Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1469

ตอนที่ 1469

ความขัดแย้ง

ในทันทีที่กลุ่มคนปรากฏกายขึ้นในเขตสุสาน

คนทั้งหมดก็หันหน้าไปมองยังเมิ่งฮ่าว ยกเว้นเซียนไป๋อู้เฉิน

เจ้าสำนักประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเขา

เมิ่งฮ่าวพยักหน้าดวงตาแวบประกายขึ้น จุดประสงค์ในการมายังเขตสุสานครั้งนี้ของเขาชัดเจนยิ่ง เขาต้องการไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม และค้นหาเศษชิ้นส่วนกระจกทองแดง สำหรับคนทั้งหมดต้องการทำอะไร เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย อันที่จริงเขาคิดว่าจะจากคนทั้งหมดไปในทันทีที่เป็นไปได้ด้วยซ้ำ

เมิ่งฮ่าวมีความคิดว่าจะจัดการเรื่องราวทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายในเวลาหนึ่งเดือน ด้วยวิธีนี้ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้าหายนะพร้อมกับกลุ่มคนที่เหลือ ทันใดนั้นดวงตาที่สามก็เปิดออก และภาพที่เขามองตรงไปยังเศษซากปรักหักพังก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

โดยไม่ลังเลใดๆ เขาพุ่งตรงไปในทันที คนทั้งหมดเริ่มติดตามไป เห็นได้ชัดว่าสามารถจะรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่เพิ่มขึ้นมาในบริเวณนั้น ซึ่งหมายความว่าคนทั้งหมดถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าภูตผีนับไม่ถ้วน แต่ท่าทางที่สงบนิ่งของเมิ่งฮ่าว ก็ทำให้คนทั้งหมดยังคงเยือกเย็นลงได้โดยสิ้นเชิง

เซียนไป๋อู้เฉินมีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไปบ้างเล็กน้อย แสงแปลกๆ ปรากฏขึ้นในแววตา ขณะที่มองไปยังสิ่งต่างๆ ทั้งหมด ในที่สุดก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยท่าทางครุ่นคิด

เวลาผ่านไป ก่อนหน้านี้คนทั้งหมดต้องใช้เวลาสองวันในการเดินผ่านเขตรอบนอกของสุสาน แต่ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น ก็บรรลุถึงสะพานที่ทอดยาวไปสู่ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก

เป็นสะพานที่คุ้นเคยกันอย่างดีเช่นเดียวกัน ทำให้สามารถจะเดินผ่านมันไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้น หลังจากที่ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม คนทั้งหมดก็ไปอยู่บนดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก

กลุ่มคนเริ่มรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาอยู่บนดินแดนอันกว้างใหญ่อีกครั้ง

สำหรับเมิ่งฮ่าว เขาไม่หยุดลงแม้แต่น้อย เดินต่อไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าตรงไปยังตำแหน่งที่ดินแดนแห่งแรกเชื่อมต่อกับดินแดนแห่งที่สอง

เจ้าสำนักสามารถจะมองเห็นความกระวนกระวายใจของเขา แต่หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก็กล่าวว่า “จิ่วจุนเต้าโหย่ว (สหายเต๋าผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า) โปรดรอสักครู่ ไม่จำเป็นต้องรีบไปยังดินแดนแห่งที่สอง ปล่อยให้ไป๋เต้าโหย่วมีเวลาค้นหาความรู้แจ้งบนแท่นบูชาบ้าง หลังจากนั้นยังมีเวลาอีกมากนัก”

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว จากนั้นก็พยักหน้าและเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าตรงไปยังจุดศูนย์กลางของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก หลังจากเดินทางไปอีกครึ่งวัน ไป๋อู้เฉินก็ก้าวขึ้นไปบนแท่นบูชาเหนือสูงสุด เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังทิศทางของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม ประกายแสงในดวงตาเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น

หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน เซียนไป๋อู้เฉินก็ยังคงอยู่ในท่ามกลางการค้นหาความรู้แจ้ง ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกสนใจขึ้นมา แต่ก็แค่ชำเลืองมองไปเท่านั้น เมื่อวันที่แปดผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่เก้า ไป๋อู้เฉินก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง และจากนั้นก็ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ แววตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ ชำเลืองมองไปยังเมิ่งฮ่าวชั่วขณะ ก่อนที่จะมองไปทางอื่น

