ตอนที่ 1293
ลมฝนโหมกระหน่ำ
ยากที่จะอธิบายถึงความคิดของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ได้ เขายืนอย่างเงียบๆ อยู่ตรงเชิงเขาด้านล่างของขุนเขาที่แปดเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเริ่มก้าวเดินขึ้นไป
จากระดับพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าว ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาต้องรู้สึกลังเลอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่อาจจะหยุดคิดได้ว่านี่คือเรื่องที่สำคัญมากเป็นอย่างยิ่ง และอยากจะให้ไว่กงอยู่บนยอดเขาจริงๆ มากแค่ไหน
แต่เขาก็ยังรู้สึกสงสัยและอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมไว่กงถึงได้กลายเป็นราชันแห่งขุนเขาทะเล แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่สำคัญอย่างแท้จริง สิ่งที่สำคัญก็คือว่า…ไว่กงยังมีชีวิตอยู่
ลึกลงไปในความทรงจำสมัยที่ยังเยาว์วัย เขาสามารถจะคิดไปถึงภาพที่ไว่กงโอบอุ้มตนเองไว้ในวงแขน ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข และแม้แต่จะเกิดการโต้เถียงกันขึ้นถ้ามีใครมาอุ้มเขาไป
ที่ไม่อาจจะลืมไปได้มากกว่านั้นก็คือ ทั้งไว่กง (ท่านตา) และจู่ฟู่ (ท่านปู่) ต่างก็จากไปพร้อมกันเพื่อค้นหาวิธีช่วยเหลือเขา หลังจากที่ไปแล้ว…ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย เนื่องจากเช่นนั้นทำให้สายโลหิตของท่านทั้งสอง จากที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในจุดสูงสุดของตระกูล ต้องตกอยู่ในสภาวะที่ตกต่ำลง
เมิ่งฮ่าวรู้สึกผิดอยู่ในใจอย่างลึกล้ำ ดังนั้นต่อให้เขาต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมามากมายเท่าใดก็ตาม ก็ยินดีที่จะกระทำเพื่อปกป้องไว่ผอและคนของท่าน โดยไร้ซึ่งความเสียใจใดๆ เขานำตระกูลฟางให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา แต่สำหรับตระกูลเมิ่ง สิ่งที่สามารถจะทำได้ทั้งหมดก็คือปกป้องคนทั้งหมดอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อาจจะเป็นท่าน หรืออาจจะไม่ใช่ ไปดูก็จะรู้เอง…”
หลังจากที่เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวเริ่มเดินขึ้นไปยังขุนเขาที่แปดอย่างช้าๆ ขณะที่ทำเช่นนี้ ความทรงจำมากมายก็โผล่ขึ้นมาในจิตใจ
นี่คือหนึ่งในเก้าขุนเขาอันยิ่งใหญ่ และจริงๆ แล้วก็เป็นครั้งแรกของเมิ่งฮ่าวด้วย ที่ขึ้นไปบนหนึ่งในเก้าขุนเขาเหล่านั้น
มันมีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง จนมนุษย์ธรรมดาต้องใช้เวลาปีนขึ้นไปชั่วชีวิต และไม่มีทางจะไปถึงยอดสูงสุดของมันได้ อันที่จริงแม้แต่จะเป็นผู้ฝึกตน ก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถบรรลุถึงยอดเขาได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไร้อุปสรรค์ใดๆ สำหรับเมิ่งฮ่าว ขณะที่เดินไป เขาไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว แต่ในที่สุดก็ขึ้นไปได้ครึ่งทาง และเขาก็มองเห็นเซียนกู่เต้าฉ่างตั้งอยู่บนนั้น
มันดูคล้ายกับเซียนกู่เต้าฉ่างที่อยู่ในขุนเขาที่เก้า เว้นแต่ว่ามันถูกผนึกไว้โดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ถูกผนึกโดยคนภายนอก แต่มาจากด้านในเอง
เมิ่งฮ่าวมองไปและรับรู้ได้ว่ามีผู้ฝึกตนอยู่ด้านใน รวมทั้งกลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวกำลังสำรวจดูพวกมัน พวกมันก็กระทำกับเขาเช่นเดียวกัน
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ จากนั้นก็เดินต่อไป ค่อยๆ เข้าไปใกล้ยอดเขาอย่างช้าๆ
ในที่สุดก็พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นศิลาขนาดใหญ่ ซึ่งมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า…
เทียนเสินเต้า! (เต๋าเทพสวรรค์)
ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังตัวอักษร ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เก่าแก่โบราณซึ่งผ่านมานานหลายปีของแท่นศิลานั้น ราวกับว่ามันได้ผ่านช่วงเวลาแห่งการชำระร้างมาแล้ว เขาเดินผ่านแท่นศิลาไป มองเห็นทางเดินแคบๆ สายหนึ่ง เป็นทางเดินที่นำไปสู่…ยอดเขา!
