Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1441

ตอนที่ 1441

แท่นบูชาเหนือสูงสุด

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็เก็บกำไลไว้ และรังสีสังหารก็ค่อยๆ จางหายไป คนทั้งหมดถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาอย่างช้าๆ ใบหน้าจินหยุนซานบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด แต่ก็ไร้ซึ่งความเกลียดชังใดๆ เคลื่อนที่ออกไปยังที่ห่างไกลเล็กน้อยอย่างเงียบๆ เพื่อนั่งลงขัดสมาธิเข้าฌาณ

ซาจิ่วตงและเจ้าสำนักมองไปอย่างลังเล จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังจินหยุนซาน นั่งลงที่ข้างกายมัน ราวกับว่ากำลังทำการปกป้องมันอยู่ แต่จินหยุนซานก็รู้ว่าคนทั้งสองกำลังควบคุมตนเองด้วยเช่นกัน

พวกมันจะช่วยปกป้องถ้ารังสีสังหารของเมิ่งฮ่าวพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในทำนองเดียวกันนั้น พวกมันจะคอยดูแลไม่ให้จินหยุนซานไปทำความเสียหายให้กับเมิ่งฮ่าว

การต่อสู้เมื่อครู่นี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเมิ่งฮ่าวคือหนึ่งในราชันผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งซาจิ่วตงและเจ้าสำนักต่างก็ไม่ต้องการให้เรื่องนี้ลุกลามบานปลายออกไป ถ้าเลิกลากันได้ก็เป็นเรื่องดี

เหล่าภูตผีไม่ได้กระจัดกระจายออกไป หลังจากที่เมิ่งฮ่าวหลับดวงตาที่สามลง พวกมันก็ยังคงลอยอยู่ในบริเวณนั้น ดูเหมือนว่าพร้อมที่จะขยับตัวเคลื่อนไหวได้ทุกเมื่อ ถ้าเมิ่งฮ่าวร้องเรียกพวกมันอีกครั้ง

“สหายเต๋าจิ่วจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า) แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความวู่วามของสหายเต๋าจิน ทั้งเหตุการณ์บนสะพาน และสิ่งที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้”

“แต่มันก็ไม่ได้ผิดไปทั้งหมด มีความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แม้แต่เหล่าฟูก็ยังรู้สึกได้ว่ามีเจตจำนงอยู่ภายในเขตสุสานแห่งนี้ โดยส่วนตัวแล้วเหล่าฟูคิดว่ามันไม่ใช่เจตจำนงของปรมาจารย์ชางหมาง แต่สหายเต๋าจินเชื่อว่ามันใช่”

“สหายเต๋าจิ่วจุน เหล่าฟูคาดเดาว่าท่านก็คงจะสัมผัสถึงมันได้เช่นกัน รังสีสังหารของมันมุ่งเป้ามาที่ท่าน…”

“นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมสหายเต๋าจินถึงต้องโจมตีท่าน มันเชื่อว่าเจตจำนงของปรมาจารย์ชางหมางต้องการให้ท่านตายไป มันเชื่อว่าด้วยการสังหารท่าน ก็จะทำให้ท่านปรมาจารย์พึงพอใจ และบางทีอาจจะได้รับความรู้แจ้งอีกด้วย” เจ้าสำนักอธิบายถึงเหตุผลที่ทำไมจินหยุนซานถึงต้องโจมตีเมิ่งฮ่าวตามนี้

สีหน้าเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนี้ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก็ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในพื้นดิน จากนั้นก็พยักหน้าด้วยท่าทางครุ่นคิด โดยไม่ได้กล่าวคำปฏิเสธใดๆ

ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักไม่ต้องการจะพูดคุยถึงเรื่องนี้อีกต่อไป จึงชี้ไปยังแท่นบูชาเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“สหายเต๋าจิ่วจุน แท่นบูชานี้คือสถานที่สำหรับการก้าวเข้าไปเหนือจุดสูงสุด ในเขตสุสานแห่งนี้ มีอยู่ทั้งหมดเก้าแห่ง แต่ละแห่งก็มีแท่นบูชาเช่นเดียวกันนี้”

“สันนิษฐานว่าแท่นบูชามีการเชื่อมต่อกับปรมาจารย์ชางหมาง และท่านก็เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน สำหรับรายละเอียดของเรื่องนี้ แม้แต่หลังจากที่ตรวจดูบันทึกโบราณมามากมาย ก็ยังไม่อาจจะค้นพบถึงร่องรอยใดๆ”

