Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1489

ตอนที่ 1489

เฉินเหลย

ชีวิตที่สี่ของร่างจำแลงก็เริ่มต้นขึ้นในฤดูหนาวเช่นเดียวกัน บนทวีปที่หก ในคฤหาสน์อันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

นอกจากผู้ฝึกตนบนดาวชางหมางแล้ว ก็ยังมีกลุ่มตระกูลนักรบอยู่ด้วยเช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้วนักรบมักจะมีศักดิ์ฐานะที่สูงส่งกว่ามนุษย์ธรรมดา ถึงแม้ว่าสำหรับผู้ฝึกตนแล้ว พวกมันก็ไม่แตกต่างจากมดแมลงเท่าใดนัก

ในชีวิตที่สี่นี้ ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะที่เป็นเสาจู่ (นายน้อย) แห่งคฤหาสน์นั้น ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงของโลกมนุษย์แห่งทวีปที่หก หลายปีก่อนคฤหาสน์แห่งนี้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูล ซึ่งมีผู้ก่อตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่แข็งแกร่งมากที่สุดในดินแดนแห่งนั้น เป็นที่รู้จักกันดีในโลกมนุษย์ด้วยศักดิ์ฐานะที่เป็นแม่ทัพธนู

แม่ทัพธนูนั้นแซ่เฉิน วันที่เมิ่งฮ่าวถือกำเนิดขึ้นมา เกิดพายุฝนและสายฟ้าฟาดลงมาอย่างรุนแรงที่ด้านนอก ดังนั้นเขาจึงเป็นที่รู้จักกันในนามว่าเฉินเหลย (สายฟ้าแซ่เฉิน)

วันที่ชีวิตที่สี่ของร่างจำแลงเริ่มต้นขึ้น ร่างจริงเมิ่งฮ่าวกำลังพุ่งผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ห่างไกลออกไปจากตำแหน่งที่เศษกระจกชิ้นที่เจ็ดเคยตั้งอยู่ ที่ด้านหลังเมิ่งฮ่าวเสียงแผดร้องคำรามด้วยโทสะดังก้องออกมา

พายุฝุ่นระเบิดออกมา ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว กลายเป็นศีรษะขนาดใหญ่ ซึ่งมีใบหน้าที่เกรี้ยวกราด แต่ก็รู้สึกหวาดกลัวเมิ่งฮ่าวมากเกินไปกว่าที่จะไล่ตามเขามาได้ มันแผดร้องคำรามออกมาจนทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต้องสั่นสะท้าน

“วันที่เหล่าฟูปลดผนึกตัวเองได้ ก็จะไปหาเจ้า! เหล่าฟูจะกวาดล้างสายโลหิตของเจ้าไป กำจัดคนที่มีสายสัมพันธ์ร่วมกับเจ้าให้หมดสิ้น!” ใบหน้าที่มีโทสะแผดร้องคำราม

ร่างจริงเมิ่งฮ่าวยิ้มออกมาและกล่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“เจ้าไม่จำเป็นต้องมาหาข้า ก่อนที่เจ้าจะปลดผนึกออกไปได้ ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง”

ความยากลำบากที่จะได้ครอบครองชิ้นส่วนกระจกนี้เกินกว่าชิ้นอื่นๆ ก่อนหน้านี้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะมีระดับพลังเช่นในตอนนี้ก็ตาม ก็ยังต้องพบเจอกับอันตรายจนแทบจะหลบหนีมาไม่ทัน

เมิ่งฮ่าวบินต่อไปด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น ตอนนี้เหลือเศษกระจกให้รวบรวมอีกแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ก็จะสามารถเรียกกระจกทองแดงออกมาได้แล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้เขาก็สามารถจะรู้สึกได้ว่ากระจกทองแดงอยู่ที่ไหนแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถบอกทิศทางที่จะไปค้นหาได้อย่างแน่นอนก็ตามที

“เมื่อไหร่ที่ข้าได้เศษกระจกชิ้นสุดท้ายมา ก็สามารถเรียกกระจกทองแดงมาได้แล้ว!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งหวัง ขณะที่พุ่งตรงไปยังทิศทางของเศษกระจกชิ้นที่แปด

ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะมีความรวดเร็วเช่นนี้ แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสิบปีในการบรรลุถึงเป้าหมาย ขณะที่เข้าไปใกล้เศษกระจกชิ้นที่แปดเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

ไม่มีกระแสน้ำวนในที่แห่งนี้ แต่มองเห็นบุปผาดอกหนึ่งแทน!

