Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1517

ตอนที่ 1517

ไล่ล่าหานเป้ย

จินหยุนซานกำลังสั่นสะท้านกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมด เมื่อไหร่ที่มันตระหนักว่ารังสีสังหารนี้เป็นของใคร ก็จะต้องยื่นมือลงไปลูบกำไลเก็บสมบัติโดยไม่รู้สึกตัวในทันที ทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย

“เป็นจิ่วจุน…”

“กลิ่นอายนี้ มัน…มันแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร?”

“มันหายตัวไปนับร้อยปี ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในที่สุดมันก็กลับมา!”

แต่ละคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ขณะที่เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ในอากาศเหนือดาวชางหมางชั่วขณะ ก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังทวีปแรก

ในวิหารสตรีศักดิ์สิทธิ์บนทวีปแรก ชางหมางเซิ่งหนี่ว์ (สตรีศักดิ์สิทธิ์ไร้สิ้นสุด) หานเป้ยนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ ใบหน้านางซีดขาว และมีท่าทางเหนื่อยล้า ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่กำลังกระจายลงมาจากด้านบน และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

แต่รอยยิ้มนั้นก็นิ่งแข็งไปอย่างรวดเร็ว และนางก็ลุกขึ้นมายืน ความไม่อยากจะเชื่อและตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ไม่อยากจะเชื่อว่ามันตื่นขึ้นมาแล้ว! เป็นไปไม่ได้!” หานเป้ยสั่นสะท้าน เริ่มถอยไปทางด้านหลัง ทันใดนั้นแสงของการเคลื่อนย้ายทางไกลก็พุ่งขึ้นมาอยู่รอบๆ ร่าง และนางก็หายตัวไป ชั่วขณะต่อมาแรงกดดันอย่างที่ยากอธิบายได้ ก็ตกลงมากระแทกลงไปบนวิหารสตรีศักดิ์สิทธิ์

ทั่วทั้งวิหารถูกเผาไหม้ไปในทันที ถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่ด้านบน ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหาร ขณะที่มองออกไปยังที่ห่างไกล

“เจ้าไม่มีทางหนีรอด! วันนี้ถ้าเจ้าไม่ตาย เมิ่งโหม่วก็จะไม่ยอมหยุด” เมิ่งฮ่าวกล่าวผ่านร่องฟัน

เมิ่งฮ่าวแทบจะตายไปตรงด้านนอกของความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ทำให้รู้สึกเกลียดชังหานเป้ยลึกลงไปจนถึงกระดูก สาบานว่าจะต้องกำจัดนางไปให้จงได้ สำหรับฉู่อวี้เยียน เขาได้เตรียมการสำหรับสถานการณ์นั้นไว้แล้ว

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้นราวสายฟ้า และจากนั้นเสียงระเบิดขนาดใหญ่ก็ดังก้องออกมา เมื่ออากาศถูกแยกส่วนออกจากกัน กลิ่นอายอันดุร้ายน่ากลัวของเมิ่งฮ่าวกระจายออกปกคลุมไปทั่วทั้งดวงดาว รวมเข้ากับสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนดาวดวงนี้ รวมทั้งมนุษย์และผู้ฝึกตน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้ ต่างก็สั่นสะท้านไปตามๆ กัน ราวกับว่าหายนะอันร้ายแรงกำลังปรากฏขึ้นเหนือศีรษะพวกมันอย่างกะทันหัน

“เกิดอะไรขึ้น?” จินหยุนซานหอบหายใจ รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันดุร้ายน่ากลัวที่กระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว เห็นได้ชัดว่ามีความแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนในตอนที่คนทั้งสองต่อสู้กันมากมายหลายเท่านัก

