Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 295

ตอนที่ 295

เครื่องหมายสีเขียว

ขณะที่ข่าวคราวเกี่ยวกับซากศพเซียน กระจายออกไปเรื่อยๆ สำนักจื่อยิ่นก็ค่อยๆ เริ่มให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้น ผู้ที่ถูกส่งไปกลุ่มแรกก็คือ ผู้ถูกเลือกบางคนจากแผนกลมปราณม่วง ตามไปด้วยผู้อาวุโสของสำนัก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับสำนักใหญ่และตระกูลดังอื่นๆ ก็ส่งกองกำลังของพวกมันไปที่นั่นด้วย

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนในดินแดนด้านใต้ ก็เริ่มรวมกลุ่มกันในเขตของถ้ำกำเนิดใหม่มากขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่าอาจจะได้พบเจอกับโชคบางอย่าง

เหตุการณ์สำคัญในดินแดนด้านใต้นี้ ได้กระจายออกไปไกลจนไปดึงดูดความสนใจของกลุ่มผู้ฝึกตนในทะเลทรายตะวันตก อันที่จริง หลายปีที่ผ่านมา เมื่อซากศพเพิ่งจะตกลงมาจากท้องฟ้า ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก ก็ได้มาตรวจสอบด้วย แต่จากข่าวลือใหม่เกี่ยวกับซากศพในครั้งนี้ได้กระจายออกไป ทำให้มีผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกจำนวนมากมายได้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง

แม้แต่ดินแดนตะวันออกก็มองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญ จึงได้ส่งผู้ฝึกตนมาด้วย

ในที่สุด ผู้ฝึกตนที่รวมตัวกันอยู่รอบๆ ถ้ำกำเนิดใหม่ และซากศพเซียนก็พบว่ามีบางสิ่งแปลกเป็นอย่างมาก พื้นฐานฝึกตนของผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ซึ่งเข้าไปใกล้ซากศพ จะถูกสะกดไว้ ถ้าพวกมันมุ่งหน้าต่อไป ในที่สุดก็จะถูกสะกดให้อยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ

แต่กลับกัน ผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณ ไม่พบเจออุปสรรคใดๆ

ยิ่งแปลกมากไปกว่านั้นก็คือ ผู้ฝึกตนใดๆ ก็ตามที่ไปสัมผัสแตะต้องซากศพ ซึ่งคล้ายคลึงกับภูเขาลูกน้อยๆ ก็จะหายไปในทันที ถูกเคลื่อนย้ายทางไกลจากไป ส่วนมากจะถูกส่งกลับมาในพื้นที่นั้นอีกไม่นานหลังจากนั้น

เมื่อกลับมานั่งนึกทบทวนดูใหม่ ทุกคนก็อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างกัน

คนผู้หนึ่งมองเห็นแม่น้ำ อีกคนมองเห็นอาคารบ้านเรือน, ราชวัง และวิหาร คนผู้หนึ่งมองเห็นของวิเศษอันล้ำค่า แต่ก็ไม่อาจจะหยิบฉวยมาได้ อีกคนบอกว่าได้เห็นเม็ดยาแห่งสวรรค์ และอีกคนก็บอกว่ามีสูตรยาสลักไว้บนผนังศิลา ที่ยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริงก็คือ บางคนได้บอกว่ามองเห็นสนามรบ ซึ่งด้านในตรงกลางสนามรบเป็นโลงศพ!

มีรายละเอียดอยู่ทุกประเภท แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนเหมือนกันเลย

ทั้งหมดนี้ทำให้ซากศพเซียนแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น และทำให้มันกลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจใหผู้คนมาตรวจสอบกันมากขึ้นไปเรื่อยๆ

ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน สำนักจื่อยิ่นก็ได้ส่งศิษย์ไปห้ากลุ่ม เมื่อเริ่มถึงกลุ่มที่สี่ ก็ไม่เพียงแต่แผนกลมปราณม่วงเท่านั้นที่ไป แต่ยังมีนักปรุงยาจากแผนกเม็ดยาบูรพาด้วย