“แต่การเข้าไปสู่เหนือจุดสูงสุดก็มีอยู่ในที่แห่งนี้อย่างแน่นอน ก่อนที่ท่านจะมาถึงเมื่อครู่นี้ สหายเต๋าจิน, สหายเต๋าซาและเหล่าฟูได้รับความรู้แจ้งมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังคงห่างไกลจากการทะลวงผ่านอยู่ค่อนข้างมาก”

ขณะที่พูดมันก็เข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง

ถึงแม้ว่าในอดีตที่ผ่านมามันจะปฏิบัติต่อเมิ่งฮ่าวด้วยดี แต่ตอนนี้ก็มองว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกัน ทำให้น้ำเสียงมีความจริงใจมากขึ้นกว่าเดิม

“ตอนนี้มีเวลาอย่างจำกัด สหายเต๋าจิ่วจุน ลองไปพยายามได้รับความรู้แจ้งจากแท่นบูชานั้นเป็นอย่างไร? ยากที่จะบอกได้ว่าท่านจะโชคดีอย่างไรบ้าง แต่ก็น่าจะลองดู สำหรับสหายเต๋าอื่นๆ ถ้าท่านไม่รังเกียจ เหล่าฟูหวังว่า…คงจะยอมให้พวกมันขึ้นไปบนแท่นบูชานั้นด้วยเช่นกัน เพื่อบรรลุความรู้แจ้ง นอกจากนี้…พวกเราก็มีเวลาไม่มากแล้ว” ด้วยเช่นนั้นเจ้าสำนักก็ประสานมือและโค้งตัวลง เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้า

“ก็ดี” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย โบกสะบัดชายแขนเสื้อบินไปยังแท่นบูชา สังเกตเห็นได้ในทันทีว่าแท่นบูชานี้มีคุณสมบัติที่แปลกๆ ซึ่งเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงนั่งลงขัดสมาธิตรงจุดกึ่งกลางโดยไม่ลังเลในทันที

ขณะที่ทำเช่นนั้นผู้ฝึกตนอื่นๆ จากชางหมางพ่ายก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และกระทำตาม ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งสำหรับโอกาสของตนเอง ก่อนหน้านี้พวกมันได้แต่เฝ้ารออยู่ตรงด้านนอกแท่นบูชา ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์เต๋าให้กับสามราชันผู้ยิ่งใหญ่ ในตอนนั้นพวกมันไม่มีสิทธิ์เข้าไปใกล้ แต่ตอนนี้กลับมีโอกาสที่จะเหยียบย่างลงไป

ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะอยู่บนแท่นบูชา แต่ก็ไม่มีใครที่จะไปหาเรื่องเขา ตราบเท่าที่พวกมันมีท่าทางเคารพนอบน้อม ก็จะไม่ไปกระตุ้นรังสีสังหารของเมิ่งฮ่าวขึ้นมา

พวกมันบินมาทีละคน หลังจากที่ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าว ก็เลือกสถานที่สำหรับนั่งลงขัดสมาธิและเข้าฌานของตนเอง รวมทั้งซ่างกวนหงและผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนอื่นๆ ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกมันซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ด้วยเช่นกัน คนทั้งหมดบินมายังแท่นบูชา แม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาแปดแก่นแท้ทั้งสองคนของเมิ่งฮ่าวก็มาด้วย

ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองมีท่าทางแตกต่างไปเล็กน้อยในตอนนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตี้จิ่วจื้อจุน พวกมันรู้สึกกดดันน้อยที่สุด นั่งลงขัดสมาธิอยู่ข้างกายเมิ่งฮ่าว ทำตัวเป็นผู้พิทักษ์เต๋าในขณะที่เขาค้นหาความรู้แจ้ง

เจ้าสำนักมีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง นั่งลงขัดสมาธิอยู่ระหว่างจินหยุนซานและแท่นบูชา ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ทั้งเมิ่งฮ่าวและจินหยุนซานก็เข้าใจถึงความหมายที่แอบซ่อนอยู่ในการกระทำนี้

มันกำลังเรียกร้องความเสถียรภาพ ไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้กันขึ้นมา!

