ตอนที่ 1464
เสียงระฆังทั้งเก้าสำนัก
ในตอนนี้สำนักทั้งเก้าแห่งชางหมางพ่ายบนดาวชางหมางกำลังดังก้องขึ้นด้วยเสียงระฆัง ผู้ฝึกตนทั้งหมดแห่งชางหมางพ่ายสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง และอันที่จริงแม้แต่ผู้ฝึกตนที่ไม่ได้เป็นศิษย์ แต่มาอยู่บนดาวชางหมางต่างก็สามารถจะได้ยินเสียงระฆังที่ดังก้องกังวานและเก่าแก่โบราณนี้ได้
“กำลังเกิดอะไรขึ้น!?”
“ช่างแปลกนัก…เสียงระฆังกำลังดังก้องอยู่ในชางหมางพ่าย ฟังดูเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง สิ่งผิดปกติกำลังเกิดขึ้น…”
ขณะที่ดาวชางหมางกำลังสั่นสะเทือน ก็มีบางคนที่ตระหนักว่าเสียงระฆังนั้นจริงๆ แล้วก็ดังก้องออกมาจากสำนักทั้งเก้าที่รวมตัวกันเป็นชางหมางพ่าย
แต่จากนั้นเสียงอันเย็นชาราวน้ำแข็ง ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิงก็ดังก้องไปทั่วทั้งสำนักแรก, สำนักที่สอง…และจริงๆ แล้วก็ดังไปทั่วทุกสำนัก จนกระทั่งถึงสำนักที่เก้า ชางหมางพ่ายทั้งหมดเต็มไปด้วยเสียงเดียวกันนี้!
“ตี้จิ่วจง ฟางมู่ สวรรค์ชั้นที่เก้า!”
พูดหนึ่งครั้ง สามประโยค เก้าคำ!
แต่ถ้อยคำทั้งเก้าเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็นหัตถ์ยักษ์ที่มองไม่เห็น กดทับลงมายังชางหมางพ่ายจากด้านบน สำนักทั้งเก้าดูเหมือนว่าจะเงียบกริบไปโดยสิ้นเชิง
หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็ดูเหมือนว่ากลุ่มฝูงชนไม่ได้ถูกสะกดข่มด้วยแรงกดดันนี้อีกต่อไป เสียงพูดคุยด้วยความโกลาหลวุ่นวายก็ดังอึกทึกไปทั่วทั้งชางหมางพ่าย
“ฟางมู่! ฟางมู่จากตี้จิ่วจง! คาดไม่ถึงว่ามันจะเรียกชั้นสวรรค์ที่เก้ามาได้ นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
“หรือว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น? เสียงระฆังดังก้องไปทั่วทั้งเก้าสำนัก! ฟางมู่…ข้าจำได้แล้ว มันคือคนที่เปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดาจนกลายเป็นเซียนในช่วงเวลาสิบปีเท่านั้น!” เสียงพูดคุยทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มจนดาวทั้งดวงต้องสั่นสะเทือนขึ้นมา
สวรรค์ชั้นที่เก้า…เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ จากประวัติศาสตร์ทั้งหมดของชางหมางพ่าย เคยพบเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!
ผู้คนนับไม่ถ้วนสั่นสะท้าน ศิษย์ทั้งหมดแห่งชางหมางพ่ายต่างก็ได้ยินนามฟางมู่ในลักษณะนี้ไปทั่ว จากนั้นความรู้สึกตกตะลึงอย่างลึกล้ำก็เพิ่มขึ้นเมื่อจู่ๆ พวกมันก็ตระหนักว่า…เสียงระฆังนั้นจริงๆ แล้วก็ดังก้องไปทั่วทุกแห่งหนบนดาวชางหมางแห่งนี้!
