ตอนที่ 1485
เจตนาอันชั่วร้าย
“ตี้จิ่วจง” เมิ่งฮ่าวกล่าว มองตรงไปยังสี่ราชันเต๋า
ไม่มีใครพูดตอบกลับมาแม้แต่คำเดียว เมื่อรู้ว่าเมิ่งฮ่าวไม่ได้มาจากสำนักตนเอง พวกมันก็หมดความสนใจ ภายในแต่ละสำนักของชางหมางพ่ายบางครั้งก็มีการหลอกลวงกันไปมา หรือแม้แต่การต่อสู้กันเอง แต่คนส่วนใหญ่มักไม่ยินดีที่จะนำเรื่องขัดแย้งเหล่านั้นเข้ามาในการทดสอบนี้ด้วย ซึ่งเหมือนกับเป็นการทำร้ายตนเอง
ราชันเต๋าทั้งสี่ไม่สนใจเมิ่งฮ่าว และเขาก็ไม่สนใจพวกมัน เดินต่อไปจนกระทั่งไปอยู่ตรงจุดเดียวกับพวกมัน จากนั้นก็หยุดลงและมองออกไปยังพื้นที่ข้างหน้า
เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสี่เหล่านี้กำลังนั่งอยู่ตรงจุดนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง และเมิ่งฮ่าวก็ตระหนักดีว่าทำไม
“แม้แต่ราชันเต๋าก็ไม่กล้าที่จะเดินผ่านจุดนี้ไป?” เมิ่งฮ่าวคิด เมื่อครู่นี้ราชันเต๋าได้เอ่ยถึงทัณฑ์ที่สาม เห็นได้ชัดว่าอาณาเขตที่แตกต่างกันซึ่งเขาได้เดินผ่านไปในทุกๆ สามปีคือทัณฑ์ที่คนเหล่านี้พูดถึง
“ทัณฑ์แรกคือสิบเท่า ทัณฑ์ที่สองคือยี่สิบเท่า และทัณฑ์ที่สามคือห้าสิบเท่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าทัณฑ์ที่สี่นี้คือหนึ่งร้อยเท่า?” ในขณะที่เมิ่งฮ่าวกำลังยืนสงสัยอยู่นั้น ราชันเต๋าที่ถามเกี่ยวกับตัวตนของเขาก่อนหน้านี้ก็ลืมตาขึ้นมา
“ทัณฑ์ที่สี่มีแรงกดดันเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยเท่า สหายน้อยต้องระมัดระวังไว้บ้าง ถึงแม้ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเดินมาได้อย่างไร แต่ที่แห่งนี้…ถ้าเดินเข้าไปโดยไม่มีพื้นฐานฝึกตนสี่แก่นแท้ ก็จะต้องเก้าตายหนึ่งรอดอย่างแน่นอน”
เมิ่งฮ่าวหมุนตัวไปประสานมือให้กับราชันเต๋าเพื่อขอบคุณ จากนั้นก็หันร่างไป สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และทำให้สี่ราชันเต๋าต้องตกตะลึง เมื่อเขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว!
“มันกำลังรนหาที่ตาย!” นี่คือความคิดของสี่ราชันเต๋าที่กำลังมองดูเมิ่งฮ่าวเดินไป เวลาเดียวกันนั้นก็เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้นมา
แทบจะในทันใดนั้นขาทั้งสองข้างของเมิ่งฮ่าวก็แหลกละเอียดไป ร่างกายถูกทำลายไปครึ่งตัว! แขนทั้งสองข้างระเบิดขึ้นกลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิต ในชั่วพริบตาร่างกายส่วนที่เหลือก็ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยแรงกดดันหนึ่งร้อยเท่า!
มีแต่ส่วนศีรษะเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ภายในกลุ่มหมอกโลหิต รวมทั้ง…ตะเกียงวิญญาณหนึ่งร้อยแปดดวง มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่สามดวง และที่เหลือก็ดับลงไปหมดแล้ว
เมิ่งฮ่าวหลงเหลืออยู่แต่ส่วนศีรษะเท่านั้น แต่ก็ยังแผดร้องคำรามออกมา และเส้นเลือดเขียวก็ปะทุขึ้นมาจากผิวหนัง จากนั้นตะเกียงวิญญาณก็เริ่มสั่นไหวไปมา และต่อมาหนึ่งในสามตะเกียงที่ยังคงลุกไหม้อยู่จู่ๆ ก็ดับลงไป!