เป็นเส้นทางเล็กๆ ที่เงียบสงบไร้ผู้คน ไร้สุ้มเสียงใดๆ แม้แต่น้อย เมิ่งฮ่าวเดินไปตามเส้นทางจนกระทั่งมองเห็นสระน้ำแห่งหนึ่งที่ดูคล้ายกับเป็นสระสวรรค์
ภายในสระน้ำมีรูปปั้นเต่าเสวียนอู่อยู่หนึ่งตัว จริงๆ แล้วถึงแม้ว่ามันจะดูคล้ายกับรูปปั้น แต่เมิ่งฮ่าวก็สามารถจะบอกได้ว่าภายในรูปปั้นเต่าเสวียนอู่นั้นเป็น…ประจุแห่งชีวิต…เป็นกลิ่นอายแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล
ในตอนนั้นเองที่เวทผนึกอสูรที่อยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าวเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังร้องเรียกเขาอยู่ ทันใดนั้นเต่าเสวียนอู่ก็ลืมตาขึ้นมาและมองมายังเมิ่งฮ่าว
ขณะที่หนึ่งคน หนึ่งเต่า มองดูซึ่งกันและกัน จิตใจเมิ่งฮ่าวก็หมุนคว้าง ราวกับว่าเขากำลังมองไปยังอาณาจักรขุนเขาทะเลเองโดยตรง หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก
เมิ่งฮ่าวก็ได้สติกลับคืนมาในที่สุด จากนั้นเต่าเสวียนอู่ก็ค่อยๆ ก้มศีรษะลง เพื่อบ่งบอกว่า…มันกำลังแสดงความสวามิภักดิ์ แสดงความเคารพอย่างเป็นทางการ…จากอาณาจักรขุนเขาทะเลสู่บุคคลที่เป็นราชันเพียงหนึ่งเดียวของมัน
เลยสระสวรรค์ไปก็เป็นวิหาร ซึ่งไม่ได้ดูหรูหรามากนัก แต่ถูกสร้างเข้าไปในตัวขุนเขาเอง ประตูด้านหน้าปิดอยู่ และทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบ
เมิ่งฮ่าวมองไปยังเต่าเสวียนอู่อยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะเดินผ่านตรงไปยังวิหาร ยืนอยู่นอกประตูอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ จากนั้นก็ยกมือผลักประตูให้เปิดออก
ไม่มีเสียงดังขึ้น ขณะที่ประตูค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นถึงห้องโถงแห่งหนึ่ง มีรูปปั้นในชุดเกราะสีดำยืนเรียงรายกันอยู่ด้านใน ที่ห่างไกลออกไปด้านหน้ามีคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังขนาดใหญ่
คนผู้นั้นสวมใส่ชุดเกราะด้วยเช่นกัน และใบหน้าถูกปกคลุมไว้ พลังอันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตไหลอยู่ภายในร่าง กระจายเป็นแรงกดดันที่แม้แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังรู้สึกได้
แรงกดดันนั้นคล้ายกับเป็นพลังอันไร้ขอบเขต เป็นทะเลที่ไร้จุดสิ้นสุด ถึงจะเงียบสงบแต่ก็ลึกล้ำ เป็นพลังที่เมื่อปะทุออกมาแล้ว
สามารถจะบดขยี้สวรรค์หั่นปฐพีให้สูญสิ้นไปได้ นอกจากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ยังรับรู้ได้อีกด้วยถึง…ความผันผวนของอาณาจักรขุนเขาทะเลเอง
เป็นความผันผวนที่สามารถจะทำให้ภูเขาต้องพังทลาย น้ำทะเลต้องเหือดแห้งหายไป และเห็นได้ชัดว่าสามารถจะใช้พลังแห่งขุนเขาทะเลสร้างเป็นแรงกดดัน ที่สามารถจะทำลายทุกสรรพสิ่งให้แหลกละเอียดลงไปได้