จินหยุนซาน ก็เหมือนกับเจ้าสำนักและคนอื่น ที่มีความก้าวหน้าขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ จากการถูกโจมตีอยู่ในเขตสุสานมาหลายครั้ง พลังการฝึกตนของคนทั้งหมดต่างก็เพิ่มมากขึ้น ในตอนนี้จินหยุนซานเชื่อว่าตนเองอยู่ในจุดสูงสุดของระดับเก้าแก่นแท้ แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังของเมิ่งฮ่าว สีหน้าก็ต้องสลดลง และต้องยอมรับว่าในตอนนี้กลิ่นอายของเมิ่งฮ่าวช่างน่ากลัวอย่างถึงที่สุด

“ทำไมมันถึงพยายามจะสังหารศิษย์ตี้อีจง?” ถึงแม้หานเป้ยจะเป็นเซิ่งหนี่ว์แห่งชางหมางพ่าย แต่เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้แล้ว นางก็เป็นแค่ศิษย์ธรรมดาเท่านั้น “ใครก็ตามที่หลบหนีจากไปก่อนที่มันจะพุ่งลงมายังตี้อีจงได้ ต้องไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน!”

ดวงตาจินหยุนซานแวบประกายขึ้น ขณะที่โผล่ออกไปตรงด้านนอก มันไม่ได้จะไปขัดขวางเมิ่งฮ่าว แค่ต้องการดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น

ไม่เพียงแต่มันเท่านั้น ซาจิ่วตงก็โผล่ออกมาจากพายุทราย ที่อยู่ในเขตทะเลทรายอันกว้างใหญ่บนดาวชางหมางด้วยเช่นกัน มีท่าทางตกใจอย่างถึงที่สุด สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และดวงตาก็แวบขึ้นอันเนื่องมาจากความรู้สึกไม่สบายใจที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ มันบอกได้ว่ามีบางสิ่งที่เลวร้ายกำลังเกิดขึ้น และพุ่งออกไปคอยสังเกตดูในทันที

เซียนไป๋อู้เฉินลังเลอยู่ชั่วขณะ ในตอนนี้นางไม่กล้าจะไปแสดงตัวต่อหน้าเมิ่งฮ่าวซึ่งอยู่ในสภาวะเช่นตอนนี้ ดังนั้นจึงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้สังเกตเห็นกลิ่นอายของเขา

นางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่แสดงตัวออกไป เจ้าสำนักและผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนอื่นๆ ต่างก็บินฝ่าอากาศของดาวชางหมางไป เพื่อดูว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น

จิตใจพวกมันกำลังเต้นรัวจากธรรมชาติอันน่ากลัวของกลิ่นอายเมิ่งฮ่าว ทำให้ต้องสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าสำนัก ซึ่งมีพื้นฐานฝึกตนที่สูงส่ง จนมันคิดว่าน่าจะอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว มั่นใจว่าสามารถจะเอาชนะการรวมพลังกันของจินหยุนซานและผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนอื่นๆ ได้

แต่ในตอนนี้ กลิ่นอายของเมิ่งฮ่าวก็ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ระดับของแรงกดดันอันเข้มข้นนี้ทำให้มันแทบไม่อาจจะยอมรับได้

“มัน…กลายเป็นผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร? เป็นที่เข้าใจได้ว่าพื้นฐานฝึกตนของพวกเรามีความก้าวหน้าขึ้น จากแท่นบูชาเหนือสูงสุดในเขตสุสาน มันหายตัวไปแค่ไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น แต่เมื่อกลับมาในตอนนี้ จู่ๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างคาดไม่ถึง!” เจ้าสำนักครุ่นคิด

ดวงตาเจ้าสำนักแวบประกายขึ้น และมุ่งหน้าตรงไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้หานเป้ยแห่งตี้อีจง จริงๆ แล้วก็เป็นศิษย์ของตนเอง

มันยอมรับนางในฐานะที่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียว และตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังพยายามจะไล่ล่าสังหารนาง…เห็นได้ชัดว่าต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่