จินหยุนซานแอบถอนหายใจ อันที่จริงมันเลิกล้มความคิดที่จะไปต่อสู้กับเมิ่งฮ่าวมานานแล้ว เหล่าภูตผียังคงมีอยู่และมันก็รู้ว่าถ้าตนเองขยับตัวเคลื่อนไหว ก็จะต้องถูกสังหารไปทั้งร่างกายและวิญญาณอย่างแน่นอน

“ไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวต้องใช้เวลากี่วันในการค้นหาความรู้แจ้งบนแท่นบูชา สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับที่เห็น ยิ่งพยายามรู้แจ้งนานขึ้น ก็จะยิ่งได้รับมากขึ้น แต่คนทั้งหมดก็มีข้อจำกัดของตนเอง มันอาจจะได้เปรียบในแง่ของการต่อสู้ แต่แท่นบูชาก็ต้องใช้ความรู้แจ้งและโชควาสนาส่วนตัว และมีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับพื้นฐานฝึกตนอีกมากด้วยเช่นกัน เมิ่งฮ่าวผู้นี้…อย่างมากที่สุดก็คงไม่เกินห้าวัน!”

จินหยุนซานแค่นเสียงเย็นชา ตัวมันเองอยู่บนแท่นบูชาได้สูงสุดเจ็ดวันก็บรรลุถึงขีดจำกัด ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น มันก็ยังคงตื่นขึ้นมาจากการค้นหาความรู้แจ้งนี้

เจ้าสำนักและซาจิ่วตงก็ใช้เวลาเจ็ดวันเช่นเดียวกัน ในตอนนี้ไม่เพียงแต่จินหยุนซานเท่านั้นที่อยากรู้ว่าเมิ่งฮ่าวจะใช้เวลานานเท่าใด ซาจิ่วตงก็กำลังคิดเรื่องเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน

แม้แต่เจ้าสำนักก็กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะมีสีหน้าที่สงบนิ่ง แต่ดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความครุ่นคิด ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว

แท่นบูชาเงียบสงบไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่ผู้คนนับสิบนั่งลงขัดสมาธิ และหลับตาลงเพื่อค้นหาความรู้แจ้ง

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวหลับตาลง เสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ในจิตใจ ขณะที่ทำการเชื่อมต่อกับแท่นบูชา

ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่าความคิดของตนเองกำลังโลดแล่นไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ปราณและโลหิตเริ่มเคลื่อนที่ช้าลง แม้แต่พื้นฐานฝึกตนก็เริ่มสงบลงอย่างถึงที่สุด แต่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์และพลังจิตก็เริ่มหมุนคว้างเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าจากความเร็วตามปกติ

เห็นได้ชัดว่าการนั่งเข้าฌานบนแท่นบูชานี้ ได้มุ่งเน้นไปที่ทำให้พลังในการค้นหาความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการเข้าไปอยู่เหนือจุดสูงสุดสามารถจะทำได้ง่ายขึ้น

ราวกับว่าเมิ่งฮ่าวกำลังจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ยังดวงดาวต่างๆ ยังการเปลี่ยนแปลงของโลก ยังกระแสแห่งกาลเวลา ยังจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง เขากำลังมองไปยังทุกสรรพสิ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวได้เห็นสิ่งต่างๆ เช่นนี้ แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการเดินทางผ่านพลังจิตเช่นนี้ อันที่จริงเหตุการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนกับสิ่งที่เมิ่งฮ่าวเคยพบเห็นมาในตอนที่มองไปยังภาพวาดในอุโมงค์!

เวทผนึกที่อยู่ภายในร่าง ซึ่งอยู่ในท่ามกลางการกลายเป็นแก่นแท้ ต้องพบเจอกับขั้นตอนการเร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหันนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากที่ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เมิ่งฮ่าวก็ฟื้นคืนสติกลับมาอย่างช้าๆ ด้วยจิตใจที่เต้นรัว

“แท่นบูชานี้ช่วยประทานพลังให้กับการรู้แจ้งของผู้คน สามารถใช้ขับเคลื่อนแปดแก่นแท้ให้กลายเป็นเก้าแก่นแท้ และสามารถช่วยขับเคลื่อนจากเก้าแก่นแท้ให้เข้าไปอยู่เหนือจุดสูงสุด…ในตอนนี้สิ่งสำคัญมากที่สุดของข้าไม่ใช่เหนือจุดสูงสุด แต่เป็นการสร้างเวทผนึกรุ่นเก้า และจากนั้นก็เป็นแก่นแท้ที่เก้าของข้า!”

“ข้าจะใช้แท่นบูชานี้…ได้รับความรู้แจ้งเวทผนึกรุ่นเก้า!” เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในจิตใจ ขณะที่เมิ่งฮ่าวเพ่งสมาธิไปยังความคิดของตนเอง ไม่สนใจสิ่งใดๆ เพ่งนิ่งไปที่การค้นหาความรู้แจ้งของเวทผนึกรุ่นที่เก้าโดยสิ้นเชิง!

