสั่นสะท้านไปมา

 

 

เมิ่งฮ่าวตัดสินใจที่จะทุ่มออกมาจนสุดตัวด้วยคำพูดของเขา ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันในขณะที่เขาได้สังหารผู้ฝึกตนอสูรไปเมื่อครู่นี้ เขาต้องการจะลงหลักปักฐานอยู่ในท่ามกลางกองกำลังฝ่ายต่างๆ ของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้านี้อย่างมั่นคง พร้อมกับมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับพวกมัน

เขาไม่เพียงแต่ต้องการจะทำให้ศิษย์ธรรมดาต้องขวัญเสียเท่านั้น เขายังต้องการจะทำให้ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าต้องหวาดกลัวอีกด้วย คำพูดของเขาไม่มีอะไรที่เป็นความลับอย่างแท้จริง ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าสามารถจะไปตรวจสอบและยืนยันความจริง ในสิ่งที่เขาพูดออกมาได้อย่างง่ายดาย

หนี่งในเหตุผลที่เขาต้องการจะสร้างฐานะให้มั่นคงด้วยวิธีการเช่นนี้ ก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการจะอยู่ในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าเป็นเวลานานมากนัก ดังนั้นยิ่งเขาสามารถสะกดข่มได้มากเท่าใด ก็จะยิ่งกระทำเรื่องราวต่างๆ ได้ราบรื่นมากขึ้นเท่านั้น แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการถูกสะกดไว้ เขาจะกลายเป็นกระบี่ที่ถูกชักออกมาจากฝักเอง!

ไม่ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะเชื่อในสิ่งที่เขาได้พูดไปทั้งหมดหรือไม่ก็ตามที

มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด สิ่งที่สำคัญก็คือพวกมันรู้ว่าเขามีความสำคัญต่อตระกูลฟาง, เซียนกู่เต้าฉ่าง และสำนักกระบี่ไท่สิง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

ในท่ามกลางเสียงพูดคุยกันดังก้องกระหึ่ม หนวดที่อยู่ในกลางอากาศจู่ๆ ก็หายไปในทันที เสียงแค่นอย่างเย็นชาดังก้องออกมา แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ ติดตามมา สองกลิ่นอายอาณาจักรเต๋าจากกลุ่มผู้ฝึกตนอสูรก็หายไปด้วยเช่นกัน

ในตอนนี้ กลิ่นอายอาณาจักรเต๋าอันทรงพลังอื่นๆ จากอีกสองฝ่ายได้จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกล้ำ และจากนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป

เท่าที่เมิ่งฮ่าวคาดคิด ความเป็นจริงในคำพูดของเขาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ ตอนนี้คนทั้งหมดรู้ว่าเขามีกองกำลังอันแข็งแกร่งในขุนเขาทะเลที่เก้าคอยสนุบสนุนอยู่ และต่างก็เข้าใจดีถึงสาระหลักในคำพูดทั้งหมดนั้น

อย่ามาตอแยข้า!

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version