ตอนที่ 1490
เสียวหย่าปา
ในชีวิตแรกเขาคือผู้ถูกเลือก ชีวิตที่สองเขาบรรลุถึงจุดสูงสุดแห่งโลกมนุษย์ ชีวิตที่สามจบลงด้วยโลหิต ชีวิตที่สี่ส่วนใหญ่แล้วสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง
หลังจากที่ตายไปในชีวิตที่สี่ วิญญาณของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวลอยออกไป และเครื่องหมายผนึกชิ้นที่สี่ก็เปล่งแสงระยิบระยับ
วิญญาณผ่านเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ และชีวิตที่ห้าก็เริ่มต้นขึ้น
ขณะที่เกิดขึ้นเช่นนั้น ร่างจริงเมิ่งฮ่าวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนใบไม้ของบุปผาขนาดใหญ่ เฝ้ารอคอยให้บุปผาดอกนั้นเบ่งบานขึ้นมา
บนเส้นทางเหนือสูงสุด เยียนเอ๋อร์กำลังดิ้นรนเดินตรงไปพร้อมกับกัดฟันแน่น นางเดินผ่านทัณฑ์ที่สามไป และกำลังเดินตรงไปยังทัณฑ์ที่สี่ เฝ้าย้ำเตือนตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องเดินต่อไป จากสิ่งที่นางได้ยินมาจากคนอื่นๆ ที่กลับมาจากเส้นทางเหนือสูงสุดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางรู้ว่า…อาจารย์ของตนเองอยู่ในทัณฑ์ที่ห้า
และนางกำลังเข้าไปใกล้สถานที่แห่งนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ซือจุน เยียนเอ๋อร์กำลังจะไปหาท่านแล้ว” ความมุ่งมั่นอันเข้มข้นสาดประกายขึ้นมาในดวงตานาง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เดินตรงไป
ชีวิตที่ห้าเริ่มต้นขึ้นในท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาในฤดูหนาว ในเมืองๆ หนึ่งบนทวีปที่ห้า เด็กทารกที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ไม่ได้ทำให้ครอบครัวนั้นมีความยินดี และจริงๆ แล้วก็มีแต่ความเงียบกริบด้วยซ้ำ
ชั่วขณะต่อมา บิดาหนุ่มก็เดินออกมาจากภายในบ้านด้วยความขมขื่น…และวางทารกน้อยลงไปบนพื้นถนน พร้อมกับพึมพำขึ้นมาว่า
“ไม่ใช่ว่าเตียเหนียง (บิดามารดา) ไม่ต้องการเจ้า แต่เป็นเพราะว่าเจ้า…”
เหตุผลที่ทารกน้อยถูกทอดทิ้งเป็นเพราะว่าเกิดมาพิการ มีลิ้นที่สั้นมาก ทำให้…ไม่สามารถจะพูดได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็มีปานอยู่บนใบหน้า ทำให้ดูน่าเกลียดจนน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ทารกน้อยร้องไห้ด้วยเสียงแหบแห้งออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ดังก้องออกไปในสายลมอันหนาวเย็น ในที่สุดบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น สวมใส่เสื้อกันฝนที่ถักทอขึ้นมาจากต้นกก และสวมใส่หมวกทรงสูงปีกกว้าง เมื่อมันได้ยินเสียงร้องไห้นั้นก็เดินตรงมายังทารกน้อย
มันก้มตัวมองลงไป ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็อุ้มทารกน้อยขึ้นมาและนำกลับไปบ้าน บุรุษผู้นั้นอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ที่หนาวเย็นหลังหนึ่ง ภายในมีแต่กลิ่นอายแห่งความตายที่ลอยคละคลุ้งไปทั่ว
ซากศพที่แข็งทื่อซากหนึ่งเริ่มมองเห็นได้อย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าบุรุษผู้นั้น…มีหน้าที่จัดการกับซากศพ
