Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1522

ตอนที่ 1522

ดุร้าย

ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังลอยตัวอยู่ในอากาศห่างไกลออกไปที่ด้านบน เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นในทวีปแรก ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังแห่งฟ้าดินที่หายไปอย่างกะทันหันนี้

เมิ่งฮ่าวมองลงไปยังชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงตนเอง ด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวซับซ้อน มองลงไปยังเยียนเอ๋อร์ที่ใบหน้าเสียโฉม และหม่านเอ๋อร์ มองลงไปยังครอบครัวที่ด้านล่าง หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ก็ถอนหายใจออกมา

ในตอนนี้เขายังคงรู้สึกว่า สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการไม่สอดมือเข้าไป

หลังจากผ่านไปสองสามเดือน ถึงแม้ว่าเสียวเป่าจะตาบอด แต่ก็เชี่ยวชาญในเรื่องการแกะสลักเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นทักษะที่มีค่าในโลกอันหนาวเย็นตอนนี้ เนื่องจากเช่นนั้น ทำให้กลายเป็นหนึ่งในท่ามกลางกลุ่มคนอพยพเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในถ้ำบนภูเขา

เนื่องจากได้กินน้อยมาก ทำให้เสียวเป่าค่อยๆ เริ่มซูบผอมลง เช่นเดียวกันภรรยาของตนเอง นางไม่ได้งดงามเหมือนก่อนหน้านี้ และเส้นผมก็กรอบแห้งราวกับเป็นบุปผาที่โรยรา

ความเป็นจริงก็คือว่าในช่วงเวลาที่วิกฤตนี้ เยียนเอ๋อร์สามารถจะเลือกความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิมได้ถ้านางต้องการ ถึงแม้ว่าจะสูญเสียพลังการฝึกตนไป แต่ร่างกายนางก็ยังคงประกอบด้วยพลังแห่งการเกิดใหม่ และด้วยเช่นนั้นถึงแม้ว่าใบหน้านางจะเสียโฉม แต่จะฟื้นฟูกลับคืนมาได้ในไม่ช้า และจะยังคงงดงามเหมือนก่อนหน้านี้ บุคคลที่มีความงดงามเช่นนั้นสามารถจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าโลกแห่งนี้จะตกอยู่ในห้วงหายนะก็ตาม

แต่นางก็เลือกที่จะทำลายโฉมหน้าตนเองไปอีกครั้ง และกระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในทุกครั้งที่มีการฟื้นฟูกลับคืนมา นางจะอยู่กับเสียวเป่าและบุตรี คนทั้งสองคือครอบครัวของนาง

เหมือนกับในตอนที่นางมองเห็นเสียวเป่าเป็นครั้งแรกในปีนั้น และตระหนักว่าเขาคืออาจารย์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ซึ่งตนเองกำลังตามหา หลังจากนั้นนางก็พึมพำว่า “ข้าจะปกป้องท่านเอง…”

เวลาเลื่อนผ่านไป และเหตุการณ์ก็มีแต่จะเลวร้ายลง อากาศหนาวเย็นเป็นอย่างมากจนใครก็ตามที่อาศัยอยู่ตรงด้านนอกถ้ำเป็นเวลานาน ก็มักจะถูกแช่แข็งจนตายไป ในที่สุดเสียวเป่าก็หยุดการแกะสลักชิ้นไม้ทั้งหมด มุ่งเน้นไปที่การแกะสลักเครื่องหมายผนึกชิ้นที่เก้าเท่านั้น นั่นคือความคิดและเป้าหมายทั้งหมดในชีวิต ที่เขาไม่มีทางจะหยุดทำได้

เสียวเป่าค่อนข้างจะมีศักดิ์ฐานะที่ต้อยต่ำอยู่ในท่ามกลางกลุ่มผู้อพยพภายในถ้ำ ในที่สุดบุคคลที่ดุร้ายมากที่สุดในท่ามกลางกลุ่มผู้อพยพก็ตัดสินใจว่าช่างไม้คือผู้ที่ไร้ประโยชน์มากที่สุด และสถานการณ์ของเสียวเป่าก็เลวร้ายลง

ถึงแม้ว่าเยียนเอ๋อร์จะเสียโฉม แต่ก็มีรูปร่างที่ดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้สถานการณ์ยิ่งลำบากมากขึ้น เมื่อคิดว่าต้องถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มคนที่รู้สึกเบื่อและทุกข์ใจ ซึ่งกำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปอย่างช้าๆ

ที่เลวร้ายมากที่สุดก็คือ บุตรีของคนทั้งสองมีอายุสิบหกปีแล้วในตอนนี้

ในคืนวันหนึ่ง หม่านเอ๋อร์ก็หายตัวไป

ในวันนั้นเสียวเป่าสั่นสะท้าน รู้สึกราวกับว่าโลกของตนเองได้พังทลายลงไป ภรรยาก็สั่นสะท้านด้วยเช่นกัน คนทั้งสองออกไปจากถ้ำเพื่อค้นหาบุตรี