นี่เป็นเพราะผู้ฝึกตนที่ได้เห็นสูตรยา ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์จากแผนกลมปราณม่วง หลังจากกลับมาและบอกเล่าเรื่องราว ก็ใช้เวลาไม่กี่วันที่จะมีนักปรุงยาจากแผนกเม็ดยาบูรพาเข้าร่วมกับกลุ่มที่สี่ซึ่งถูกส่งออกไป

ผู้นำของกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเยี่ยเฟยโม่, อันจ้ายไห่ และเยี่ยหยุนเทียน

สามเทพกระถางม่วงปรากฎตัวขึ้นพร้อมกัน ตามด้วยผู้เชี่ยวชาญจากแผนกลมปราณม่วง นี่เป็นคลื่นลูกที่สี่ ซึ่งส่งเข้าไปในเขตของซากศพเซียน

ผ่านไปหนึ่งเดือน เหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดมากขึ้น สำนักและตระกูลต่างๆ ได้ส่งผู้คนมามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ แม้แต่ผู้พิสดารระดับปรมาจารย์ก็ได้ปรากฎตัวขึ้น

ในเวลานี้เองที่สำนักจื่อยิ่นเริ่มจัดคนกลุ่มที่ห้าให้เดินทางไปยังถ้ำกำเนิดใหม่

ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวได้นั่งเข้าฌาณเพียงลำพังเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว เป็นวันที่สามหลังจากที่กลุ่มที่ห้าได้จากไป ซึ่งนำโดยฉู่อวี้เยียนและหลินไห่หลง ในที่สุด เขาก็โผล่ออกมา

เมื่อเขาเดินออกมาจากถ้ำใต้ดิน ร่างกายก็ค่อนข้างจะอ่อนแอ แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยความลึกล้ำซึ่งลึกซึ้งกว่าก่อนหน้านี้ ไม่มีร่องรอยว่าเขาได้ครอบครองเปลวไฟอมตะ แต่ถ้ามองลงไปในดวงตาเขาลึกๆ ก็อดจะคิดอย่างช่วยไม่ได้ว่า ได้มีเปลวไฟขนาดใหญ่บางอย่างอยู่ลึกๆ ลงไปในนั้น

เมิ่งฮ่าวได้หลอมรวมเปลวไฟอมตะแห่งเม็ดยาบูรพาเข้าไปในจิตใจเขาเรียบร้อยแล้ว เมื่อไหร่ที่เขาทะลวงผ่านขั้นพื้นฐานลมปราณ และสร้างแกนสีม่วง เขาก็จะสามารถทำให้เปลวไฟอมตะติดขึ้นมา และไม่มีทางที่มันจะดับลงไปได้!

หลังจากโผล่ออกมาจากการเข้าฌาณ เมิ่งฮ่าวก็สัมผัสได้ถึงลมพายุซึ่งโหมกระหน่ำอยู่ในสำนักในทันที หลังจากสอบถามเรื่องราว เขาก็ได้รู้ถึงปรากฎการณ์ที่เกี่ยวกับซากศพเซียน ซึ่งได้เริ่มขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน

เมิ่งฮ่าว จริงๆ แล้ว ก็รู้เรื่องราวของซากศพเซียนมากกว่าคนอื่นๆ เกือบทั้งหมด มีอยู่หลายครั้งที่เขารู้สึกว่า ซากศพที่ตกลงมาในโลกนี้…เพราะว่ามันกำลังค้นหาเขา

การคาดเดาเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกลังเล และพยายามจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

เมื่อได้ยินเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับซากศพ ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้นอย่างเงียบๆ สักพัก จากนั้น เขาก็ไปเข้าพบท่านอาจารย์อย่างเป็นทางการ ต่อจากนั้น เขาก็ตัดสินใจจะไปนั่งเข้าฌาณอีกครั้ง ครั้งนี้ เพื่อไปปรุงเม็ดยาสามมฤตยู และทะลวงผ่านไปขั้นสร้างแกนลมปราณ

ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวอยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่ของพื้นฐานลมปราณ เส้นทางเดียงของเขาในตอนนี้ก็คือการกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญสร้างแกนลมปราณ

หลังจากนั้น เขาก็จะฝึกฝนแกนปราณ และจากนั้นเขาก็จะมีชื่อเสียงอย่างแท้จริง ถึงตอนนั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณที่อยู่รอบๆ ตัวเขา ก็ไม่อาจจะเทียบกับเขาได้ เส้นทางใหม่ๆ มากมายก็จะเปิดออก

สามารถกล่าวได้ว่า การกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญสร้างแกนลมปราณ ก็คือการกลายเป็นผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง!

