ตอนที่ 1523
โชคชะตาของข้า
เสียวเป่าแกะสลักไปอย่างต่อเนื่องทีละมีด ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างช้าๆ ในที่สุดก็ผ่านไปอีกสิบปี ตอนนี้รูปแกะสลักนั้นมีความสมบูรณ์แบบไปแล้วเก้าในสิบส่วน และโลกที่ด้านนอกก็หนาวเย็นมากขึ้นกว่าเดิม
ลมหนาวโชยพัดมา และอาหารก็เริ่มร่อยหรอลดน้อยลง แม้แต่ภายในถ้ำก็ยังได้หนาวลงไปมากขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจะนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีกแลย
สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงไปจนกระทั่งภายในถ้ำมีความอบอุ่นกว่าด้านนอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทุกสรรพสิ่งเริ่มถูกแช่แข็ง และในที่สุดก็เต็มไปด้วยน้ำแข็งจนทำให้คนทั้งหมดเหลืออยู่เพียงแค่ทางเลือกเดียวเท่านั้นก็คือ อยู่ต่อและตายไป หรือออกไปจากถ้ำและพยายามค้นหาสถานที่แห่งอื่นเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป
คนกลุ่มแรกจากไปและไม่เคยกลับมาอีกเลย จากนั้นก็กลุ่มคนที่สองและสาม…
ในเช้าวันหนึ่ง เสียวเป่าตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ เป็นอย่างยิ่ง ยื่นมือออกไปแตะสัมผัสภรรยา และตระหนักว่าตัวนางแข็งเป็นอย่างมาก จึงเริ่มบีบนวดให้นาง ในที่สุดก็โอบกอดไว้ในวงแขน จนกระทั่งนางฟื้นตื่นขึ้นมา เขารู้ว่าทำไมนางถึงเป็นเช่นนี้ ในตอนกลางคืนนางจะนอนอยู่ข้างกายตนเอง ช่วยป้องกันลมหนาวไม่ให้พัดมาโดนร่างเขา
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เสียวเป่าก็กล่าวว่า “ออกไปจากสถานที่แห่งนี้กันเถอะ!”
ไม่กี่วันต่อมา ผู้คนกลุ่มที่สี่ก็เดินเข้าไปในหิมะและสายลมหนาว โลกทั้งปวงกลายเป็นสีขาวไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่คนทั้งหมดทำการค้นหาสถานที่อีกแห่งเพื่อนั่งหลบความหนาวเย็น สามวันหลังจากนั้น จู่ๆ ก็มีหิมะถล่มลงมา ฝังกลุ่มคนทั้งหมดไว้ภายใน
เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่กลางอากาศตรงด้านบน กำลังมองลงไป จนกระทั่งถึงจุดนี้ เขาได้สะกดข่มความต้องการที่จะสอดมือเข้าไปมากมายหลายครั้ง แต่ตอนนี้ก็รู้สึกราวกับว่าไร้ทางเลือกใดๆ อีกแล้ว และกำลังจะกระทำการบางอย่างแต่ก็ต้องอ้าปากค้างขึ้น
ตรงหิมะที่ด้านล่าง ในเขตพื้นที่แห่งหนึ่งเริ่มสั่นสะเทือนไปมา และจากนั้นหญิงสาวนางหนึ่งได้คลานออกมา ซึ่งก็คือเยียนเอ๋อร์ นางคือผู้ฝึกตน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะสูญเสียพลังการฝึกตนไปแล้ว แต่ร่างกายก็ยังคงแข็งแรงกว่ามนุษย์ธรรมดา
ถึงแม้ว่านางจะอยู่ในขั้นที่อ่อนแอมากที่สุด ก็ยังสามารถจะลากคนผู้หนึ่งออกมาจากกองหิมะพร้อมกับตนเองได้ ซึ่งก็คือเสียวเป่าที่หมดสติไป ภายในโลกแห่งหิมะและน้ำแข็ง ทุกสรรพสิ่งเงียบสงบ เยียนเอ๋อร์โอบกอดเสียวเป่าเพื่อให้ความอบอุ่น จากนั้นก็แบกไว้บนไหล่ มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงงชั่วขณะ และเริ่มย่ำเดินไปอย่างเหนื่อยล้า
เมิ่งฮ่าวรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ภายในใจอย่างลึกล้ำ ในตอนนี้เยียนเอ๋อร์อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง แต่นางก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีออกไปด้วยความมุ่งมั่น