“เสียงระฆังกำลังดังก้องไปทั่วทั้งเก้าสำนัก กังวานไปทั่วทั้งดาวชางหมาง!” ความจริงนี้ทำให้เสียงหอบหายใจด้วยความตกตะลึงกระจายออกไปเป็นวงกว้าง บางทีอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการทำให้นามของคนผู้หนึ่งเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว แต่สำหรับตอนนี้…วิธีที่เมิ่งฮ่าวใช้ออกมาไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนโดยสิ้นเชิง
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นาม ‘ฟางมู่’ ก็ตรึงแน่นอยู่ภายในจิตใจของคนทั้งหมด
ถ้าพูดถึงระดับพื้นฐานฝึกตนแล้ว ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋า, ราชันเต๋า, จักรพรรดิเต๋า และแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ คนทั้งหมดบนดาวชางหมางต่างก็มีดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เป็นเช่นนี้ ทั้งหมดนั้นก็เนื่องมาจาก…สวรรค์ชั้นที่เก้า!
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั้งหมดของสำนัก มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่เคยเรียกสวรรค์ชั้นที่เก้าลงมาได้ แต่ตอนนี้…ก็มีอยู่สองคนแล้ว
ในตอนนี้กระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากกำลังหลั่งไหลออกมาจากภายในสำนักแรก บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์มีถ้ำแห่งเซียนอยู่แห่งหนึ่ง ประตูถูกเปิดออกมาเผยให้เห็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดเสื้อคลุมยาวผู้หนึ่ง มีบุคลิกท่าทางที่โดดเด่น และขณะที่มันเดินออกมาอย่างเงียบๆ ก็มองไปยังทิศทางของตี้จิ่วจง พร้อมกับดวงตาที่สาดประกายเจิดจ้าขึ้น
มันคือผู้ถูกเลือก และภายในตี้อีจง (สำนักแรก) แล้วก็มีศักดิ์ฐานะเทียบเท่ากับเซิ่งหนี่ว์ (สตรีศักดิ์สิทธิ์)…มันคือเซิ่งจื่อ (บุตรศักดิ์สิทธิ์) แห่งตี้อีจง ซึ่งอยู่ในอันดับหนึ่งบนชางหมางไถของตี้อีจงด้วยเช่นกัน ในสำนักทั้งหมดกลุ่มคนที่อยู่ในสิบอันดับแรกคือผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างสูงสุด
เช่นเดียวกับในตี้เอ้อร์จง (สำนักที่สอง) เสียงแผดร้องคำรามอันทรงพลังได้ยินมา ขณะที่สายน้ำปะทุขึ้นมาจากส่วนลึกของสระน้ำที่เย็นเยียบราวน้ำแข็ง ผลักดันให้บุรุษร่างกายกำยำแข็งแรงที่เปลือยหน้าอกผู้หนึ่งพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงและท้าทาย
“ฟางมู่…” มันกล่าวขึ้น มองไปยังทิศทางของตี้จิ่วจง
ในสำนักที่สาม, สี่, ห้า…ตลอดจนตี้ปาจง (สำนักที่แปด) ไม่มีผู้ถูกเลือกคนใดจะรู้สึกยินดีต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ถูกเลือกต่างๆ ที่อยู่ในสิบอันดับแรก พวกมันทั้งหมดในตอนนี้ต่างก็มีนามฟางมู่ตรึงแน่นอยู่ในจิตใจ พวกมันไม่เพียงแต่จะไม่ยอมรับเขาเท่านั้น ยังต้องการจะต่อสู้อีกด้วย