มันมีขนาดที่ใหญ่โตอย่างน่าประหลาดใจยิ่ง ประมาณครึ่งหนึ่งของดาวชางหมาง

รากของมันดูเหมือนว่าจะหลอมรวมเข้าไปในความว่างเปล่า สำหรับดอกของมัน ยังไม่ได้เบ่งบานออกมา ยังคงเป็นดอกตูมขนาดเล็กเท่านั้น แต่กลิ่นอายที่กระจายออกมานั้น ทำให้แม้แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเศษกระจกชิ้นที่แปดตั้งอยู่ภายในดอกตูมนั้น แต่ไม่ว่าจะปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์อะไรออกไป ก็ไม่อาจจะทำให้พื้นผิวของดอกตูมนั้นเสียหายได้แม้แต่น้อย

จากสิ่งที่สามารถจะรับรู้ได้ บุปผาดอกนี้อยู่ในขั้นตอนที่กำลังเจริญเติบโต หลังจากที่เวลาผ่านไป มันก็จะบานขึ้นมาเองตามธรรมชาติ โดยที่เขาไม่ต้องช่วยเหลือหรือสอดมือเข้าไปแต่อย่างใด

“ข้าต้องรอจนกระทั่งมันบานขึ้นมา…?” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ก็พยายามปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกไปอีก แต่ในที่สุดก็ต้องถอนหายใจยอมแพ้

“คงไม่เป็นไร ร่างจำแลงข้ายังอยู่ในชีวิตที่สี่ มันต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ข้าอยู่ที่นี่…เฝ้ารอต่อไปน่าจะดีกว่า” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น ขณะที่คิดคำนวณไปมา “อย่างเร็วที่สุด ก็น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งร้อยปี อย่างช้าสุดก็คงหลายร้อยปี แต่เมื่อไหร่ที่มันบานขึ้นมา…ข้าก็สามารถจะผ่านเข้าไปได้ จากนั้นเศษกระจกชิ้นที่แปดก็จะเป็นของข้า” ด้วยเช่นนั้นเขาก็ขยับร่างเคลื่อนไหว ไปปรากฏกายขึ้นอยู่บนใบไม้ใบหนึ่งของบุปผาดอกนั้น นั่งลงขัดสมาธิหลับตาและเริ่มเข้าฌานอย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไป หลายปีต่อมาบนทวีปที่หกแห่งดาวชางหมาง ชีวิตที่สี่ของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าว, เฉินเหลยไม่ได้เป็นเด็กทารกอีกต่อไป ตอนนี้เขามีอายุสิบขวบ แต่ก็กลายเป็นบุคคลสำคัญในคฤหาสน์นั้นไปแล้ว

เขามีศักดิ์ฐานะที่สูงส่ง และมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง มีความก้าวหน้าในการฝึกฝนเป็นนักรบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปราณภายในร่างที่ก้าวหน้าขึ้นไป และยังถูกเรียกว่าแม่ทัพธนูน้อยอีกด้วย!

ถึงแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์เช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้สนใจในการฝึกฝนมากนัก ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการละเล่นมากกว่า

บิดามารดาไม่ค่อยพอใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าใดนัก เช่นเดียวกับท่านปู่ซึ่งเป็นแม่ทัพธนูผู้ก่อตั้งตระกูลนี้ขึ้นมา แต่พวกมันก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น

สามารถจะกล่าวได้ว่าเฉินเหลยเติบโตขึ้นมาด้วยการถูกตามใจมากเกินไป ในที่สุดเขาก็มีอายุที่จะแต่งงานได้แล้ว แต่จู่ๆ ก็เกิดความสนใจในการเดินทางท่องเที่ยวขึ้นมา เขานำผู้รับใช้เดินทางไปทั่วทั้งแคว้น เมื่อถึงเวลาที่หมดความสนใจในเรื่องนี้ ก็มีอายุสามสิบปีแล้ว ในที่สุดบิดามารดาก็คิดว่าเขาคงพร้อมที่จะสร้างครอบครัว และกำลังจะจัดเตรียมงานวิวาห์ให้…