“หม่านเอ๋อร์…”

“หม่านเอ๋อร์ เจ้าอยู่ไหน…?” คนทั้งสองร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความทุกข์ใจ ขณะที่ทำการค้นหาไปเรื่อยๆ เสียวเป่าอดที่จะคิดไปถึงช่วงเวลาที่ตนเองอยู่ตามลำพังในเขตผืนป่าเมื่อยังเยาว์วัย จนต้องร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวลอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวด้วยเช่นกัน แต่ก็พยายามคิดในแง่ดี และทำการค้นหาบุตรีต่อไป

ในที่สุดเสียวเป่าก็แยกกับเยียนเอ๋อร์ เขาใช้มือลูบคลำไปตามผนัง เดินไปพร้อมกับร้องตะโกนเรียกบุตรี ในที่สุดก็รู้สึกว่าดวงตะวันกำลังลอยขึ้นมา แต่ก็ไม่พบเห็นร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย

ไม่มีใครช่วยคนทั้งสองค้นหา คนอื่นๆ ที่อยู่ในถ้ำแค่มองมาด้วยสายตาที่เย็นชาเท่านั้น

“เยียนเอ๋อร์…เยียนเอ๋อร์ของข้า…” ริมฝีปากเสียวเป่าบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มอันขมขื่น ขณะที่ทำการค้นหาบุตรีอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ภรรยาก็ยังไม่อาจจะค้นหานางได้ อย่าว่าแต่ตนเองที่เป็นบุรุษตาบอด เขาไม่สามารถจะมองเห็นโลกนี้ได้ และในตอนนี้ก็รู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง…

จากนั้นเสียวเป่าก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน เป็นเสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เป็นเสียงกรีดร้องที่ดูเหมือนว่าจะดังออกมาจากปากของใครบางคนที่ต้องการจะจบชีวิตของตนเองไป ไม่ใช่เสียงของหม่านเอ๋อร์ แต่เป็นเสียงของภรรยาตนเอง

แรงสั่นสะท้านวิ่งผ่านไปทั่วร่างเสียวเป่า ถึงแม้ว่าดวงตาจะบอดไป แต่ก็ยังคงกลายเป็นสีแดงก่ำ เริ่มเดินตรงไปยังเสียงกรีดร้องนั้นในทันที ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักจากที่ตนเองยืนอยู่

เขาเริ่มวิ่งออกไป รู้สึกว่าศีรษะตนเองกระแทกไปยังก้อนศิลา โลหิตไหลนองไปทั่วร่าง แต่ก็ยังคงวิ่งต่อไป เมื่อบรรลุถึงเสียงกรีดร้องนั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายดังขึ้นมา

“เจี้ยนเหริน (นางแพศยา) บัดซบ ทำไมถึงได้น่าเกลียดเช่นนี้ เหยียเยี่ย (ท่านปู่) พึงพอใจเจ้าในวันนี้ ถือได้ว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว มากับข้า แล้วเจ้าจะได้เนื้อไปสามจิน (1 จิน ประมาณ 0.5 กิโลกรม) เป็นอย่างไร?”

ที่เบื้องหน้าขึ้นไป เยียนเอ๋อร์กำลังถือมีดจ่อไปที่ลำคอตนเอง แผ่นหลังพิงไปที่ผนังหน้าผา ถูกห้อมล้อมด้วยชายฉกรรจ์สามคน ถ้านางมีพลังการฝึกตน ก็สามารถจะสังหารพวกมันด้วยการมองไปแค่แวบเดียว แต่ตอนนี้นางเป็นแค่หญิงสาวที่อ่อนแอเท่านั้น

หยดน้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตา ขณะที่บุรุษเหล่านั้นเข้ามาใกล้มากขึ้น นางกัดริมฝีปาก และกำลังจะฆ่าตัวตาย แต่ก็มองเห็นเสียวเป่ากำลังวิ่งตรงมาพร้อมกับโลหิตที่ชโลมไปทั่วร่าง

ไม่ใช่นางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สังเกตเห็น ชายฉกรรจ์ทั้งสามต่างก็หันหน้าไปมองและเริ่มหัวเราะออกมา

“คนตาบอดมาแล้ว ดี! เจ้าทั้งสองจับมันไว้ เจี้ยนเหริน เจ้าจงเชื่อฟังแต่โดยดี มิเช่นนั้นข้าจะต้มเซี่ยงกง (คำเรียกสามีของจีนโบราณ) เจ้า และกินลงไปต่อหน้าเจ้า!”