พวกมันเป็นผู้ถูกเลือก คล้ายกับเป็นอัญมณีอันล้ำค่าของสำนัก สามารถจะเข้าถึงทรัพยากรการฝึกตนที่คนอื่นๆ ยากจะคาดคิดได้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นกลุ่มคนที่เย่อหยิ่งและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง แต่หลังจากที่บรรลุถึงจุดนี้ ก็สามารถจะก้าวผ่านสหายร่วมสำนักไปได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ ในที่สุดพวกมันก็อยู่ห่างออกไปไกล เมื่อมองย้อนกลับไปทางด้านหลัง ก็ไม่เห็นใครจะสามารถเดินตามมาได้ พวกมันคือกลุ่มคนที่ผู้อื่นต้องมองขึ้นไปเท่านั้น
พวกมันโดดเดี่ยวเดียวดายราวกับเป็นพญาอินทรีที่พุ่งทะยานขึ้นไปในห้วงสวรรค์ ด้านล่างพวกมันเป็นแค่วิหคธรรมดาทั่วไป ที่โผบินไปมาอยู่ใต้กลุ่มเมฆที่พวกมันพุ่งทะยานขึ้นมาเท่านั้น
เป็นความเดียวดายที่มีแต่กลุ่มคนซึ่งเป็นผู้ถูกเลือก ที่คล้ายกับพญาอินทรีเช่นพวกมันเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าใจได้
ถ้าเปรียบเทียบกลุ่มคนเช่นนั้นเป็นพญาอินทรีแล้วละก็ ในตอนนี้ราวกับมีคุนเผิงปรากฏตัวขึ้นมา แรงกดดันที่กำลังกดทับลงมาบนจิตใจพวกมันในตอนนี้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะยอมรับได้ ทำให้เต็มไปด้วยความต้องการที่จะต่อสู้ด้วย
สายลมอันรุนแรงกำลังม้วนกวาดไปทั่วทั้งชางหมางพ่าย ทำให้ทั้งสำนักตกอยู่ในเสียงกระหึ่มกึกก้อง และพลังก็พุ่งขึ้นมาจากผู้ถูกเลือกต่างๆ
แม้แต่หานเป้ยก็ยังได้ปรากฏตัวขึ้นมา ขณะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ รับฟังเสียงก้องกังวานของระฆัง ก็รับรู้ได้ถึงเสียงแผดร้องคำรามที่อยู่ในตี้อีจง และมองเห็นผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ กำลังบินออกมาด้วยความตกตะลึง ดูเหมือนว่าคนทั้งหมดจะมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่รู้สึกตัว
ทวีปที่เก้า และตี้จิ่วจง
ในตอนนี้หานเป้ยอาจจะเป็นคนที่เยือกเย็นมากที่สุดบนดาวชางหมางทั้งปวง ราวกับว่านางไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อยที่ได้ยินนามฟางมู่
“ตัวมันเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้ กลับมากลั่นแกล้งเด็ก ช่างน่าสนใจนัก” นางแค่นเสียงเย็นชา แต่ก็ยังคงอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งที่เมิ่งฮ่าวกำลังกระทำกับร่างจำแลงนี้ นางมีความรู้สึกว่าต้องมีแผนการที่สำคัญบางอย่างกำลังเกิดขึ้นมา
ในขณะที่สำนักอื่นๆ ทั้งแปดตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย ตี้จิ่วจงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน
ขณะที่เสียงอันน่าตกใจและเย็นชาดังก้องออกมา สีหน้าเลื่อมใสศรัทธาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกมัน รวมทั้งความดีใจและตื่นเต้นด้วยเช่นกัน
“พี่ใหญ่ฟางมู่!” ยากที่จะบอกได้ว่าใครเป็นร้องตะโกนออกไปก่อน แต่ในที่สุดเสียงร้องตะโกนเหล่านี้ก็กลายเป็นเสียงกระหึ่มกึกก้องที่ระเบิดขึ้นไปในอากาศ
“พี่ใหญ่ฟางมู่!”
“พี่ใหญ่ฟางมู่!!”
“พี่ใหญ่ฟางมู่!!!”