แต่จากนั้นจู่ๆ เฉินเหลยก็ตกหลุมรักหญิงสาวนางหนึ่ง หญิงสาวนางนี้มีศักดิ์ฐานะที่สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง นางเป็นธิดาของตี้หวัง (ผู้ครองแคว้น) เฉินเหลยเคยพบเห็นมาครั้งหนึ่งในตอนที่นางออกมาด้านนอก และไปดึงดูดความสนใจเขาในทันที หลังจากนั้นเขาก็ทุ่มเทพลังทั้งหมดในการไล่ตามรบเร้าพัวพันนาง

เขาทุ่มเทส่งมอบของขวัญเพื่อให้นางรู้สึกชื่นชอบ และกระทำทุกอย่างตามที่นางร้องขอ จนถึงจุดที่ทั่วทั้งตระกูลถูกลากเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ และในที่สุดคนทั้งหมดก็เริ่มประสบกับความยุ่งยากจากเรื่องนี้ ปู่ของเฉินเหลยค่อยๆ อ่อนแอลงไปเนื่องจากอายุมากแล้ว และบิดาถึงแม้ว่าจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่นักรบธนู เนื่องจากการไล่ตามพัวพันหญิงสาวที่งดงามของเฉินเหลย ทำให้ทั่วทั้งตระกูลเริ่มตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด

ในช่วงหนึ่งที่เขาติดตามพัวพันกงจู่ (ธิดาผู้ครองแคว้น) นางได้จัดการให้เขาไปสังหารขุนนางสำคัญผู้หนึ่ง จนทำให้เกิดเป็นหายนะอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา เพื่อที่จะช่วยชีวิตของเฉินเหลย ตระกูลต้องขายทรัพย์สมบัติที่เหลือทั้งหมดไป นอกจากนี้ท่านปู่ของเขาก็ต้องไปรับใช้ผู้ครองแคว้น และกระทำภารกิจที่เสี่ยงอันตรายทั้งหมด ทำให้ท่านเข้าไปใกล้หลุมฝังศพมากขึ้นกว่าเดิม

เดิมทีท่านปู่ของเขาคิดว่าจะปลุกเฉินเหลยให้ตื่นขึ้นมาจากความเพ้อฝันได้แล้ว แต่ท่านจะคาดคิดได้อย่างไรว่าถึงแม้จะตื่นขึ้นมาในโลกความจริง แต่จากนั้นเฉินเหลยก็คิดจะเข้าไปสู่การฝึกตนเพื่อกลายเป็นเซียน? ตระกูลตกต่ำลงจนสิ้นเนื้อประดาตัว และเฉินหลยก็มีอายุเกือบครบสี่สิบปี แต่ก็ยังคงต้องการจะมุ่งหน้าไปค้นหาวิถีแห่งเซียน

เขาเดินไปบนเส้นทางนั้นตลอดทั้งสิบปี แต่ก็มีความก้าวหน้าน้อยมาก

สิบปีต่อมา เขามีอายุครบห้าสิบปี เส้นผมกลายเป็นสีดอกเลา และเริ่มมีร่างกายที่อ่อนแอลงไป พร้อมกับดวงตาที่ไร้ประกายในที่สุดก็กลับมาบ้าน แต่ก็พบว่ากลายเป็นคฤหาสน์ที่ว่างเปล่าและถูกปล่อยปละละเลย รวมทั้งหลุมฝังศพอีกมากมาย

คนทั้งหมดตกตายไป ปีที่สองหลังจากที่เขาจากไป ท่านปู่ก็ตายไป ในปีที่แปดบิดาก็ถูกศัตรูผู้แข็งแกร่งสังหารไป สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลต่างก็ถูกสังหารไปทั้งหมด และเนื่องจากความเมตตาของผู้รับใช้ที่รอดชีวิตอยู่เท่านั้น ทำให้ทุกคนได้รับการกลบฝังกันทั้งหมด