ในตอนที่ไป๋อู้เฉินเสร็จสิ้นจากการค้นหาความรู้แจ้ง แม้แต่เจ้าสำนักก็เริ่มวิตกขึ้นมาเล็กน้อย คนทั้งหมดเดินทางต่อไปอีกครึ่งวัน จนกระทั่งไปอยู่ตรงเขตชายขอบของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก ซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับดินแดนแห่งที่สอง

ตรงตำแหน่งนี้ไม่มีสะพาน แต่มีบันไดแห่งหนึ่งที่ลอยขึ้นไปในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวแทน

ตรงด้านล่างบันไดมีแต่ความมืดมิด ได้ยินเสียงแผดร้องคำรามดังก้องออกมาจากภายในความมืดเหล่านั้น

เจ้าสำนักมองไปยังบันไดด้วยความระมัดระวัง “บันไดนี้ยังอันตรายมากกว่าสะพานนั้นซะอีก พวกเราจำเป็นต้อง…” แต่ในขณะที่มันยังพูดไม่ทันจบ เมิ่งฮ่าวก็ลืมดวงตาที่สามขึ้นมา

คนทั้งหมดเสียเวลาไปมากพอแล้วอันเนื่องมาจากไป๋อู้เฉิน ทำให้เมิ่งฮ่าวเหลือเวลาน้อยที่จะบรรลุถึงเป้าหมาย และเขาก็ไม่ต้องการจะอยู่ในสถานที่แห่งนี้เพื่อต่อต้านหายนะนั้น เมื่อดวงตาที่สามเปิดขึ้นมา ก็ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็ส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ออกไปทั่วทุกทิศทาง

เกิดการตอบรับขึ้นมาแทบจะในทันที กลุ่มภูตผีนับไม่ถ้วนบนดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก ส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าตกใจออกมา ซึ่งสิ่งมีชีวิตไม่อาจจะรับรู้ได้ พวกมันบินขึ้นไปในอากาศ และเริ่มพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวจากทั่วทุกทิศทาง แม้แต่เหล่าภูตผีที่อยู่ด้านนอกดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรกก็เข้ามาร่วมด้วย

ในที่สุดความหนาวเย็นที่อยู่รอบๆ ตัวคนทั้งหมดก็มีความรุนแรงมากขึ้น และเสียงแตกร้าวก็ได้ยินมาขณะที่พื้นดินเริ่มปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง กลุ่มภูตผีนับไม่ถ้วนเริ่มหมุนวนไปรอบๆ ร่างเมิ่งฮ่าว เพื่อก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน คนทั้งหมดตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจินหยุนซาน ที่กำลังสั่นสะท้านและหยิบเอากำไลเก็บสมบัติออกมา

ดวงตาเซียนไป๋อู้เฉินแวบประกายขึ้นมาด้วยแสงแปลกๆ ขณะที่จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว

“สหายเต๋าทั้งหลาย ตามข้ามา!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น ชี้นิ้วตรงไป เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ของเขาทำให้กลุ่มภูตผีที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นกรีดร้องออกมา ขณะที่ปกคลุมไปรอบกายเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังขั้นบันได

ถ้ามีใครสามารถจะมองเห็นเหล่าภูตผีนี้ได้จริงๆ ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นมานี้คือทะเลขนาดใหญ่ที่กำลังกรีดร้องคำรามออกมา ขณะที่นำพากลุ่มคนทั้งหมดขึ้นบันไดไป เนื่องจากกลุ่มภูตผีมีอยู่นับไม่ถ้วน ทำให้แม้แต่สิ่งที่มีอันตรายมากที่สุดก็ไม่อาจจะเข้ามาใกล้ได้ ช่างเป็นวิธีการสะกดข่มเพื่อก้าวข้ามดินแดนอันกว้างใหญ่ไปได้อย่างแท้จริง

แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นที่คนทั้งหมดลอยขึ้นไปบนบันไดตลอดเส้นทาง และจากนั้นก็ลงไปอยู่บนพื้นของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สอง

ในทันทีที่คนทั้งหมดเหยียบย่างลงไปบนพื้นดิน ก่อนที่เจ้าสำนักและคนอื่นๆ จะทันได้รู้สึกตื่นเต้น เมิ่งฮ่าวก็บินขึ้นไปในอากาศ และมองออกไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สองด้วยดวงตาที่สาม จากนั้นก็เริ่มส่งคำสั่งออกไปด้วยเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์

ตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ภายในร่างสาดประกายเจิดจ้าขึ้นมา และภายในเศษซากปรักหักพังอันไร้ขอบเขตบนดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สอง ภูตผีนับไม่ถ้วนสั่นสะท้าน และเริ่มมองขึ้นไป ความรู้สึกว่ากำลังถูกเรียกที่กระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว ทำให้พวกมันต้องสั่นสะท้านขึ้นมา

“จักรพรรดิกำลังเรียกพวกเรา…”

“จักรพรรดิเรียกหาพวกเรา…”

“นั่นเป็นกลิ่นอายของจักรพรรดิ…” ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องเรียกนี้ แต่เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกมา เมื่อเหล่าภูตผีกรีดร้องคำราม ลอยขึ้นไปในอากาศพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวไม่เชื่องช้าลงแม้แต่น้อย ปล่อยให้ตนเองถูกกลุ่มภูตผีม้วนกวาดออกไปจากอาณาเขตแห่งนั้น เริ่มมุ่งหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เป็นเช่นนั้น เสียงของเมิ่งฮ่าวก็ดังก้องอยู่ในหูของกลุ่มคนอื่นๆ ทั้งหมด

“สหายเต๋าทั้งหลาย เปิ่นจุนไม่สนใจเข้าร่วมแท่นบูชาเหนือสูงสุดในที่แห่งนี้ ข้ามีเรื่องส่วนตัวต้องทำในดินแดนที่สาม หลังจากที่พวกท่านเสร็จสิ้นการค้นหาความรู้แจ้ง ข้าจะกลับมานำพวกท่านไปยังที่แห่งนั้น” จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็เริ่มพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้น แต่ในตอนนี้เองที่ร่างของเซียนไป๋อู้เฉินก็แวบขึ้น หายตัวไปในทันที เมื่อปรากฏร่างขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ไปอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ทำให้กลุ่มหมอกพุ่งขึ้นมา ปิดกั้นเส้นทางของเขาไว้

“สหายเต๋าจิ่วจุน ดินแดนที่สามมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าท่านจะมีเรื่องส่วนตัวอันใดในที่แห่งนั้น ก็ไม่ควรเข้าไปตามลำพัง ทำไมไม่รอให้พวกเราเสร็จสิ้นการค้นหาความรู้แจ้งก่อน แล้วค่อยเข้าไปด้วยกัน?”

เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักนิ่ง มองไปยังนางด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่น เขาไม่เคยพูดคุยกับเซียนไป๋อู้เฉินมาก่อน และไม่มีความแค้นใดๆ กับนาง แต่จู่ๆ นางก็แสดงความไม่เป็นมิตรออกมา

จากนั้นก็คิดย้อนกลับไปในตอนที่จินหยุนซานเคยต่อต้านเขามาก่อนเมื่อในอดีต และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความครุ่นคิด

เขากล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกรำคาญเล็กน้อย “ไม่ว่าท่านจะมีความรู้สึกหรือเข้าใจอะไรมาก่อน ก็อย่าได้ลืมว่าเปิ่นจุนเป็นคนอย่างไร ถ้าท่านไม่มาตอแยข้า ข้าก็จะไม่ไปหาเรื่องท่าน”

ก่อนที่จะมีใครกล่าวตอบกลับไป จินหยุนซานก็แอบหัวเราะอย่างเย็นชา มันอยากจะถามเมิ่งฮ่าวว่าใครมาหาเรื่องใครก่อน ในตอนที่คนทั้งหมดกลับมาจากเขตสุสานเมื่อครั้งล่าสุด แต่ก็ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวจะอารมณ์ไม่ดีอยู่ในตอนนี้

จากสิ่งที่จินหยุนซานสามารถจะบอกได้ เซียนไป๋อู้เฉินต้องรู้สึกเช่นเดียวกับตนเองเมื่อครั้งก่อน เป็นสิ่งที่คล้ายกับเจตจำนงของปรมาจารย์ชางหมาง ทำให้นางต้องการจะสังหารเมิ่งฮ่าว

เจ้าสำนักขมวดคิ้ว และกำลังจะเอ่ยคำอธิบาย แต่ตอนนี้เมิ่งฮ่าวก็ไม่อาจจะอดกลั้นได้อีกต่อไป และก้าวเดินตรงไป เซียนไป๋อู้เฉินยิ้มอย่างเย็นชา ใช้มือขวาขยับร่ายเวท ทำให้พื้นฐานฝึกตนปะทุขึ้นกลายเป็นลมพายุที่มาขัดขวางเส้นทางของเมิ่งฮ่าวไว้