ขณะที่คนทั้งหมดกำลังพุ่งตรงไปยังทวีปแรก ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ไปปรากฏตัวขึ้นตรงตำแหน่งอื่น เป็นสถานที่ซึ่งมีกลิ่นอายของการเคลื่อนย้ายทางไกลอย่างเข้มข้น นี่คือสถานที่ที่หานเป้ยกำลังเคลื่อนย้ายทางไกลมา

เป็นสำนักขนาดเล็ก ซึ่งไม่ได้อยู่ใต้การบังคับบัญชาของชางหมางพ่ายโดยตรง ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวปรากฎตัวขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ตัวสำนักเองถูกสร้างอยู่บนภูเขาที่แตกต่างกันเก้าลูก ภูเขาทั้งหมดเริ่มสาดประกายด้วยแสงอันเจิดจ้าออกมา เห็นได้ชัดว่ามันคือค่ายกลเวท นอกจากนั้นชั่วขณะต่อมา ปราณกระบี่เก้าเล่มก็พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวอย่างกะทันหัน

พื้นดินในบริเวณนั้นสั่นสะเทือน ขณะที่ภูเขาทั้งเก้าพุ่งขึ้นไปในอากาศ ยังมีผู้ฝึกตนของสำนักแห่งนั้นอยู่อีกด้วย ดวงตาพวกมันเปล่งประกายสีแดงออกมา และดูเหมือนว่าไม่อาจจะควบคุมจิตใจของตนเองได้ ขณะที่พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวอย่างบ้าคลั่ง

หานเป้ยอาศัยอยู่บนดาวชางหมางมานานหลายปี และมักจะระมัดระวังตัวต่อเมิ่งฮ่าวอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเร็วๆ นี้ แต่การเตรียมตัวทั้งหมดของนางก็ยังคงมีอยู่

นี่คือหนึ่งในสถานที่ที่นางเตรียมการไว้ เพื่อจัดการกับเมิ่งฮ่าวโดยเฉพาะ

“สังหารมัน!” ผู้ฝึกตนนับหมื่นแผดร้องคำรามออกมา รวมเข้ากับค่ายกลเวท ภูเขาทั้งเก้า และปราณกระบี่ทั้งเก้าสาย พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความรวดเร็ว

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบประกายขึ้น รังสีสังหารพุ่งขึ้นไปมากกว่าเดิม เมื่อคนเหล่านี้พยายามมาหยุดตนเองไว้ ก็หมายความว่าพวกมันอยู่ฝ่ายเดียวกับหานเป้ย และด้วยเช่นนั้นก็เป็นศัตรูของตนเอง!

“ตาย!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยความมุทะลุ ฟาดฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรง ทุกสรรพสิ่งมืดสลัวลงไป และสายลมอันรุนแรงก็พุ่งขึ้นมา ขณะที่หัตถ์ยักษ์ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น

หัตถ์ยักษ์กระแทกลงไปยังลำแสงทั้งเก้าของปราณกระบี่ ซึ่งแข็งแกร่งอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิดเป็นปัญหาสำหรับผู้ฝึกตนเก้าแก่นแท้ทั่วไป อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เมื่อพวกมันกระแทกลงไปยังหัตถ์เวทที่เมิ่งฮ่าวส่งออกไป ก็แตกกระจายไปในทันที ไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อต้านได้แม้แต่เพียงครั้งเดียว

เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา ขณะที่ปราณกระบี่ถูกทำลายไป ต่อมาหัตถ์ยักษ์ก็กระแทกลงไปยังภูเขา ทำให้รอยแตกร้าวเริ่มกระจายออกไปทั่ว พวกมันสั่นสะเทือนจากนั้นก็ระเบิดขึ้นกลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา

หัตถ์ยักษ์นั้นดูเหมือนว่าไม่ได้ช้าลงแม้แต่น้อย กระแทกลงไปยังผู้ฝึกตนและค่ายกลเวท ทำให้เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องออกไป