การสูดลมหายใจที่ผู้ฝึกตนฝึกฝน จริงๆ แล้ว ก็เป็นวิธีที่เตรียมตัวสำหรับเส้นทางของสร้างแกนลมปราณ และถือว่าเป็นแค่การเริ่มต้น ในช่วงของพื้นฐานลมปราณ, พื้นฐานได้ถูกเตรียมไว้ ยิ่งแข็งแรงมากเท่าใด ก็ยิ่งจะกลายเป็นแกนลมปราณที่ทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น อันที่จริง สร้างแกนลมปราณ…จะเป็นพลังที่ระเบิดออกมาเป็นครั้งแรกบนเส้นทางการฝึกตน

ผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณสามารถใช้แกนปราณเพื่อสร้างวิชาเวท ให้บรรลุถึงจุดสูงสุดของพลัง สูงเกินกว่าจุดสูงสุด วิชานั้นก็จะกลายเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นวิชาที่จริงๆ แล้ว ก็มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งเท่านั้นที่จะใช้ได้

“พุ่งเข้าไปในสร้างแกนลมปราณ!” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น ขณะที่นั่งขัดสมาธิในถ้ำแห่งเซียนของตัวเอง เขาโบกสะบัดแขนเสื้อด้านขวา และกระถางปรุงยาสีดำก็ปรากฎขึ้น ทันทีที่เป็นเช่นนั้น ใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ปรากฎขึ้นบนพื้นผิวของกระถาง มันจ้องมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความเกลียดชัง ดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย ขณะที่มันกรีดร้องออกมาอย่างไร้เสียง

มันยังคงเต็มไปด้วยโทสะ เพราะเมิ่งฮ่าวได้นำมันออกมาจากโลกของมารดาแห่งเตา

เมิ่งฮ่าวมองไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์บนพื้นผิวของกระถางปรุงยาสีดำ จากนั้น ก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา จิตวิญญาณของกระถางปรุงยาไม่อาจบอกถึงความแตกต่างระหว่างดีหรือเลว เมื่อไหร่ที่เมิ่งฮ่าวใช้มันปรุงเม็ดยา มันก็มักจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“ดูเหมือนเจ้ากำลังอยากหาที่ตาย ข้าจะช่วยให้เจ้าเข้าใจถึงความหมายของคำว่า มีชีวิตอยู่เลวร้ายกว่าตกตายมากนัก คงอีกไม่นานก่อนที่เจ้าจะขอร้องให้ข้าช่วยเจ้า” ด้วยเช่นนั้น เขาคว้าจับกระถางปรุงยาสีดำ และไม่สนใจการดิ้นรนอย่างดุร้ายบนใบหน้าที่อ่อนเยาว์ รวมถึงเสียงกรีดร้องที่ไร้เสียงนั้น เขาเอามันใส่เข้าไปในหน้ากากสีโลหิต

“ผู้อาวุโสสุดยอดความรำคาญ นี่เป็นวิญญาณที่ข้าได้บอกไว้เมื่อนานมาแล้ว ข้าเข้าสังกัดสำนักนี้ก็เพื่อจะจับเจ้าคนชั่วนี้ ขอให้ท่านช่วยเกลี้ยกล่อมเปลี่ยนแปลงมันได้หรือไม่?’

ผีโต้งกำลังเกาะอยู่บนศีรษะของปรมาจารย์ตระกูลหลี่ ที่กำลังประจบสอพลอมันอย่างกระสับกระส่ายอยู่ มันเอนตัวและมองลงมายังเขา เมื่อได้ยินคำพูดเมิ่งฮ่าว มันก็เริ่มสั่นสะท้าน และดวงตาก็เต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้าและความตื่นเต้น ทันใดนั้นมันก็มองไปยังกระถางปรุงยาสีดำซึ่งเมิ่งฮ่าวยื่นส่งให้