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่ด้านนอกห้องโถง ไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน แต่ทำการตรวจสอบดูเงาร่างในชุดเกราะที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์ผู้นั้น
สายตาเมิ่งฮ่าวสามารถมองทะลุผ่านชุดเกราะไปยังสิ่งที่อยู่ภายใน มองเห็นใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่แก่ชราเป็นอย่างมาก
ความผันผวนที่เมิ่งฮ่าวรู้สึกคุ้นเคยและใบหน้านั้นด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นเหรียญคำสั่งที่อยู่ในถุงสมบัติก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงสัญญาณอันเข้มข้นว่า เป้าหมายของมันอยู่ที่ชายชราผู้นั้น ความสงสัยทั้งหมดของเมิ่งฮ่าวได้รับการยืนยันแล้วในตอนนี้ เขากำลังสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า…คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ต้องเป็นไว่กงของตนเองอย่างแน่นอน!
“ไว่กง…” เมิ่งฮ่าวกล่าว ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมตัวมาสำหรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นนี้ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะสะกดข่มความตื่นเต้นไว้ได้ เขาหวังว่าจะได้พบกับญาติผู้ใหญ่ทั้งสองมาเป็นเวลานานแล้ว และในที่สุดก็ได้พบแล้วหนึ่งท่านในตอนนี้
หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก เมิ่งฮ่าวก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้า สามารถจะบอกได้ว่ามีบางสิ่งที่แปลกๆ เกี่ยวกับไว่กง ถึงแม้จะดูเหมือนว่าพื้นฐานฝึกตนของท่านจะยังคงมีอยู่และเต็มไปด้วยพลัง แต่ก็เป็นแค่ภายนอกเท่านั้น พื้นฐานฝึกตนภายในที่แท้จริงไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่า…ต้องมีบางสิ่งเกี่ยวกับไว่กงที่กำลังสูญหายไป เป็นบางสิ่งที่สามารถจะทำให้พื้นฐานฝึกตนของท่านโคจรหมุนวนได้ เห็นได้ชัดว่าวิญญาณภายในร่างท่าน…กำลังหลับใหลอยู่
หลังจากที่เวลาผ่านไปนานอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวก็หลับตาลงและส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้ม้วนกวาดเข้าไปในห้องโถง รวมทั้งรอบๆ บริเวณนั้น ในที่สุดก็ปกคลุมไปทั่วทั้งขุนเขาที่แปด เวลาผ่านไปในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้นมา และสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ
“วิญญาณท่านหายไป…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ เป็นสถานการณ์ที่ตนเองรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดดวงตาก็เริ่มเบิกกว้างขึ้น
“ข้าเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ตอนที่อยู่ในอารมณ์ฟุ้งซ่าน…วิญญาณไว่กงไม่ได้อยู่ภายในร่าง ไปอยู่ที่ไหนสักแห่งตรงด้านนอก…แต่ก็ยังคงมีอยู่ เท่าที่เห็นมีคำอธิบายได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…วิญญาณไว่กงได้หลอมรวมเข้ากับขุนเขาทะเลที่แปด วิญญาณของท่าน…กระจายอยู่ในทั่วทุกที่!”