โดยปกติแล้วคำว่าพี่ใหญ่มักจะใช้เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นผู้อาวุโสภายในกลุ่ม แต่ในกรณีนี้เป็นตัวแทนของการยอมรับและเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญด้วยความกระตือรือร้นของศิษย์ทั้งหมดในตี้จิ่วจง
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่พูดอะไรออกมา นั่นก็คือเยียนเอ๋อร์
ดวงตานางเบิกกว้างขึ้นขณะที่ทันใดนั้นก็ตระหนักว่า ในตอนนี้ดูเหมือนว่าตนเองจะมีซือซู (อาจารย์อา) อยู่นับไม่ถ้วนในสำนัก…
ตี้จิ่วจงแห่งชางหมางพ่ายเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยแสงแห่งสวรรค์ชั้นเก้า กลุ่มเมฆสีดำที่อยู่สูงขึ้นไปในท้องฟ้าพลุ่งพล่านปั่นป่วน และบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับเป็นเสียงแผดร้องด้วยโทสะของสวรรค์ก็ดังก้องออกมาจากภายในนั้น สายฟ้าเริ่มก่อตัวขึ้นมามากขึ้น แต่ผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้ก็แค่หัวเราะ และนำเหล่าผู้แข็งแกร่งทรงพลังที่เหลือช่วยเมิ่งฮ่าวในการตอบโต้กลับไปยังทัณฑ์สายฟ้า
“ฟางมู่ อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง ทุ่มออกมาให้สุดตัว ลองดูว่า…เจ้าจะเรียกสวรรค์ชั้นที่สิบให้ปรากฏขึ้นมาสำหรับตี้จิ่วจงได้หรือไม่!?” เสียงร้องตะโกนเสียงหนึ่งดังก้องออกมา
เพื่อตอบรับคำพูดนี้ เสียงหอบหายใจได้ยินออกมาจากกลุ่มผู้ฝึกตนในตี้จิ่วจง จากนั้นแสงอันเจิดจ้าก็เริ่มสาดประกายออกมาจากสายตาของคนทั้งหมด
สวรรค์ชั้นที่เก้าเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นสิ่งที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ แต่ในทางกลับกันก็คือ…สวรรค์ชั้นที่สิบ ถ้าใครบางคนสามารถเรียกสวรรค์ชั้นที่สิบลงมาได้ ถ้าเช่นนั้นก็มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งคนอื่นๆ สามารถจะคาดคิดได้ นั่นก็คือว่าไม่มีใคร…จะสามารถข้ามผ่านความสำเร็จของคนผู้นั้นไปได้
ชื่อเสียงนั้นจะคงอยู่ไปนานนับหมื่นนับแสนปี และจะคงอยู่ในตี้จิ่วจงไปตลอดกาล!
“สวรรค์ชั้นที่สิบ…พี่ใหญ่ฟางมู่ เรียกสวรรค์ชั้นที่สิบลงมา!”
“พี่ใหญ่ฟางมู่ ทำให้สวรรค์ชั้นที่สิบปรากฏขึ้นมา!”