“ไม่ต้องกลัว” ผีโต้งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าอาจจะเลวทรามต่ำช้า เจ้าอาจจะไม่ถูกต้อง แต่เจ้าวางใจได้ สุดยอดความรำคาญผู้มีจิตใจเมตตา, หล่อเหลา และยิ่งใหญ่ผู้นี้ จะช่วยนำเจ้ากลับมาจากเส้นทางที่ชั่วร้ายนั้นเอง!” มันกระโดดเข้าไปยืนที่ด้านข้างกระถางปรุงยาสีดำ…

เมิ่งฮ่าวถอนจิตสัมผัสออกมา ไม่สนใจกระถางแห่งจิตวิญญาณอีก แต่หยิบเอากระถางหมื่นประณีต และต้นสมุนไพรบางอย่างออกมาแทน หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็อุทิศตัวเองให้กับการปรุงยาอย่างเต็มที่

เขาจะปรุงเม็ดยาสามมฤตยู ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการทะลวงผ่านจากพื้นฐานลมปราณไปยังสร้างแกนลมปราณ

ความพากเพียรซึ่งเมิ่งฮ่าวเพ่งสมาธิไปที่การปรุงเม็ดยาเพื่อใช้ในการทะลวงผ่าน ไม่จำเป็นต้องอธิบายลึกลงไปในรายละเอียด เขาใช้เวลาครึ่งเดือนเต็ม เมื่อพิจารณาว่าไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งแห่งการปรุงยา จริงๆ แล้ว ก็ค่อนข้างจะเป็นการใช้เวลานานสำหรับเขา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ค่อยบ่อยมากนัก

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น เขามองลงไปยังเม็ดยาสามมฤตยูในฝ่ามือ และสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้น ก็เริ่มคัดลอกเม็ดยาด้วยกระจกทองแดง ตอนเช้าตรู่ของวันต่อมา เมิ่งฮ่าวกลืนเม็ดยาสามมฤตยูลงไปโดยไม่ลังเล และเริ่มโคจรหมุนเวียนพลังของลมปราณม่วงแห่งบูรพา พยายามที่จะก่อตัวเป็นแกนสีม่วง

หลายวันผ่านไป เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าเขาได้กลืนเม็ดยาสามมฤตยูลงไปมากมายเท่าใด เขาไม่เคยคาดคิดว่าการใช้เสาแห่งเต๋าทั้งสิบต้นของพื้นฐานสมบูรณ์ เพื่อก่อตัวเป็นแกนสีม่วง จะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากมายเช่นนี้มาก่อน

หนึ่งเดือนผ่านไป และเมิ่งฮ่าวก็จมอยู่ในการใช้เม็ดยาสามมฤตยูเพื่อบรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณโดยสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากพยายามมาตลอดหนึ่งเดือน เขาก็ยังคงไม่ประสบความสำเร็จ อยู่ห่างเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ก็ทำได้แต่เพียงสร้างเป็นปราณม่วง ทุกครั้งที่เขาพยายามจะก่อตัวมันเป็นแกน เขาก็ล้มเหลว

ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เมิ่งฮ่าวเริ่มเสียใจที่ได้ขอยืมหินลมปราณจำนวนมากมายมาจากสำนัก หลังจากที่กลายเป็นเทพกระถางม่วง การมองพวกมันไหลออกไปเหมือนสายน้ำ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้

“จากอัตราส่วนความสำเร็จนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า โอกาสในการจะสำเร็จด้วยเสาแห่งเต๋าทั้งสิบต้น จริงๆ แล้วก็มีแค่หนึ่งในพัน?” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ ความคิดเช่นนั้นช่างน่าตกใจเป็นอย่างมาก ถ้าไม่มีกระจกทองแดง พื้นฐานฝึกตนของเขาก็ไม่มีทางที่จะก้าวหน้าเกินไปกว่าพื้นฐานลมปราณ

เขานั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพัก นึกไปถึงหลี่เต้าอี และคนอื่นๆ รวมถึงการทะลวงผ่านของพวกมันที่น้ำพุร้อนแห่งเต๋า

“คงมีบางอย่างที่ต้องทำกับเสาแห่งเต๋าทั้งสิบของข้า” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ เขายังไม่ยอมแพ้ จากการคาดเดาเมื่อครู่นี้ ถึงเขาจะมีโอกาสเพียงแค่หนึ่งในพัน นั่นก็หมายความว่าเขาก็ยังคงมีความหวัง