นางเดินไปเป็นเวลาสามวัน ตลอดช่วงเวลานั้นเสียวเป่าหมดสติไปอยู่ตลอดเวลา เนื้อตัวร้อนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้เกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เป็นเพราะว่าเขาถูกแช่แข็งจนแทบจะตายไปแล้ว
หยดน้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตาเยียนเอ๋อร์ ร้องตะโกนเรียกเสียวเป่า และโอบกอดให้ความอบอุ่น กลิ่นอายของเสียวเป่าเริ่มอ่อนแอลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวมองเห็นวิญญาณของเสียวเป่าแทบจะโผล่ออกมาจากร่างแล้ว เป็นการบ่งบอกว่าชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงได้บรรลุถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น ชี้นิ้วตรงไปยังร่างจำแลง
แต่จากนั้นเขาก็ต้องหยุดชะงักนิ่งไปในทันที พร้อมกับมือที่สั่นสะท้าน มีบางสิ่งบางอย่างกำลังต่อต้านเขาอยู่ ทำให้ไม่อาจจะสอดมือเข้าไปได้
ยิ่งไปกว่านั้นเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่าเครื่องหมายผนึกที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วทั้งแปดชิ้นจู่ๆ ก็เกิดรอยแตกร้าวขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าถ้าตนเองสอดมือเข้าไปมากกว่านี้ พวกมันก็จะถูกทำลายไป และเครื่องหมายผนึกชิ้นที่เก้าก็จะหายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิง
เมิ่งฮ่าวตกอยู่ในห้วงความเงียบ ถึงแม้ว่านี่คือครั้งแรกที่เขาพยายามจะควบคุมเครื่องหมายผนึกชิ้นที่เก้า แต่ก็คาดเดาไว้นานแล้วว่าอาจจะเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
“ล้มเหลวหมดแล้ว…?” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิด จ้องมองไปยังวิญญาณของเสียวเป่าด้วยความงุนงง ขณะที่วิญญาณนั้นดิ้นรนที่จะโผล่ออกมาและลอยจากไป
อย่างไรก็ตามในตอนนี้เองที่เยียนเอ๋อร์ได้กระทำการบางอย่างที่ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องสั่นสะท้านไปโดยสิ้นเชิง นางมองไปยังใบหน้าที่ซีดขาว และหน้าอกที่แทบจะไม่กระเพื่อมขึ้นลงของเสียวเป่าด้วยแววตาที่อ่อนโยน
“ซือจุน ข้าชอบท่าน ชาติก่อนเป็นเช่นนี้ และชาตินี้ก็เป็นเช่นกัน…” เยียนเอ๋อร์พึมพำ ยกข้อมือขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก และกัดลงไปเต็มแรง จากนั้นก็จ่อลงไปที่ปากของเสียวเป่า ปล่อยให้โลหิตไหลลงไป
โลหิตของนางคือส่วนที่อบอุ่นมากที่สุด
ชั่วขณะต่อมาบาดแผลที่ข้อมือก็ปิดลง ดังนั้นนางจึงกัดลงไปอีกครั้ง ความเจ็บปวดทางผิวกายไร้ความหมายใดๆ ต่อนาง ตราบเท่าที่โลหิตนี้ยังคงอบอุ่นและสามารถจะหล่อเลี้ยงให้เสียวเป่าฟื้นคืนกลับมาได้ นางก็ยินดีที่จะทำเช่นนี้ โชคชะตาของเสียวเป่ายังไม่ถูกลิขิตให้ต้องตายไป ดังนั้นนางจึงอุ้มเขาขึ้นมา และตะเกียกตะกายกลับไปยังถ้ำที่คนทั้งสองอาศัยอยู่มานานหลายปี หลังจากที่ไปถึงนางก็ล้มลงหมดสติไป
ไม่กี่วันต่อมาเสียวเป่าก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น ถึงแม้จะมองไม่เห็นภรรยา แต่ก็รู้ว่านางได้ช่วยชีวิตตนเองไว้อีกครั้ง
ในความโศกเศร้าขมขื่น เสียวเป่าเริ่มร้องไห้ออกมา ในที่สุดเยียนเอ๋อร์ก็โอบแขนมากอด และคนทั้งสองก็นั่งอยู่ในความหนาวเย็นของถ้ำ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นซึ่งกันและกัน