“ไสหัวไป!” เมิ่งฮ่าวร้องตวาด โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป กลุ่มภูตผีที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นส่งเสียงกรีดร้องแหลมเล็ก พุ่งตรงไปกระแทกไป๋อู้เฉินราวกับเป็นสายลมอันรุนแรง เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องออกมา และใบหน้าของไป๋อู้เฉินก็ซีดขาว ต้องถอยไปทางด้านหลังอย่างไร้ทางเลือก

เมื่อเป็นเช่นนั้นเมิ่งฮ่าวก็พุ่งผ่านออกไป และเร่งความเร็วขึ้นจนห่างออกไปไกล

“เจ้าสำนัก และสหายเต๋าทั้งหลาย ดินแดนที่สามมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สำหรับใช้ต่อต้านหายนะ เห็นได้ชัดว่ามันกำลังไปที่นั่นตามลำพัง ถ้าข้าไม่ไปตรวจสอบด้วยตนเอง คงไม่อาจจะวางใจได้” โดยไม่สนใจกลุ่มคนที่เหลือ นางบินไล่ตามเมิ่งฮ่าวไป

แววตานางสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ

กลายเป็นว่าจินหยุนซานคาดเดาผิดพลาด นางไม่ได้ขัดขวางเมิ่งฮ่าวหลังจากที่รู้สึกได้ถึงเจตจำนงของปรมาจารย์ชางหมาง แต่เหตุผลแท้จริงที่นางมายังที่แห่งนี้ ก็เพื่อสิ่งของบางอย่างที่อยู่ในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม

เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อนางเป็นอย่างมาก และอันที่จริงแล้วเนื่องจากของสิ่งนั้น ทำให้สิ่งของบางอย่างในถุงสมบัติของนางเริ่มกระจายเป็นความผันผวนออกมา

ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักจะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากนาง นางก็ยังคงต้องการจะเข้ามาในเขตสุสานแห่งนี้อยู่ดี นอกจากนั้นจากคำพูดของคนอื่นๆ ที่นางรับรู้มา กลุ่มคนที่เข้ามายังเขตสุสานก่อนหน้านี้ ได้รับผลประโยชน์กว่าครั้งก่อนๆ เป็นหลายเท่า

นั่นก็หมายความว่านางจะต้องมีโอกาสได้รับสิ่งของที่ต้องการเป็นอย่างมาก และเป็นเหตุผลที่ทำไมนางถึงต้องสนับสนุนให้กลุ่มคนทั้งหมดพยายามต่อต้านหายนะตรงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สามด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่เข้ามาในเขตสุสาน จู่ๆ นางก็มีความรู้สึกแปลกๆ ต่อเมิ่งฮ่าวในทันที

นางมีความรู้สึกว่าเป้าหมายของเขาคล้ายคลึงกับตนเอง หรืออาจจะเหมือนกันก็เป็นได้

ดังนั้นนางจึงดำเนินการในทันที และยังได้เริ่มไล่ตามเขาไปอีกด้วย ดวงตาเจ้าสำนักสาดประกายขึ้น ราวกับว่าจู่ๆ ก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เซียนไป๋อู้เฉินกำลังมีการแสดงออกที่แตกต่างไปจากความเยือกเย็นตามปกติของนางโดยสิ้นเชิง บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับแท่นบูชาเหนือสูงสุด แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เจ้าสำนักก็บินขึ้นไปในอากาศติดตามนางไป ต่อมาจินหยุนซาน และซาจิ่วตงก็สบตากันไปมา คนทั้งสองต่างก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกๆ กำลังเกิดขึ้นอยู่ ดังนั้นแทนที่จะวิตกเกี่ยวกับแท่นบูชาเหนือสูงสุด พวกมันก็บินขึ้นไปในอากาศเช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนอื่นๆ รวมทั้งตี้เอ้อร์จื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับสอง) พวกมันต่างก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกๆ เกี่ยวกับดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สาม แต่เมื่อคิดไปว่าผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้ขั้นสูงสุดที่ทรงพลังมากที่สุดกำลังไปยังที่แห่งนั้นแล้วในตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่าพวกมันไม่อาจจะหาผลประโยชน์ใดๆ ได้จากที่แห่งนั้น พวกมันจึงเริ่มมุ่งหน้าตรงไปยังแท่นบูชาเหนือสูงสุดแท่นที่สองตรงจุดศูนย์กลางของดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สองนี้แทบจะพร้อมเพรียงกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version