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดถึงเวทผนึกนี้ แต่ตรงกันข้าม เขาเริ่มเตรียมการสำหรับเรื่องนี้มานานแล้ว!

“เวทผนึกรุ่นเก้าของข้า…จะถูกสร้างขึ้นมาจาก…เวทผนึกสวรรค์ มันจะกลายเป็น…เวทผนึกสวรรค์ของข้าเอง!” เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าสายฟ้ากำลังฟาดลงมาในจิตใจ ขณะที่ความคิดเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน กลิ่นอายของความเข้าใจขั้นสูงสุดก็พุ่งขึ้นมา สายลมเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ และเริ่มหมุนวนไปรอบๆ ร่างกาย

จิตใจเมิ่งฮ่าวทำการค้นหาความรู้แจ้งที่เกี่ยวข้องกับเวทผนึกสรรค์โดยสิ้นเชิง เขาจะยกระดับเวทผนึกสวรรค์ให้สูงขึ้นจากการเป็นวิชาเวทหรือความสามารถศักดิ์สิทธิ์ ให้กลายเป็นเวทผนึกของตัวเอง เมื่อไหร่ที่มันถูกประทับลงไปในจิตวิญญาณของตนเอง มันก็จะกลายเป็น…เวทผนึกอสูรรุ่นที่เก้า!

กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว ถ้าเมิ่งฮ่าวต้องการทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ก็จะต้องใช้เวลานานมาก แต่ด้วยแท่นบูชานี้ ทำให้สามารถจะเพิ่มความรวดเร็วได้หลายเท่าตัว

เวลาผ่านไปหลังจากนั้นหนี่งวัน ความผันผวนที่แตกต่างกันกำลังกระจายออกมาจากผู้ฝึกตนแต่ละคน ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้กำลังกระจายเป็นกลิ่นอายของระดับเก้าแก่นแท้ออกมา และผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้ก็กำลังกระจายเป็นความรู้สึกถึงจุดสูงสุดออกมา

สีหน้าที่แตกต่างกันแวบขึ้นมาบนใบหน้าของแต่ละคน บ้างก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกยินดี บ้างก็สับสน บ้างก็เสียใจ บ้างก็บูดบึ้งขุ่นเคือง

เมื่อถึงวันที่สอง ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้บางคนเริ่มสั่นสะท้าน และมีเหงื่อไหลซึมออกมาท่วมตัว มองเห็นสีหน้าเจ็บปวดบนใบหน้าของพวกมัน แต่ก็ยังคงยืนหยัดด้วยความมุ่งมั่น

วันที่สามก็เห็นได้ชัดว่าผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ทั้งหมดแทบจะยอมแพ้ไปแล้ว มีแต่ผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้เท่านั้นที่ยังคงเพ่งสมาธิไปที่ความรู้แจ้ง

ในตอนเย็นของวันที่สาม ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้หนึ่งคนลืมตาขึ้นมา และโลหิตก็ไหลซึมออกมาจากมุมปาก ขณะที่บินออกไปจากแท่นบูชา เมื่อมันมองกลับไปยังคนทั้งหมดที่อยู่บนแท่นบูชาเหล่านั้น สีหน้าขัดแย้งกันเองก็ปรากฏขึ้น ขณะที่แอบถอนหายใจออกมา แต่หลังจากผ่านไปชั่วขณะดวงตาก็สาดประกายขึ้น หลังจากที่อดทนมาตลอดทั้งสามวัน มันก็ได้รับความรู้แจ้งเป็นอย่างมาก

ในที่สุดผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ก็ลืมตาขึ้นมาทีละคน และบินออกไปจากแท่นบูชา พร้อมกับโลหิตที่ไหลซึมออกมาจากมุมปากมากขึ้น หลังจากที่อดทนจนกระทั่งไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป พวกมันก็ต้องออกไปจากอาณาเขตของแท่นบูชาอย่างไร้ทางเลือก

เมื่อถึงยามเที่ยงคืนของวันที่สาม ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ที่เหลือตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาณและออกไปจากแท่นบูชาทั้งหมด

ที่ยังคงเหลืออยู่มีเพียงแค่เจ็ดคนเท่านั้น ซึ่งก็คือเมิ่งฮ่าวและผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนอื่นๆ จากชางหมางพ่าย

ใบหน้าของจินหยุนซานสงบนิ่ง แต่ภายในใจกำลังหัวเราะอย่างเย็นชา “อย่างมากมันก็แค่อดทนได้อีกไม่เกินสองวันเท่านั้น สำหรับคนอื่นๆ พรุ่งนี้ก็จะตื่นขึ้นมาแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version