เยียนเอ๋อร์มองไปยังเสียวเป่า และมีดที่ถืออยู่ในมือก็สั่นสะท้าน ขณะที่สองชายฉกรรจ์เดินตรงไปคว้าจับเสียวเป่าไว้ อีกคนก็ยิ้มอย่างต่ำช้าและเข้ามาใกล้เยียนเอ๋อร์

ในตอนนี้เองที่จู่ๆ เสียวเป่าก็ยิ้มขึ้นมา เป็นรอยยิ้มที่ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ใบหน้าแปดเปื้อนไปด้วยโลหิต ทันใดนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนว่าจะระเบิดขึ้นด้วยพลัง ราวกับว่าความแข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นอยู่ทั้งหมดของพลังชีวิตตนเองปะทุขึ้นมา อ้าปากกัดลงไปที่ลำคอของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ซึ่งไม่คาดคิดว่าจะถูกคนตาบอดที่อ่อนแอผู้หนึ่งโจมตีมาอย่างดุร้าย มันแผดร้องออกมา ยกมือขึ้นมากุมบาดแผล ชายฉกรรจ์อีกคนที่ด้านข้างหอบหายใจออกมา

หูของเสียวเป่ากระตุกไปมา และจากนั้นก็กระโจนเข้าหาชายฉกรรจ์ที่แผดร้องผู้นั้น กัดเนื้อมันออกมาอย่างบ้าคลั่งครั้งแล้วครั้งเล่า

ชายฉกรรจ์ที่กำลังเดินไปหาเยียนเอ๋อร์แผดร้องด้วยโทสะออกมา และกำลังจะพุ่งทะยานเข้าไปลงมือ แต่เยียนเอ๋อร์ก็แทงมีดเข้าไปที่ด้านหลังมันครั้งแล้วครั้งเล่า

ชายฉกรรจ์ที่ยังเหลืออยู่รีบวิ่งหลบหนีไปในทันที ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เสียวเป่าที่บ้าคลั่งกัดก้อนเนื้อออกมาจากร่างของชายฉกรรจ์ผู้นั้นมากมาย จนกระทั่งมันตายไป เสียวเป่าเดินกะโผลกกะเผลกไปข้างหน้าจนกระทั่งพบกับภรรยา และโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน ร้องไห้ไปด้วยกัน

คนทั้งสองไม่พบเห็นบุตรีของตนเองแม้แต่น้อย เมื่อกลับเข้าไปในถ้ำ ผู้อพยพคนอื่นๆ ต่างก็มองมาด้วยความหวาดกลัว ในโลกที่ดูเหมือนว่าใกล้จะถึงวันสิ้นโลกแล้ว ผู้คนต่างก็รู้สึกหวาดกลัวต่อผู้ที่ดุร้ายและน่ารังเกียจเท่านั้น

ยิ่งน่ารังเกียจมากเท่าใด ก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น

ต่อมาผู้คนต่างก็บอกกับคนทั้งสองว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา มีกลุ่มบุรุษหนุ่มได้ลักพาตัวหม่านเอ๋อร์ไป

เดิมทีทุกคนต่างก็คิดว่าจะไม่เห็นหม่านเอ๋อร์อีกต่อไปแล้ว ถ้ากลุ่มบุรุษหนุ่มเหล่านั้นกลับมา แต่หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งวัน แม้แต่บุรุษหนุ่มเหล่านั้นก็ไม่ได้กลับมาด้วยเช่นกัน

เกิดอะไรขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้ต่างก็รู้สึกสงสัย แต่ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้

แน่นอนว่าไม่มีใครในถ้ำจะรู้ว่า ตรงด้านล่างของเชิงเขา ยังมีถ้ำอยู่อีกแห่งหนึ่ง ซากศพสี่ซากกำลังถูกแช่แข็งไปแล้ว

พวกมันคือบุรุษหนุ่มสี่คน ซึ่งมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่อยากจะเชื่อ

ตอนแรกเมิ่งฮ่าวตัดสินใจว่าจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตที่เก้าของร่างจำแลงตนเอง แม้แต่ความสัมพันธ์กับเยียนเอ๋อร์ก็เช่นกัน แต่เมื่อเวลาเลื่อนผ่านไป และชีวิตที่เก้าก็เปลี่ยนแปลงไป เมิ่งฮ่าวจึงเริ่มรู้สึกลังเล

จากนั้นหม่านเอ๋อร์ก็ถูกลักพาตัวไปโดยบุรุษหนุ่มทั้งสี่ และเมิ่งฮ่าวก็ไม่อาจจะนิ่งเฉยได้อีกต่อไป นอกจากนั้นบุตรีของชีวิตที่เก้าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองด้วยเช่นกัน