เมื่อเฉินเหลยมองเห็นทั้งหมดนี้ จิตใจก็ว่างเปล่า พิรุณโหมกระหน่ำในวันนั้น และเขาก็ยืนสั่นสะท้านอยู่ใต้สายฝน เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ และเริ่มร้องไห้ออกมา หยดน้ำตาไหลรวมเข้ากับน้ำฝน ขณะที่ตกลงไปบนพื้น

“เตีย (ท่านพ่อ)…เหนียง (ท่านแม่)…จู่ฟู่ (ท่านปู่)…” ตอนนี้เขาตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง คิดย้อนกลับไปยังชีวิตของตนเอง และทันใดนั้นก็อยากจะหัวเราะออกมา นึกไปถึงความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ของตนเอง นึกไปถึงพลังลมปราณที่ตนเองสร้างขึ้นมาได้ในช่วงอายุตอนนั้น นึกไปถึงช่วงชีวิตที่ง่ายดายของตนเอง เขามักจะคิดว่าตราบเท่าที่ตนเองต้องการ ต่อให้สิ่งที่ยากเย็นก็สามารถจะทำได้สำเร็จ

เขารักชอบสิ่งที่งดงามในชีวิต ชอบท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง ตกหลุมรักกงจู่ผู้งดงาม ทุ่มเททรัพย์สมบัติไปเป็นจำนวนมากเพื่อต้องการพิชิตหัวใจนาง

ในที่สุดนางก็ใช้ให้เขาไปสังหารใครบางคน ใครบางคนที่ตนเองไม่มีทางสังหารได้ ดังนั้นจึงเกิดหายนะขึ้นมา

เขาทำให้ตระกูลต้องพบเจอกับหายนะ และจากนั้นก็ออกไปฝึกฝนเพื่อกลายเป็นเซียน ตอนนี้เมื่อกลับมาแล้ว เฉินเหลยก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เรื่องโดยสิ้นเชิง เป็นผู้ที่สังหารคนในตระกูลทั้งหมดไป

ในความขมขื่นนั้น เขาหัวเราะจนกระทั่งกระอักโลหิตออกมา และจากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้น พร้อมกับสายฝนที่กำลังตกลงมา

วันต่อมาเมื่อฝนหยุดตก เฉินเหลยก็ตื่นขึ้นมา และมีท่าทางแก่ชราลงไปมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงแค่ห้าสิบปีเท่านั้น แต่ก็ราวกับว่ากำลังก้าวเท้าเข้าไปในโลงศพแล้วข้างหนึ่ง

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผู้ดูแลสุสานคนใหม่ก็อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น ซึ่งมักจะขบคิดถึงชีวิตและความบ้าคลั่งในอดีตของตนเองอยู่เป็นประจำ

เวลาผ่านไป สิบปีต่อมา หลังของเขาก็งองุ้มลงตามอายุ รู้ตัวดีว่าชีวิตของตนเองใกล้จะถึงจุดจบแล้ว ในช่วงฤดูหนาวของปีนั้น อากาศหนาวเย็นเป็นอย่างยิ่ง ยามรุ่งอรุณที่สดใสในวันหนึ่ง หิมะเริ่มตกลงมา และทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมา ที่ห่างไกลออกไป มองเห็นทหารกลุ่มหนึ่ง

เหล่าทหารขี่ม้าอยู่รอบๆ เกี้ยวหลังหนึ่ง ขณะที่เข้ามาใกล้ คนที่อยู่ในเกี้ยวก็กล่าวบางอย่างกับทหารเหล่านั้น และพวกมันก็หยุดชะงักนิ่ง หญิงสาวที่น่ารักนางหนึ่งโผล่ออกมาจากเกี้ยว ด้วยชุดที่ดูหรูหราราคาแพง ข้างกายนางเป็นหญิงชรานางหนึ่ง ยึดจับแขนของนางไว้ ขณะที่เดินตรงมายังคฤหาสน์

“จู๋หน่ายไน (ท่านย่า) ทำไมต้องมาหยุดอยู่ที่นี่?” หญิงสาวเยาว์วัยถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่สงสัยเล็กน้อย