หลังจากที่ตะเกียงดับลงไปแล้ว กลุ่มหมอกโลหิตที่ระเบิดออกไปก็เริ่มก่อตัวกลับมาเป็นร่างกายเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่เมิ่งฮ่าวก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็กระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำขณะที่ล้มลงไปบนพื้น
แรงกดดันหนึ่งร้อยเท่ายังคงบดขยี้ลงมาบนร่างอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่เมิ่งฮ่าวพยายามดิ้นรนลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ จากนั้นก็หลับตาลงโคจรหมุนวนพลังการฝึกตน และพลังชีวิตที่มาจากการดับตะเกียงวิญญาณลงไป พยายามจะต่อสู้กลับไปยังแรงกดดันนั้น
“เป็นไปไม่ได้!” สี่ราชันเต๋าที่อยู่อีกด้านต่างก็ลุกขึ้นมายืน สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ คนทั้งหมดกำลังหอบหายใจออกมา และดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นราวกับเป็นลูกหนัง
“มัน…มันกลับทนได้จริงๆ!”
“มีแต่ผู้ฝึกตนสี่แก่นแท้เท่านั้น ที่จะผ่านเข้าไปในทัณฑ์ที่สี่นี้ได้ แม้แต่พวกเราก็ไม่อาจจะเดินเข้าไปได้!”
“ข้าจำได้ว่าเมื่อสามสิบปีก่อน ตอนที่เหยียนหั่วเต้าจู่ (ราชันเต๋าเปลวไฟ) แห่งตี้ชีจง (สำนักที่เจ็ด) เดินเข้าไป ก็ถูกสังหารไปในทันที…” จิตใจพวกมันกำลังหมุนคว้าง ขณะที่จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าว
ชั่วขณะต่อมาหนึ่งในพวกมันก็กระซิบขึ้นมาในทันที “พวกท่าน เมื่อครู่นี้เห็นหรือไม่ว่าภายในร่างของมัน มีตะเกียงวิญญาณอยู่หนึ่งร้อยแปดดวง ข้าคงไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่?”
เมื่อคำพูดของมันดังก้องออกมา อีกสามคนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง เมื่อครู่นี้พวกมันสนใจแต่เพียงว่าเมิ่งฮ่าวจะเดินออกไปหนึ่งก้าวได้สำเร็จหรือไม่ ไม่ได้สนใจตะเกียงวิญญาณของเขา แต่ในตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป แต่ละคนต่างก็มองเห็นความตกใจอยู่ในแววตาของกันและกัน
“คนที่คล้ายกับอมนุษย์เช่นนี้ปรากฏขึ้นในสำนักตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ข้าสังเกตเห็นว่ามันมีตะเกียงที่ลุกไหม้อยู่แค่สองดวงเท่านั้น ถ้า…ถ้ามันดับสองดวงสุดท้ายนั่นได้จริงๆ มันจะแข็งแกร่งมากเท่าใดกันแน่?” ในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไป พวกมันก็ยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้นเท่านั้น
ไม่กี่วันต่อมากลุ่มคนทั้งสี่ก็มองไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน ขณะที่เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และจากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ เป็นเรื่องยากที่จะทำเช่นนั้น แต่หลังจากที่ลุกขึ้นมาได้ ก็กัดฟันแน่นและเริ่มเดินตรงไป ไม่สนใจราชันเต๋าทั้งสี่แม้แต่น้อย
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินต่อไป ก็เคลื่อนที่ห่างออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหายลับตาไป
ราชันเต๋าไม่อาจจะทำอะไรได้ นอกจากนั่งเงียบๆ อยู่ที่นั่น สั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิงจากความจริงที่ว่า เมิ่งฮ่าวกำลังเดินผ่านทัณฑ์ที่พวกมันไม่เคยเดินเข้าไปมาก่อน
“เหลือตะเกียงวิญญาณอยู่อีกแค่สองดวงเท่านั้น สองดวงสุดท้าย…” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิด ม่านตากำลังพร่าเลือน และลมหายใจก็เริ่มเร่งร้อนถี่เร็ว ขณะที่เดินต่อไปด้วยความยากลำบาก
“หลังจากตะเกียงวิญญาณทั้งสองดับลงไป ข้าก็สามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรเต๋า!”
“เมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็สามารถจะสร้างแก่นแท้ของตัวเองขึ้นมา และใช้พลังของมันทำให้เวทรุ่นเก้าเริ่มสมบูรณ์แบบขึ้น!”
“นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าข้าคาดเดาได้ถูกต้อง!”
หลังจากที่สร้างเป็นเค้าโครงร่างเครื่องหมายผนึกชิ้นแรกของเวทรุ่นเก้า บนชางหมางไถตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมิ่งฮ่าวก็เริ่มจะคาดเดาได้ถึงเรื่องราวที่แท้จริง
เขามีความรู้สึกว่าอย่างมากที่สุด ร่างจำแลงนี้สามารถจะสร้างเครื่องหมายผนึกได้เพียงแค่หนึ่งชิ้นเท่านั้นในชั่วชีวิตนี้ของมัน ไม่อาจจะสร้างได้ถึงสองชิ้น โดยที่ไม่ต้องพูดถึงทั้งเก้าชิ้น
เวทผนึกสวรรค์แข็งแกร่งและทรงพลังเป็นอย่างมาก เป็นเวทผนึกที่ถ้ากล่าวกันตามความจริงแล้ว ก็ไม่น่าจะคงอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตแม้แต่น้อย
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่เดินตรงไปอย่างช้าๆ ด้วยความยากลำบาก อีกสามปีได้ผ่านไปในชั่วพริบตา แต่ก็ยังไม่อาจจะบรรลุถึงทัณฑ์ที่ห้า เหตุผลก็คือว่าเขากำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเชื่องช้ามากขึ้นกว่าเดิม และมักจะหยุดพักอยู่เป็นระยะด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งอีกห้าปีต่อมา เมิ่งฮ่าวก็สามารถจะวิ่งไปอย่างช้าๆ ได้แล้ว ในที่สุดเขาก็มองเห็นเขตชายแดนของทัณฑ์ที่ห้า
ที่แห่งนั้น เขามองเห็นผู้ฝึกตนได้อีกครั้ง
มีอยู่สองคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เบื้องหน้า ถึงจะห่างออกไปไกลแต่ก็มองเห็นได้ว่าอยู่บนเส้นทางเดียวกัน อย่างน่าประหลาดใจยิ่งคนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกตนสี่แก่นแท้ และหนึ่งในพวกมันเป็นบุรุษวัยกลางคนสวมใส่ชุดยาวสีดำ อยู่ในขั้นสูงสุดสี่แก่นแท้ เกือบจะอยู่ในระดับห้าแก่นแท้แล้ว
คนทั้งสองสังเกตเห็นการมาถึงของเขา หนึ่งในพวกมันมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
“ในที่สุดก็มีคนมาแล้ว อาณาจักรโบราณ…คาดไม่ถึงว่าผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณจะสามารถผ่านทัณฑ์ที่สี่มาได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ…” บุรุษวัยกลางคนกล่าว เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณใดๆ ก็ตาม ที่สามารถจะมายังสถานที่แห่งนี้ได้ จะต้องเป็นบุคคลสำคัญมากที่สุดในสำนัก และน่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตอีกด้วย
เนื่องจากเช่นนั้น มันจึงลังเลอยู่ชั่วขณะ
ในตอนที่ลังเลอยู่นั้น เมิ่งฮ่าวก็วิ่งใกล้เข้ามาในเขตชายแดนนี้แล้ว
บุรุษวัยกลายคนและผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าสี่แก่นแท้อีกคนสบตากันไปมา และเมื่อมองเห็นแววตาอันเด็ดเดี่ยวของกันและกันแล้ว พวกมันก็กัดฟันแน่น โยนความสงสัยใดๆ ออกไปจนหมดสิ้น
พวกมันมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่เย็นชา ซึ่งตอนนี้กำลังห่างจากการเข้าไปในทัณฑ์ที่ห้าเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
บุรุษวัยกลางคนซึ่งมีสีหน้าไม่เป็นมิตร ดูเหมือนว่าจะไม่วิตกแม้แต่น้อย และดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นว่าเมิ่งฮ่าวมีความกล้าที่จะเดินเข้าไปในอาณาเขตต่อไปในทันที มีแต่คนที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อเท่านั้นที่ไม่ต้องหยุดพักและเข้าไปในอาณาเขตต่อไปได้ในทันที
“เสี่ยวเป้ย (ผู้เยาว์) พวกเรามาตกลงกัน…” บุรุษวัยกลางคนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“วางใจได้ พวกข้าทั้งสองจะไม่ทำร้ายเจ้า แต่มีผลประโยชน์มากมายให้กับเจ้า” ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าอีกคนกล่าวขึ้น
มันไม่ได้ให้ความสนใจต่อตำแหน่งที่เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ในตอนนี้ เพราะว่ามีความคิดเช่นเดียวกับสหายของมัน ไม่มีใครหลังจากที่มาถึงตรงตำแหน่งจุดนี้แล้ว จะเคลื่อนที่ก้าวเดินออกไปในทันที
อย่างไรก็ตาม แม้ในขณะที่พูดยังไม่ทันขาดคำ เมิ่งฮ่าวก็ไม่สนใจพวกมันโดยสิ้นเชิง ก้าวเดินตรงไปพร้อมกับดวงตาที่สาดประกายขึ้นมา
“หยุด!!”