เขานำหม่านเอ๋อร์ไปยังทวีปที่เก้า เมิ่งฮ่าวคือตี้จิ่วจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า) ผู้นำแห่งตี้จิ่วจง (สำนักที่เก้า) และด้วยศักดิ์ฐานะเช่นนี้ เขาก็แค่บอกผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ แห่งตี้จิ่วจงว่านางคือบุตรีของตนเองเท่านั้น

จึงเป็นที่แน่ใจได้ว่าหม่านเอ๋อร์จะต้องได้รับความเคารพยกย่องไปตลอดชีวิตของนาง

สำหรับชีวิตที่เก้า เป้าหมายของชีวิตนี้ก็คือสร้างเวทรุ่นเก้าให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ และเยียนเอ๋อร์ก็เป็นผู้ใหญ่ที่สามารถจะตัดสินใจด้วยตนเองได้แล้ว นางมีกรรมเป็นของตนเอง

แต่หม่านเอ๋อร์เป็นผู้บริสุทธิ์ จึงไม่สมควรที่จะได้รับความขมขื่นอยู่บนทวีปแรกเช่นนั้น

เมิ่งฮ่าวมองไปยังหม่านเอ๋อร์ด้วยแววตาที่อบอุ่นอ่อนโยน จากนั้นก็หันหลังและออกจากตี้จิ่วจงไป กลับไปยังทวีปแรกและถ้ำแห่งนั้น ซึ่งมีช่วงเวลาที่เจิดจ้ามากขึ้น

นับจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของเสียวเป่าและเยียนเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไป คนทั้งสองได้แสดงด้านที่ดุร้ายของตนเองออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียวเป่า ที่ถึงแม้ว่าจะตาบอด แต่ก็กัดชายฉกรรจ์จนตายไป เมื่อผู้คนมองเห็นซากศพของชายฉกรรจ์ที่ถูกคนทั้งสองสังหารไป พวกมันต่างก็หอบหายใจออกมา

กลุ่มคนที่เคยรังแกเสียวเป่าจากก่อนหน้านี้ ต่างก็สั่นสะท้านและรู้สึกหวาดกลัวไปโดยสิ้นเชิง

หลายวันต่อมา ในที่สุดเสียวเป่าและเยียนเอ๋อร์ก็รู้ว่ามีซากศพสี่ซากอยู่ภายในถ้ำอีกแห่ง คนอื่นๆ ต่างก็ยืนยันว่าซากศพเหล่านั้นคือสี่บุรุษหนุ่มที่ลักพาตัวหม่านเอ๋อร์ไป

พวกมันตกตายไปมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววของหม่านเอ๋อร์แม้แต่น้อย ราวกับว่านางหายตัวไปอย่างง่ายดาย

ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยความขมขื่น แต่อย่างน้อยเสียวเป่าก็ยังมีความหวัง ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจึงเชื่อว่าหม่านเอ๋อร์ยังไม่ตายไป และความจริงแล้วก็มีความสุขกว่าที่เคยเป็นมา

เพราะว่าเสียวเป่าตาบอด จึงมองไม่เห็นสีหน้าของภรรยา ขณะที่ยืนอยู่เหนือซากศพของบุรุษหนุ่มทั้งสี่ ตอนแรกนางมีท่าทางสับสน และจากนั้นก็รู้สึกงุนงง ไม่มั่นใจว่าใครเป็นคนช่วยชีวิตหม่านเอ๋อร์ไว้ แต่ก็เชื่อว่าคนผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าฟ้าดินในตอนนี้ทำให้ไม่อาจจะปลดปล่อยพลังการฝึกตนออกมาได้ แต่คนผู้นั้นต้องสามารถออกไปจากทวีปแรกนี้ได้อย่างแน่นอน

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าหม่านเอ๋อร์ต้องปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตามเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ยังคงกระแทกลงมายังเสียวเป่าอย่างรุนแรง ทำให้ต้องล้มป่วยลงไป และร่างกายก็เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง การล้มป่วยลงไปก็คล้ายกับการเข้าไปใกล้ความตาย

เยียนเอ๋อร์ทำทุกวิถีทางเพื่อคอยช่วยเหลือดูแล หนึ่งปีต่อมาเขาก็ฟื้นฟูกลับคืนมา แต่ในตอนนี้เยียนเอ๋อร์ก็คล้ายกับเป็นถุงหนังห่อหุ้มกระดูก

ความเป็นจริงก็คือว่าถ้าปราศจากภรรยาตนเองแล้ว เสียวเป่าก็คงต้องตายไปอย่างแน่นอน

หลังจากที่เจ็บป่วยไป เสียวเป่าก็พูดน้อยลง ใช้เวลาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การแกะสลัก เขาทำงานแกะสลักนี้มานานถึงสิบปีแล้วในตอนนี้ จนถึงจุดที่สัมผัสแล้วราบเรียบราวกระจกและมืดมิดราวกับยามราตรี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version