หลังจากที่เวลาผ่านไปนานสักพัก ทันใดนั้นเสียวเป่าก็ยกมือขึ้นมาลูบคลำไปทั่วร่าง เมื่อไม่พบกับสิ่งที่ตนเองกำลังค้นหา ก็เริ่มสั่นสะท้านไปมา
รูปแกะสลักไม้หายไปแล้ว
รูปแกะสลักนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปแล้วเก้าในสิบส่วน และอยู่กับตนเองมานานหลายสิบปี แต่ในตอนนี้กลับถูกฝังอยู่ในกองหิมะที่ไหนสักแห่ง
หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ เสียวเป่าก็รู้สึกราวกับว่าได้สูญเสียจิตวิญญาณไป ถอนหายใจด้วยความขมขื่นออกมา
เมื่อภรรยาตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ นางไม่พูดอะไร แต่ยามดึกในคืนนั้น หลังจากที่เสียวเป่านอนหลับไป นางก็ลุกขึ้นมายืน จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปที่ปากถ้ำ หลังจากที่หันหน้ากลับมามองยังเสียวเป่าชั่วขณะ ก็กัดฟันแน่นและเดินเข้าไปในพายุหิมะ
นางรู้ว่าโชคชะตาของสามีตนเองคืออะไร
นางเดินไปตามเส้นทางเดิมในตอนที่คนทั้งสองจากไป เนื่องจากสูญเสียโลหิตไปเป็นจำนวนมาก ทำให้นางอ่อนแอเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้ คล้ายกับเป็นเปลวไฟที่อาจจะดับลงไปได้ทุกเมื่อภายใต้สายลมอันหนาวเหน็บเช่นนี้
หลังจากที่เดินไปสองสามวัน นางก็บรรลุถึงสถานที่ที่หิมะได้ถล่มลงมา จากนั้นก็เริ่มขุดลงไป ขุดจนกระทั่งมือของนางถูกแช่แข็งไป
นางขุดศพขึ้นมาซากแล้วซากเล่า ซากศพเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่เดินทางมาพร้อมกับตนเอง ในตอนที่พบเห็นชิ้นไม้แกะสลักนั้นม่านตาก็พร่าเลือนไป
นางยิ้มออกมา เก็บชิ้นไม้ไว้ในเสื้อ จากนั้นก็ดิ้นรนต่อสู้ไม่ให้ตนเองหมดสติไป หมุนตัวและเดินกลับไป หนึ่งวันหลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา แต่ก็มีความมุ่งหวังมากขึ้นเรื่อยๆ
นางเริ่มเดินไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้น และร้อนใจขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สองวันต่อมาก็บรรลุถึงถ้ำแห่งนั้น และยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าตนเองกลับมาได้อย่างไร เดินเข้าไปในถ้ำ และทันทีที่มองเห็นเสียวเป่า ก็โซเซล้มลงไปในอ้อมกอดของเขา
“เสียวเป่า ข้านำ…ไม้แกะสลักนี้กลับมาให้ท่าน…” นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
“เสียวเป่า ข้าสัญญาว่าจะปกป้องท่าน แต่ก็ไม่อาจจะทำได้…”
“ซือจุน ข้า…ชอบท่าน”
เสียวเป่าสั่นสะท้าน ขณะที่กลิ่นอายของเยียนเอ๋อร์จางหายไป
—–
สองสามวันก่อนหน้านี้ เมื่อเสียวเป่าตื่นขึ้นมาก็พบว่าภรรยาได้หายตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่านางจากไปยังที่แห่งใด และเนื่องจากตนเองเป็นคนตาบอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปค้นหาร่องรอยนาง
เขาได้แต่นั่งอยู่ภายในถ้ำด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านเท่านั้น คอยฟังเสียงด้วยจิตใจที่จดจ่อ แต่ทั้งหมดที่ได้ยินก็คือเสียงหวีดหวิวของสายลมเท่านั้น ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของภรรยา
เขารอคอยอยู่ตลอดทั้งวัน จากนั้นก็อีกวัน และอีกวัน ในที่สุดก็เริ่มหมดความหวัง สุดท้ายก็เริ่มหัวเราะอย่างขมขื่น และนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่อยู่ภายในเขตผืนป่าตอนที่ยังเยาว์วัย
“ทำไมข้าถึงต้องเกิดมาตาบอดด้วย?” เขามักจะหลอกตัวเองด้วยความเชื่อที่ว่า ถึงไม่อาจจะมองเห็นโลกนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ในตอนนี้เขาเกลียดความจริงที่ว่าตนเองเป็นคนตาบอด
“คนทั้งหมดจากไปแล้ว เตียเหนียงจากไป หม่านเอ๋อร์จากไป และตอนนี้ท่านก็จากไป…มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่…” หยดน้ำตาไหลลงมานองหน้า เส้นผมเป็นสีดอกเลามานานแล้ว กลายเป็นชายชรานั่งอยู่ภายในถ้ำ ร้องไห้ออกมาด้วยความโดดเดี่ยวเดียวดาย
เขาไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานมากน้อยเท่าใด ตอนแรกหลายชั่วยาม จากนั้นก็หลายวัน ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ในสายลม เป็นเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เขาเริ่มสั่นสะท้านขณะที่ลุกขึ้นมายืน และทันใดนั้นนางก็ล้มลงมาในอ้อมอก
ตัวนางหนาวเย็น ถูกแช่แข็งจนเย็นเยียบไป
“เสียวเป่า ข้านำ…ไม้แกะสลักนี้กลับมาให้ท่าน…” นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
“เสียวเป่า ข้าสัญญาว่าจะปกป้องท่าน แต่ก็ไม่อาจจะทำได้…”
“ซือจุน ข้า…ชอบท่าน”
ประโยคทั้งสามเหล่านี้ฟาดลงมาในจิตใจเสียวเป่าราวกับเป็นสายฟ้า โอบกอดร่างนางไว้ด้วยจิตใจที่สั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี ดูเหมือนว่าลำคอจะตีบตันไป ไม่อาจจะส่งเสียงออกมาได้ รู้สึกราวกับว่าจิตใจกำลังถูกแทงด้วยคมมีด
ทันใดนั้นเสียวเป่าก็กระอักโลหิตออกมา กระจายไปบนร่างของภรรยา จนคล้ายกับกลีบบุปผาสีแดง
คิดย้อนกลับไปยังหญิงสาวเยาว์วัยที่ตนเองพบเจอในเขตผืนป่าเมื่อตอนเยาว์วัย คิดย้อนไปถึงยามราตรีที่คนทั้งสองวิวาห์กัน คิดย้อนไปถึงตอนที่ตนเองเลิกผ้าคลุมหน้าของนางขึ้นมา เลื่อนนิ้วแตะสัมผัสไปบนใบหน้านาง
คิดย้อนไปถึงวันที่หม่านเอ๋อร์ถือกำเนิดขึ้นมา และความสุขของคนทั้งหมด คิดย้อนไปถึงตอนที่สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา และภรรยาก็จะอยู่เคียงข้างกายตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่ตนเองกำลังแกะสลัก คิดย้อนไปถึงความโศกเศร้าเสียใจตอนที่บิดามารดาของตนเองตายไป และนางได้ช่วยปลอบโยนตนเองอย่างไร
คิดย้อนไปถึงความห่วงใยใส่ใจที่นางมีให้ในตอนที่ตนเองเจ็บไข้ได้ป่วย และตอนที่นางใช้ร่างกายตนเองบดบังลมหนาวไว้ ในที่สุดก็คิดย้อนไปถึงตอนที่นางใช้โลหิตของตัวเองหล่อเลี้ยงตนเองหลังจากที่หิมะได้ถล่มลงมา รสชาตินั้นดูเหมือนว่ายังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้น
เสียวเป่าโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนเป็นเวลานาน นานมากๆ ในที่สุดกลิ่นอายของนางก็จางหายไป แต่เสียวเป่าก็ไม่ต้องการจะเชื่อ หยดน้ำตาไหลลงมามากขึ้น
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าอยู่นี่แล้ว เจ้าพักผ่อนสักครู่ เจ้าหนาวมาก ข้าจะช่วยให้เจ้าอบอุ่นขึ้น” เสียวเป่านำซากศพของภรรยากลับเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ พยายามให้ความอบอุ่นด้วยร่างกายของตนเอง