“ก้าวแรกก็คือการก่อตัวแกนสีม่วง หลังจากนั้น ข้าก็จะปรุงเม็ดยาแกนสีทองสมบูรณ์ ทำให้ข้าสามารถก่อตั้งแกนสีทอง สำหรับข้า ขั้นสร้างแกนลมปราณจะเกี่ยวข้องกับการกระโดดครั้งใหญ่ไปสู่พลัง เมื่อไหร่ที่ข้าอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ ข้าก็สามารถสวมหน้ากากสีโลหิต และใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของเซียนโลหิต! และจากที่ผีโต้งเคยกล่าวไว้ หลังจากที่ข้าบรรลุสร้างแกนลมปราณ นกแก้วก็จะปรากฎขึ้น…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่เขาครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้

“ข้าต้องก่อตัวแกนสีม่วง!” เขาโบกสะบัดแขนเสื้อ และขณะที่กำลังจะขอยืมหินลมปราณเพิ่มอีก ทันใดนั้น ก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่สั่น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเขาก็สั่นไปด้วย ดินแดนด้านใต้มากกว่าครึ่งกำลังสั่นสะเทือน และจุดศูนย์กลางของมันทั้งหมด ก็ไม่ใช่ที่ไหนอื่นนอกจากซากศพเซียน ที่ซึ่งมีผู้ฝึกตนไปรวมตัวกันเกือบหนึ่งแสนคน ในบริเวณใกล้เคียงกับถ้ำกำเนิดใหม่

แรงสั่นสะเทือนนี้ออกมาจากหน้าอกของซากศพ ราวกับว่าหัวใจมันกำลังเต้นอยู่ ส่งพลังกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ส่งผลให้เกิดระลอกคลื่นแพร่กระจายไปทั่วผืนดิน ขณะที่มันกระจายออกไป มันก็ไปสัมผัสกับยอดเขา กวาดไปทั่วจากสำนักหนึ่งไปยังอีกสำนักหนึ่ง

สถานที่ตั้งของสำนักจื่อยิ่นอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก ดังนั้นจึงมีผลกระทบด้วยเช่นกัน ผู้คนมากมายได้ยินเสียงมัน และจิตใจก็สั่นสะท้าน เมิ่งฮ่าว ทันใดนั้น ก็หยุดชะงัก ยกมือขึ้นมาแตะสัมผัสไปที่หน้าอก

เขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นนี้ ทันใดนั้น สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เพราะในตอนนี้เองที่เขาตระหนักได้ว่า สำหรับเขาแล้ว เสียงของการสั่นสะเทือนนี้ ก็เหมือนกับการกวักมือเรียกหา

เขาคาดเดาว่า นี่เป็นการร้องเรียกที่มาจากซากศพเซียน ซึ่งเขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างมากอย่างแน่นอน!

จากการเรียกหานั้น ก็เต็มไปด้วยเสียงเก่าแก่โบราณซึ่งตรงเข้ามาในจิตใจเมิ่งฮ่าวทันที

“เจ้า…อยากรู้หรือไม่ว่า สายโลหิตของเจ้ามาจากไหน…”

“เจ้า…อยากรู้หรือไม่ว่า ทำไมเจ้าจึงมองเห็นข้าในโลกอื่น เมื่อหลายปีมาแล้วนั้น…?”

“เจ้า…อยากรู้หรือไม่ว่า นั่นคือโลกอะไร…?”

“ข้ามาที่นี่เพื่อค้นหาเจ้า และข้าก็รอคอยมานานแล้ว มาหาข้า มาหาข้าที่นี่…เจ้าจะได้รู้ความจริงทั้งหมด!”

เสียงพูดนั้นเก่าแก่โบราณ ราวกับว่ามันลอยผ่านกาลเวลามาหลายปีจนนับไม่ถ้วน เต็มไปด้วยปราณโบราณ ขณะที่มันดังก้องอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว ทำให้เส้นโลหิตเขาพลุ่งพล่าน โลหิตหมุนเวียนอย่างรวดเร็วไปทั่วร่าง ทันใดนั้น บนหลังมือข้างขวาของเขา…เครื่องหมายสีเขียวก็ปรากฎขึ้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version