ขณะที่กลุ่มฝูงชนร้องตะโกนออกมา เยียนเอ๋อร์ก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยเช่นกัน “ซือจุน เรียกสวรรค์ชั้นที่สิบออกมา…”
ผู้ถูกเลือกจากตี้จิ่วจง แม้แต่คนที่อยู่ในอันดับหนึ่งบนแท่นศิลาตัวอักษร ก็เตรียมใจที่จะสูญเสียมันไปแล้ว กำลังกลบฝังความรู้สึกของตนเองไว้ พวกมันถอนหายใจออกมา และในที่สุดแววตาก็สาดประกายขึ้น
ถ้าเจ้าคือคุนเผิงก็อย่าได้ข่มเหงพวกเราเหล่าพญาอินทรี ให้ไปรังควานเหล่าปักษาอื่นๆ…นี่คือสิ่งที่ผู้อยู่ในอันดับหนึ่งตอนนี้กำลังครุ่นคิด และความคิดเช่นเดียวกันนี้กำลังวิ่งผ่านจิตใจของผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
ย้อนกลับไปบนชั้นเก้าแห่งชางหมางไถ ความคิดที่จะไปข่มเหงสิ่งที่เรียกว่าพญาอินทรีไม่ได้อยู่ในจิตใจของเมิ่งฮ่าว
เขาเพ่งความสนใจไปที่ชางหมางไถนี้เท่านั้น โบกสะบัดชายแขนเสื้อ เพื่อปัดกวาดเศษหินดินทรายจากชั้นเก้าออกไป เปิดเป็นเส้นทางไปสู่ชั้นที่สิบซึ่งปรากฏขึ้นมาอยู่ในตอนนี้
โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เมิ่งฮ่าวเดินตรงไปยังชั้นที่สิบ…ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของชางหมางไถ
แทบจะในทันทีที่เขาเหยียบย่างเท้าลงไป สีหน้าแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้น ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า…ตนเองกำลังข่มเหงเด็กๆ อยู่
การทดสอบของชั้นที่สิบประกอบไปด้วยกำแพงแห่งหนึ่ง ซึ่งกระเพื่อมไปมาด้วยระลอกคลื่นเวทอันน่าตกใจ
สิ่งที่มองเห็นได้ตรงกำแพงแห่งนั้นก็คือลำดับรายชื่อสิบบรรทัด ซึ่งก็คือผู้ถูกเลือกที่ได้อันดับหนึ่งถึงอันดับสิบบนชางหมางไถแห่งนี้
ด้านหลังแต่ละรายชื่อเป็นตัวเลข ด้านหลังของรายชื่ออันดับหนึ่งคือตัวเลขที่สูงกว่าเจ็ดหมื่นเล็กน้อย ตัวเลขของอันดับต่อมามีขนาดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอันดับที่สิบ มีตัวเลขอยู่ประมาณสี่หมื่น
จากสิ่งที่เมิ่งฮ่าวสามารถจะบอกได้ ชั้นที่เก้าและสิบของชางหมางไถคือชั้นสำหรับการทำอะไรก็ได้ตามอิสระ
บนชั้นที่เก้าผู้ทำการทดสอบต้องสร้างความสามารถศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา และบนชั้นที่สิบ จะทำการประเมินความแข็งแกร่งของวิชาเวท ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นตัวเลข ยิ่งมีตัวเลขที่สูงมากเท่าใด ความสามารถศักดิ์สิทธิ์นั้นก็จะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และจะอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม…แท่นศิลาตัวอักษรของชั้นที่เก้าได้ระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว…ถึงแม้ว่าแท่นศิลาตัวอักษรเหล่านั้นจะไม่ได้ตรวจวัดความแข็งแกร่งของความสามารถศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ช่วยให้ผู้มาทดสอบสามารถจะกลั่นสกัดเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ และทำให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น น่าเสียดายที่แท่นศิลาตัวอักษรเหล่านั้น…หายไปจนหมดสิ้นแล้ว
เมื่อชางหมางพ่ายสร้างชางหมางไถนี้ขึ้นมา ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีบางคนสามารถสร้างความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้แท่นศิลาตัวอักษรบนชั้นเก้าต้องระเบิดขึ้นมาอย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับความสามารถศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น ชั้นที่สิบแห่งนี้ก็มีค่าเทียบเท่ากับซี่โครงไก่เท่านั้น (หมายถึงไม่ค่อยมีค่าเท่าใดนัก)
“ข้าจะพยายามขึ้นสักเล็กน้อย เมื่อกำแพงนี้ทำการทดสอบพลังแห่งความสามารถศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ บางทีมันอาจจะไม่ระเบิดขึ้นเหมือนครั้งที่แล้ว” หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วขณะ ดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้นและยื่นมือออกไป เครื่องหมายผนึกทั้งเก้าแห่งเวทผนึกสวรรค์ก็เริ่มเปล่งประกายเจิดจ้าออกมา ขณะที่ชี้นิ้วไปยังกำแพงนั้น