“เมื่อเห็นสถานที่แห่งนี้แล้ว ก็ทำให้นึกไปถึงสหายเก่าผู้หนึ่ง” หญิงชรากล่าวตอบ ถึงแม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังดูดี และสวมใส่ด้วยชุดที่มีราคาแพงเช่นเดียวกับหญิงสาวเยาว์วัย ถึงแม้ว่าใบหน้านางจะมีริ้วรอยเหี่ยวย่นไม่มากนัก แต่ก็ยังคงมีสีหน้าแดงก่ำอยู่เล็กน้อย

ย่าหลานสองคนมาหยุดอยู่ตรงด้านนอกของคฤหาสน์ที่รกร้าง หญิงสาวเยาว์วัยเป็นคนฉลาด จึงไม่ถามอะไรอีก สำหรับหญิงชราสีหน้านางเต็มไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน ราวกับว่ากำลังขบคิดไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ในแววตานางยังมีความรู้สึกสำนึกผิดอยู่เล็กน้อยอีกด้วย

หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก หญิงชราก็ถอนหายใจออกมา และกำลังจะหันหลังจากไป แต่ทันใดนั้นหลานสาวก็กล่าวขึ้นมาว่า “จู๋หน่ายไน มีใครบางคนอยู่ที่นั่น”

หญิงสาวเยาว์วัยชี้นิ้วไป ขณะที่ประตูของคฤหาสน์เปิดออก และเฉินเหลยก็ปรากฏขึ้น ก้มตัวลงไปราวกับเป็นชายชราผู้หนึ่ง

แทบจะทันใดนั้น เหล่าทหารก็รีบวิ่งตรงมาเพื่อปกป้องคุ้มครอง หญิงชราสังเกตดูใบหน้าของเฉินเหลย และความไม่แน่ใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“เจ้าคือ…?” นางถามขึ้น

เฉินเหลยก้มศีรษะลงและกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “หนึ่งในผู้รับใช้ในที่แห่งนี้ เป็นผู้ดูแลสุสาน”

“เจ้าอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้มานานแล้ว?” หญิงชราถาม

“สิบปีแล้ว” เขากล่าวตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

ตอนแรกหญิงชราไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เสาจู่ (นายน้อย) ของสถานที่แห่งนี้…มัน…เคยกลับมาบ้างหรือไม่?”

เฉินเหลยอ้าปากขึ้นราวกับว่าจะตอบกลับไป แต่จากนั้นก็ปิดปากลงและส่ายหน้าไปมาเท่านั้น

หญิงชรายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน จากนั้นก็เรียกให้ทหารทิ้งเงินไว้สองตำลึงเพื่อช่วยเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับดูแลสุสาน จากนั้นนางก็กลับไปที่เกี้ยว และเริ่มเคลื่อนที่ออกไป ขณะที่เป็นเช่นนั้นหญิงชราก็เลิกม่านหน้าต่างเกี้ยวขึ้นมา และมองกลับไปยังเฉินเหลย ครั้งนี้นางสามารถจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาเขาได้อย่างชัดเจน และทันใดนั้นแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง

จากนั้นแววตานางก็เริ่มว่างเปล่าไปอย่างช้าๆ และปิดผ้าม่านลง

ขบวนคนทั้งหมดหายลับตาไปยังที่ห่างไกล

เฉินเหลยไม่สนใจเงินสองตำลึง และมองขึ้นไปยังหิมะที่กำลังตกลงมา ทำไมเขาจะจำหญิงชรานางนี้ไม่ได้? นางคือกงจู่ที่เขาเคยหลงรักเมื่อหลายปีก่อน

เขาพูดพึมพำด้วยเสียงที่มีแต่ตนเองเท่านั้นที่จะได้ยิน เดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์

หิมะเริ่มตกลงมาหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

เฉินเหลยจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และเดินเข้าไปตรงสวนหลังบ้าน ซึ่งมีหลุมฝังศพตั้งอยู่ เขาขุดหลุมให้กับตัวเองไว้นานแล้ว ค่อยๆ ปีนป่ายลงไปอย่างช้าๆ ตรงก้นหลุมเป็นโลงศพใบหนึ่ง และเขาก็เข้าไป หลังจากที่ปิดฝาโลง ก็สูดลมหายใจสุดท้ายเข้าไป จากนั้นก็หลับตาลง

“ช่างเป็นชีวิตที่สูญเปล่านัก” เขาคิด และไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกเลย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version