บุรุษผู้นี้คือเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของเมืองนี้นั่นเอง
“ถูกทอดทิ้ง พูดไม่ได้ และดูน่าเกลียดราวกับเป็นสุนัขจรจัด ข้าจะเรียกเจ้าว่าเสียวหย่าปา (ใบ้น้อย)” บุรุษผู้นั้นมองไปยังทารกและยิ้มออกมา หลังจากที่ถอดหมวกออก ก็เผยให้เห็นว่ามันมีแผลเป็นยาวพาดลงมาทั้งใบหน้า ทำให้ดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง รอยยิ้มมันค่อนข้างจะน่าตกใจ แต่แววตากลับมีแต่ความอ่อนโยน
เสียวหย่าปาถูกเลี้ยงดูด้วยข้าวต้มจากบิดาผู้ชันสูตรศพ เริ่มเติบโตขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าความหนาวเย็นแห่งฤดูหนาวได้ซึมลึกเข้าไปถึงในกระดูก ทำให้มักจะอ่อนแอและหวาดกลัวต่อความหนาวเย็น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์เท่าใดนัก จนราวกับว่าถ้าสายลมพัดมาอย่างรุนแรง ร่างเขาก็แทบจะปลิวลอยไปกับสายลมนั้น
เพราะว่าบิดาของเขาคือผู้ชันสูตรศพ เขาจึงมักจะต้องเกี่ยวข้องกับซากศพอยู่เป็นประจำ เมื่อใดที่มีใครในบริเวณนั้นตายไป ซากศพก็จะถูกส่งมาให้บิดาตนเองทำการตรวจสอบ ทำให้เสียวหย่าปาเริ่มมีความชำนาญเช่นเดียวกับบิดาอย่างช้าๆ
“เสียวหย่าปา จำไว้ว่าบาดแผลเช่นนี้ มักจะบ่งบอกว่าม้ามถูกทำลายไป…”
“เห็นหรือไม่ นี่คือพิษชนิดหนึ่ง”
“เสียวหย่าปา กรีดหน้าอกให้เปิดออก ดูว่ามีแมลงตัวเล็กๆ สีขาวอยู่หรือไม่ ถ้าเห็นก็อย่าได้ไปแตะต้องสัมผัสโดนพวกมัน”
“เสียวหย่าปา ดูคนผู้นี้ ศีรษะและลำตัวมันถูกเฉือนให้เปิดออก พลังอะไรที่จะทำเช่นนี้ได้? แม้แต่นักรบก็ไม่อาจจะทำให้เกิดเป็นรอยแผลเช่นนี้ได้ บาดแผลเหล่านี้เกิดขึ้นจากเซียน ไม่รู้ว่ามันไปมีเรื่องกับเซียนได้อย่างไร?”
ตอนแรกการสอนโดยมีตัวอย่างให้เห็นเช่นนี้ทำให้เสียวหย่าปารู้สึกหวาดกลัว แต่ในที่สุดก็รู้สึกคุ้นเคยกับการที่ต้องมาเผชิญหน้ากับซากศพเช่นนี้ เมื่อเขามีอายุสิบกว่าปีก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป และบางครั้งก็จะอยู่ด้านหลังบิดาเพื่อศึกษาเรียนรู้การผ่าศพ
บิดาเริ่มแก่ชราและอ่อนแอลงไปมากขึ้น ในที่สุดก็ไม่อาจจะดูแลเสียวหย่าปาได้อีก กลายเป็นว่าเสียวหย่าปาต้องช่วยเหลือดูแลมันแทน
หลายปีผ่านไป และในที่สุดผู้ชันสูตรศพนั้นก็มีปัญหาเรื่องการมองเห็น และไม่อาจจะทำงานของตนเองได้อีกต่อไป ด้วยคำรับรองจากมัน ทำให้เสียวหย่าปากลายเป็นผู้ชันสูตรศพคนใหม่ของเมืองแห่งนี้
เสียวหย่าปาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังคงมีร่างกายที่อ่อนแอ ราวกับว่าไม่ได้เติบโตอย่างเต็มที่ รอยปานบนใบหน้ามีขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้ดูน่าเกลียดอย่างเหลือทน และพูดไม่ได้เหมือนเช่นเคย
เมื่อรวมเข้ากับความจริงที่ว่าเขามักจะอยู่กับซากศพตลอดเวลา ทำให้กลายเป็นบรรยากาศอันน่ากลัว จนไม่มีหญิงสาวคนใดต้องการจะแต่งงานกับเขา
แต่เสียวหย่าปาก็ไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ คล้ายกับบิดาของตนเอง ที่อยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต
เขามักจะทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ราวกับว่ามีพรสวรรค์ในเรื่องเช่นนี้ สิบปีผ่านไปทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นผู้ชันสูตรศพที่ดีที่สุดในเขตพื้นที่แห่งนั้น และมักจะถูกเมืองอื่นๆ เรียกใช้เพื่อให้ไปเป็นที่ปรึกษาอยู่เนืองๆ
ผู้ชันสูตรศพชราเริ่มเสื่อมโทรมลงไปอย่างต่อเนื่อง มันไม่มีภรรยา มีแต่เสียวหย่าปาเท่านั้น มันมักจะจู้จี้ขี้บ่น ในขณะที่เสียวหย่าปารับฟังอย่างเงียบๆ และยิ้มออกมาเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาไม่อาจจะพูดได้ แต่ก็สามารถใช้ภาษามือ ช่วยให้สามารถสื่อสารได้ในระดับหนึ่ง
หลายปีผ่านไป เสียวหย่าปาเริ่มเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นผู้ชันสูตรศพ ซึ่งมักจะถูกเรียกไปยังเมืองหลวงอยู่เป็นประจำ ในที่สุดผู้ชันสูตรศพชราก็ตายไปอย่างสงบ ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ เสียวหย่าปาร้องไห้ออกมา
หลังจากที่ฝังชายชราและทำพิธีเคารพศพเสร็จสิ้น เสียวหย่าปาก็ออกจากเมืองนี้ และย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวง
ปีแล้วปีเล่าผ่านไป ไม่นานนักเสียวหย่าปาก็มีอายุครบห้าสิบปี และมีชื่อเสียงจนแม้แต่ผู้ครองแคว้นก็ยังรู้จัก แค่มองไปยังซากศพใดๆ เขาก็สามารถจะบอกได้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุของการตาย แม้แต่โครงกระดูกที่ตายไปแล้วหลายปีเขาก็ยังสร้างความประหลาดใจให้กับคนทั้งหมดได้
ในที่สุดความเข้าใจเกี่ยวกับซากศพของเขาก็บรรลุถึงระดับที่ยากจะอธิบายออกมาได้ และเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการชันสูตรศพของแคว้น
อย่างไรก็ตามผู้ชันสูตรศพก็ยังคงเป็นผู้ชันสูตรศพ และมักจะถูกถือว่าเป็นผู้ต่ำต้อย ถึงแม้ว่าจะบรรลุถึงระดับสูงสุดของอาชีพนี้ แต่ก็มักจะได้รับความเคารพจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในอาชีพเดียวกันเท่านั้น
แต่เสียวหย่าปาก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด รู้ดีว่าตนเองไม่มีอะไรนอกจากเป็นใบ้ ไม่สามารถจะพูดได้ หลายปีต่อมาเขาก็กลับไปยังบ้านเกิด และเริ่มเขียนตำราขึ้นมา
เขารวบรวมความรู้ที่เกี่ยวข้องกับซากศพ รวมทั้งประสบการณ์และความคิดเห็นของตนเองทั้งหมด กลายเป็นตำราหนึ่งเล่ม ฤดูหนาวในปีหนึ่ง ขณะที่เสียวหย่าปากำลังมองออกไปยังหิมะนอกหน้าต่าง ก็คิดไปถึงเรื่องที่ผู้ชันสูตรศพชรามักจะเล่าให้ฟัง
มันบอกว่าไปพบกับเสียวหย่าปาที่ยังเป็นเด็กทารกบนถนน ในท่ามกลางฤดูหนาวของปีหนึ่ง
เสียวหย่าปานั่งครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อยู่ที่นั่น และแววตาก็ค่อยๆ กลายเป็นความว่างเปล่าไปอย่างช้าๆ เขามีชีวิตเหลืออยู่ไม่มากแล้ว และยังคงหวาดกลัวต่อความหนาวเย็นเหมือนเช่นเคย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าชีวิตของตนเองไร้ความอบอุ่นแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาคือซากศพซากหนึ่ง
เขารู้ตัวดีว่าคงไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้นานมากนัก ในยามราตรีของคืนวันหนึ่ง เขาเดินออกไปจากบ้าน และพบเจอกับพายุหิมะที่พัดมาปะทะใบหน้า กลับมายังจุดที่ผู้ชันสูตรศพชราบอกว่าเคยพบเขาในที่แห่งนี้
เขามองลงไปบนพื้น ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมา จากนั้นก็นอนลงและมองขึ้นไปในท้องฟ้า ปล่อยให้ความหนาวเย็นโอบกอดตนเองไว้ ปล่อยให้หิมะตกลงมาบนใบหน้า แต่ก็ไม่ได้ละลายไป
รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีทางจางหายไป…
เขาจากไปเช่นเดียวกับที่มาถึง ในชั่วชีวิตนี้ เขาไม่เคยพูดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว…
ชีวิตที่ห้าของเขาสิ้นสุดลง น่าเบื่อเล็กน้อยเมื่อเทียบกับชีวิตที่สี่ของเขา ไม่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับชีวิตแรก ไม่มีพลังอำนาจเช่นเดียวกับชีวิตที่สอง ไม่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตเช่นชีวิตที่สาม ชีวิตที่ห้านี้ผ่านไปด้วยความสามัญธรรมดาทั่วไป
เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขามีก็คือความเงียบสงบสุข รวมทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญในอาชีพของตนเอง
วิญญาณของเขาลอยออกมา และดูเหมือนว่าจะหลอมรวมเข้ากับสายลมและหิมะ เวลาเดียวกันนั้น เครื่องหมายผนึกชิ้นที่ห้าก็เริ่มสาดประกายเจิดจ้าขึ้นมา
อีกครั้งที่เขาถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ และชีวิตที่หกก็เริ่มต้นขึ้น
เวลาเดียวกันนั้น เยียนเอ๋อร์กำลังสั่นสะท้าน ขณะที่เดินไปตามเส้นทางเหนือสูงสุด อ๋าวเฉี่ยนที่เป็นสหายนางมานับร้อยปีกำลังเดินมาพร้อมกัน และในตอนนี้นางกำลังบรรลุถึงจุดสิ้นสุดของทัณฑ์ที่สี่
พื้นฐานฝึกตนพุ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการเดินทางของนาง และได้รับความรู้แจ้งเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้นางอยู่ในระดับของราชันเต๋า ทัณฑ์ที่สี่มีความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
ก้าวแล้วก้าวเล่าที่นางเดินไป ทำให้เข้าไปใกล้ทัณฑ์ที่ห้ามากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายนางก็บรรลุถึงเขตชายแดน และดวงตาก็เริ่มสาดประกายเจิดจ้ามากขึ้น ในที่สุดก็มองเห็นอาจารย์แล้ว…
เขากลายเป็นซากศพนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น มาหลายร้อยปีแล้ว…
ซากศพนั้นปกคลุมไปด้วยฝุ่นละออง แต่ก็มองเห็นรูปร่างหน้าตาได้อย่างชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาทำให้จิตใจเยียนเอ๋อร์ต้องสั่นสะท้าน นางคุกเข่าลงไปโขกศีรษะคารวะอย่างเงียบๆ
“ซือจุน” นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง สองแก้มเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำตา ถึงแม้ว่าเขาจะตายไปแล้วนับร้อยปี แต่ความทรงจำของอาจารย์ก็ยังคงชัดเจนเหมือนเช่นเคย
นางไม่เคยลืม ไม่มีทางลืมเลือนไปได้
นี่คือความมุ่งมั่นของนาง คือเหตุผลที่ทำไมนางถึงต้องปีนป่ายขึ้นไปบนชางหมางไถ และเดินไปบนเส้นทางเหนือสูงสุด เหตุผลทั้งหมดนั้นก็คืออาจารย์ของนาง นางต้องการมองเห็นด้วยสองตาของตนเองว่าท่านตายไปแล้วจริงหรือไม่