“ราวกับว่าท่านกำลังถอดจิตเดินทางออกไปทั่วทั้งฟ้าดิน แต่จากนั้น…ก็ลืมที่จะกลับมา” ไม่มีใครสามารถจะบรรลุถึงข้อสรุปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่เมิ่งฮ่าวเป็นคนที่สามารถจะต่อสู้กับราชันแห่งขุนเขาทะเลได้ เนื่องจากเขามีความคุ้นเคยกับพลังแห่งขุนเขาทะเล จึงสามารถจะตรวจพบร่องรอยได้อย่างรวดเร็ว
เขาคิดย้อนกลับไปยังตะปูที่ฝังแน่นอยู่ภายในร่างของไว่ผอและคนอื่นๆ รวมทั้งประสบการณ์ที่ตนเองเคยจัดการกับตะปูเหล่านั้น
“ใช้สายโลหิตเป็นคำสาปแช่ง และเครือญาติเป็นเวท ผนึกวิญญาณเพื่อไม่ให้ค้นพบเส้นทางที่จะหวนกลับ ได้แต่ลอยไปมาอยู่ในขุนเขาทะเลที่แปด และจะสูญเสียสติไปในที่สุด ต้องกระทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น…” เมิ่งฮ่าวพึมพำด้วยสีหน้าขมขื่น แต่หลังจากนั้นดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้น ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับไว่กง ปิดประตูวิหาร และออกจากขุนเขาที่แปดไป!
“ข้าทำลายคำสาปแช่งสายโลหิตไปแล้ว และทำให้คำสาปแช่งเกี่ยวกับเครือญาติต้องสิ้นสุดลงอีกด้วย ตอนนี้สิ่งที่ไว่กงจำเป็นต้องใช้ในการตื่นขึ้นมาคืออะไร? ท่านขาดแค่…ตัวกระตุ้นเท่านั้น!”
“ถ้ามีตัวกระตุ้นนั้น วิญญาณของท่านก็จะ…กลับเข้าสู่ร่างได้เอง” ตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังตรงไปยังทิศทางของรอยแตกที่เชื่อมต่อระหว่างขุนเขาทะเลที่เจ็ดและแปด
“ต้องไม่มีตัวกระตุ้นใดที่รุนแรงมากไปกว่าระลอกคลื่นที่กระจายออกมาจากการต่อสู้กับราชันแห่งขุนเขาทะเลอื่นๆ อีกแล้ว”
“ถ้าข้าต้องการจะจบการรุกรานของขุนเขาทะเลที่เจ็ด วิธีที่ง่ายมากที่สุดก็คือ…สังหารราชันแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดไป!”
“ถ้าต้องการจับกลุ่มโจร ก็ต้องจับหัวหน้าโจรก่อน ถ้าราชันแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดตายไป สงครามก็จะจบลง” ทุกประโยคที่เมิ่งฮ่าวเอ่ยขึ้นมา แววตาก็ยิ่งมีความคมกริบมากขึ้น
“ราชันแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ด…” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น ดวงตาสาดประกายด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว จากนั้นก็เดินตรงไปอีกหนึ่งก้าวและหายตัวไป เมื่อปรากฏร่างขึ้นอีกครั้งก็ไปอยู่ที่ด้านนอกของพันธมิตรเทพสวรรค์ ใกล้กับเขตชายแดนระหว่างขุนเขาทะเลที่เจ็ดและแปด ซึ่งเป็นสถานที่ที่มี…รอยแตกปรากฏขึ้น
ขุนเขาทะเลที่เจ็ดมีป้อมปราการขนาดใหญ่ พร้อมกับผู้ฝึกตนนับแสนและค่ายกลเวทนับไม่ถ้วน
อันที่จริงยังมีผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าอีกสี่คนอยู่ในที่แห่งนั้นอีกด้วย หนึ่งในพวกมันมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับหลู่ว์โหวแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ด และเป็นจักรพรรดิเต๋าเช่นเดียวกัน ซึ่งก็คือปรมาจารย์ชื่อเหยียน
อีกสามคน หนึ่งเป็นราชันเต๋า และอีกสองเป็นผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าหนึ่งแก่นแท้!