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย?” ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าทั้งสองสั่นสะท้านใจไปตามๆ กัน ลุกขึ้นมายืนด้วยความวิตก
ในขณะที่แรงสั่นสะเทือนกำลังวิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าวอย่างรุนแรง
แรงกดดันที่กำลังบดขยี้ลงมาบนร่างเขา พุ่งทะยานขึ้นไปจนถึง…หนึ่งร้อยห้าสิบเท่าจากแรงกดดันเดิม!
ร่างเมิ่งฮ่าวพังทลายลงไปในทันที แม้แต่ศีรษะก็ไม่ได้คงอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ กลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิตไป ทำให้ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าทั้งสองมีสีหน้าบูดบึ้งขึ้นมา
พวกมันเฝ้ารอคอยให้ใครบางคนเดินผ่านมาและตกหลุมพรางเป็นเวลานาน แล้วจะคาดคิดได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นจะมีการแสดงออกที่โง่เขลาโดยสิ้นเชิงเช่นนี้?
“สมองเด็กน้อยนั่นคงมีปัญหา กลับตายไปอย่างเลอะเลือนนัก สมควรแล้ว!”
“มันตายแล้วก็แล้วไป แต่กลับทำให้พวกเราต้องสูญเสียโอกาส บัดซบ!” อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งของพวกมันทันใดนั้นก็ต้องหยุดพูดไป และปากก็อ้าค้างด้วยความตกตะลึง
กลุ่มหมอกโลหิตซึ่งก็คือเมิ่งฮ่าว กำลังมีการแสดงออกที่แตกต่างไปจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่พวกมันเคยเห็นมาเมื่อในอดีต แทนที่จะกระจัดกระจายหายไป กลุ่มหมอกนั้นเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน เพียงชั่วขณะก็กลายเป็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งอย่างเลือนราง
เมื่อพวกมันมองดูไปอย่างละเอียด ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า…ตะเกียงวิญญาณหนึ่งร้อยแปดดวงที่เคยเห็นอยู่ภายในเงาร่างนั้น มีอยู่สองดวงที่กำลังลุกไหม้อยู่ ส่วนที่เหลือถูกดับลงไปหมดแล้ว
“นี่…”
ในตอนนี้เองที่หนึ่งในสองตะเกียงวิญญาณทันใดนั้นก็ดับลงไป เมื่อเป็นเช่นนั้นพลังชีวิตที่ยังคงเหลืออยู่ในกลุ่มหมอกโลหิตก็ทำให้เริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน แม้ในขณะที่แรงกดดันอันเข้มข้นกำลังกดทับลงมาก็ตาม!
เห็นได้ชัดว่าพลังอันน่าเหลือเชื่อบางอย่างกำลังบังคับให้กลุ่มหมอกโลหิตเริ่มรวมตัวกันเป็นรูปร่างของคนผู้หนึ่ง!
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันอันเข้มข้นนั้นก็ดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าไปขัดขวาง ราวกับว่าพลังของการดับตะเกียงวิญญาณไปหนึ่งดวงไม่เพียงพอที่จะทำให้การรวมร่างนั้นสำเร็จลงไปได้ แต่จากนั้น…ตะเกียงวิญญาณดวงสุดท้ายก็แวบประกายขึ้น และจากนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อของผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าทั้งสอง ฉับพลันนั้น…
ตะเกียงวิญญาณดวงสุดท้ายก็ดับลง!
ในตอนนั้นเอง ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นพลังที่ทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือนก็พุ่งขึ้นมาจากกลุ่มหมอกโลหิต ส่งผลให้สองผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าต้องถอยโซเซไปทางด้านหลังด้วยความตกตะลึง!