ในตอนนี้นางสามารถจะมองเห็นซากศพของเขาแล้ว แต่ก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้ได้ ถ้านางก้าวเข้าไปในทัณฑ์ที่ห้าแม้แต่ก้าวเดียว ก็จะตายไปทั้งร่างกายและวิญญาณ นางได้แต่ยืนอยู่ที่นั่น ห่างจากเขาแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ร้องไห้ออกมา แต่หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ
“ไม่ถูกต้อง…” แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่าง ขณะที่มองไปยังหน้าผากของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าว หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก นางก็กัดฟันแน่นและยื่นแขนขวาตรงออกไปยังใบหน้าของเขา
เพื่อที่จะทำเช่นนั้น นางต้องยื่นมือเข้าไปในทัณฑ์ที่ห้า แรงกดดันระเบิดลงไปบนแขนนาง ทำให้กลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิตในทันที แต่ก่อนที่จะเกิดขึ้นเช่นนั้น นางก็สามารถจะแตะสัมผัสหน้าผากของเขาได้
เสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่เยียนเอ๋อร์กระอักโลหิตออกมา ถอยโซเซไปทางด้านหลัง แขนขวาของนางถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น นางได้ค้นพบความลับที่ไม่มีใครสามารถจะสังเกตเห็นได้
“หน้าผากของซือจุนเปิดออก นี่คือเต๋าแห่งการเกิดใหม่ เวทนี้…คือสิ่งที่ท่านส่งมอบให้กับข้า วิญญาณท่าน…ไม่ได้กระจายไปตามธรรมชาติ คนอื่นอาจจะคิดเช่นนั้น แต่ข้าเป็นศิษย์ของท่าน ความรู้สึกบอกกับข้าว่า ซือจุน…ยังไม่ตาย!”
“แต่ถ้าท่านยังไม่ตาย แล้วทำไมเปลวไฟวิญญาณถึงได้ดับลง…? ยกเว้นแต่…” เยียนเอ๋อร์ไม่ใช่หญิงสาวเยาว์วัยอีกต่อไป นางเป็นคนฉลาด และเข้าใจในความคิดของเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างดี จึงสามารถจะคาดเดาความเป็นจริงได้ แต่นางก็ไม่ต้องการจะยอมรับมัน
หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก แววตานางก็เริ่มสาดประกายขึ้น และเริ่มสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง ความมุ่งมั่นในแววตาเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น
“ซือจุน…ถึงแม้ว่าท่านจะอยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ข้าก็จะเดินทางไปค้นหาท่าน…” ด้วยเช่นนั้น นางจึงลุกขึ้นมายืน ด้วยการกลืนเม็ดยาลงไป ทำให้แขนขวาของนางเริ่มฟื้นฟูกลับคืนมา
จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และมองไปยังซากศพเมิ่งฮ่าวอยู่นานเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นนางและอ๋าวเฉี่ยนก็หันหลัง มุ่งหน้ากลับไปยังทางออกของเส้นทางเหนือสูงสุด จุดหมายปลายทางก็คือ ไปค้นหาอาจารย์จากทวีปทั้งเก้าบนดาวชางหมาง
นางเข้าใจดีว่าเต๋าแห่งการเกิดใหม่มีผลอย่างไรบ้าง และจากร่องรอยที่เห็น ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าในตอนนี้ อาจารย์ต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งบนดาวชางหมางอย่างแน่นอน