ด้วยการมีคนทั้งสี่อยู่ในที่แห่งนี้ พร้อมกับผู้ฝึกตนอื่นๆ อีกนับแสนคน และเวทป้องกันอีกนับไม่ถ้วน ทำให้กลายเป็นสถานที่ ที่ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดในขุนเขาทะเลที่แปดจะสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีใครบางคนพยายามจะมาทำลายด่านป้องกันนี้ โดยที่ไม่อาจจะทำได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว กองกำลังหลักที่เหลือซึ่งกำลังบุกรุกเข้าไปในพันธมิตรเทพสวรรค์อยู่ในตอนนี้ รวมทั้งผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ก็จะต้องรีบเร่งกลับมาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม…เมิ่งฮ่าวไม่ได้เป็นแค่ผู้ฝึกตนใดๆ เหล่านั้น!
ในทันทีที่เขาปรากฏกายขึ้นตรงบริเวณนั้น ก็ไม่ได้ทำอะไรที่จะปิดบังความผันผวนของพลังการฝึกตนไว้ เขาโคจรหมุนวนพื้นฐานโบราณเพื่อให้พลังระเบิดออกไป และยังได้ส่งกลิ่นอายของสุดยอดสะพานให้กระจายออกไปอีกด้วย พลังแห่งขุนเขาทะเลหมุนวนไปรอบๆ ตัว ทำให้สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน สายลมอันปั่นป่วนวุ่นวายพุ่งขึ้นมา ขณะที่สายลมพุ่งกระจายออกไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็บิดเบี้ยวไปมา และทะเลแห่งดวงดาวนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น เป็นพลังที่ระเบิดออกมาจนสามารถจะทำให้ภูเขาต้องพังทลาย ทะเลต้องแห้งเหือดหายไป ทำให้ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น
ทันใดนั้นผู้ฝึกตนจากขุนเขาทะเลที่เจ็ดก็ตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาน และสีหน้าก็เปลี่ยนไป เวลาเดียวกันนั้นเสียงแผดร้องที่ทรงพลังก็ดังก้องออกมาจากอาณาเขตของรอยแตก
“นั่นใคร?!” เสียงนั้นดังก้องออกมาคล้ายกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำราม ขณะที่ชายชราผมสีแดงปรากฏตัวขึ้น เมื่อมันลืมตาขึ้นมา ก็ดูแปลกประหลาดไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาแต่ละข้างของมันมีสองม่านตา!
ด้านหลังมันเป็นวัวสีดำสนิท มีความสูงหนึ่งพันจ้างเต็ม แทบจะในทันใดนั้นดวงตาของมันก็สว่างลุกโชนขึ้นด้วยไฟโลกันต์ ขณะที่จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว
น่าแปลกใจยิ่งที่เปลวไฟซึ่งลุกไหม้อยู่ในดวงตาของวัวสีดำ ดูเหมือนว่าจะลุกไหม้อยู่ในม่านตาทั้งคู่ของชายชราผมแดงด้วยเช่นกัน
ผลลัพธ์ก็คือว่า ใครก็ตามที่มองไปยังดวงตาของชายชราหรือวัวตัวนั้น จะต้องรู้สึกว่าสายตาตนเองกำลังพร่าเลือนไปในทันที
ชายชราอีกสามคนนั่งห่างออกไปที่ด้านข้าง เมื่อพวกมันลืมตาขึ้นมา กลิ่นอายแก่นแท้แห่งอาณาจักรเต๋าก็ปะทุออกมาจากร่างพวกมัน
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ ก็มองไปรอบๆ ยังผู้ฝึกตนนับแสน จากนั้นก็มองไปยังชายชราผมแดงและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ข้าไม่ต้องการจะสังหารพวกคนชั่วมากไปกว่านี้อีกแล้ว ปล่อยให้พวกมันแยกย้ายกันจากไป”