ฝ่ามือขนาดใหญ่บดขยี้ลงไปบนพื้น เกิดเป็นรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นรอบๆ บริเวณนั้น เลื้อยออกไปในทั่วทุกทิศทาง ค่ายกลเวทถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิง และผู้ฝึกตนที่กำลังพุ่งตรงมาโจมตีก็กลายเป็นก้อนเนื้อและโลหิตไป

ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบ ถ้าเมิ่งฮ่าวเป็นแค่ผู้ฝึกตนเก้าแก่นแท้ธรรมดาทั่วไป กับดักนี้ถึงแม้ว่าไม่อาจจะทำให้เขาต้องตายไป แต่อย่างน้อยก็อาจจะทำให้เชื่องช้าลงไปได้ และสิ่งที่หานเป้ยต้องการในตอนนี้ก็คือเวลา

แต่สำหรับเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ การทำลายสถานที่แห่งนี้ช่างง่ายดายราวกับสูดลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบประกายขึ้น ขณะที่โบกสะบัดมือออกไปในอากาศ เพื่อค้นหากลิ่นอายของหานเป้ย หลังจากที่ตรวจสอบดูเล็กน้อย ก็แค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปทั่วทุกทิศทาง แต่ก็ไม่อาจจะค้นหาร่องรอยของหานเป้ยได้

“นกแก้ว!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจ

นกแก้วบินออกมาจากถุงสมบัติ กระจายเป็นแสงระยิบระยับออกมา ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า เมิ่งฮ่าวส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปอีกครั้ง และครั้งนี้นกแก้วก็แผดร้องออกมา เพื่อช่วยเกื้อหนุนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าว

ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ตูมมมมมมม!

สายลมขนาดใหญ่ม้วนกวาดออกไป โดยมีเมิ่งฮ่าวเป็นจุดศูนย์กลาง ขณะที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกไปหลายเท่าตัว ก็ปกคลุมไปทั่วทั้งดาวชางหมาง จนกระทั่งในที่สุดก็มองเห็นหานเป้ยอยู่ในสำนักเล็กๆ อีกแห่ง

ในทันทีที่ตรึงตำแหน่งของหานเป้ยไว้ได้ เมิ่งฮ่าวก็ก้าวเดินตรงไป อากาศแยกส่วนออกจากกัน และเมิ่งฮ่าวก็ก้าวเข้าไปในรอยแตกนั้น เพียงชั่วขณะก็ไปปรากฏกายขึ้นตรงตำแหน่งที่เพิ่งจะรับรู้ได้เมื่อครู่นี้

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวปรากฎตัวขึ้น หานเป้ยก็ก้าวเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกลของสำนักนั้น ทันใดนั้นนางก็มองไปรอบๆ และพบว่าเมิ่งฮ่าวกำลังพุ่งฝ่าอากาศตรงมา

ใบหน้านางซีดขาว และตบฝ่ามือลงไปยังค่ายกลเวทในทันที เสียงระเบิดดังก้องขึ้น ขณะที่ค่ายกลเวทเริ่มทำงานขึ้นมา เวลาเดียวกันนั้นนางไม่ยอมรอให้เมิ่งฮ่าวมาทำลายสิ่งที่ตนเองจัดเตรียมไว้ในสำนักแห่งนี้

กลับทำลายสำนักไปทั้งหมดด้วยตนเอง จากนั้นก็ยืมพลังของการทำลายล้างนั้น มาเกื้อหนุนค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกล และแสงระยิบระยับก็เปล่งประกายอยู่รอบๆ ตัว ร่างหานเป้ยเริ่มจางหายไป ราวกับว่ากำลังจะเคลื่อนย้ายทางไกลออกไปได้ทุกเมื่อ

แต่เมิ่งฮ่าวจะปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร? รีบยกมือขวาขึ้นมาและชี้นิ้วตรงไปยังหานเป้ยในทันที

“เวทรุ่นแปด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version