Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 595

ตอนที่ 595

ความรักของบิดาดุจขุนเขา

ด้วยการปล่อยให้ทุกคนยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ดิ้นรนอยู่ในอารมณ์และความนึกคิดของตนเอง โทสะของพวกมันที่มีต่อเมิ่งฮ่าว อาจจะพุ่งทะยานขึ้นไปจนถึงสวรรค์ แต่ก็ไร้ทางเลือกใดๆ บันไดนั้นปรากฏขึ้นก็เนื่องมาจากเมิ่งฮ่าว และเป็นเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเดินขึ้นไปได้

พวกมันเคยพยายามมาแล้ว แต่ก็แน่นอนว่า ทั้งหมดได้แต่มองเห็น โดยที่ไม่อาจจะแตะต้องสัมผัสได้สองสามวันต่อมา พวกมันทั้งหมดนัดพบกันอีกครั้ง ทุกคนยืนอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว กล่าวคำสาบานว่า หลังจากที่อาณาจักรที่สามสิ้นสุดลง พวกมันจะแบ่งให้เขาตามที่เรียกร้องมาในตอนแรก

คำสาบานได้ถูกกล่าวขึ้น โดยมีเต๋าเป็นสักขีพยาน ในวันข้างหน้า ไม่ว่าผู้ฝึกตนจากดาวหนานเทียนเหล่านี้ จะได้ครอบครองอะไรก็ตามในอาณาจักรที่สาม พวกมันก็ไม่อาจจะเรียกร้องใดๆ ถ้าพวกมันผิดคำสัญญา คำสาบานก็จะคงอยู่ตลอดไป และจะมีผลต่อพื้นฐานฝึกตนของพวกมัน

ถ้าเป็นแค่คำพูด หรือคำสาบานทั่วไป ก็คงไม่มีสิ่งใดที่พิเศษเฉพาะ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องกล่าวคำสาบาน เมิ่งฮ่าวก็ใช้เวทแห่งเต๋าที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ก็อันตรายอย่างร้ายแรงออกมาโดยไม่คาดคิด

เป็นเวทที่ใครก็ตามซึ่งอยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ หรือสูงกว่านั้นสามารถจะฝึกฝนได้ มันเรียกว่า คำรับรองแห่งเต๋า

เมื่อไม่กี่วันก่อน ที่ด้านนอกถ้ำแห่งเซียนของเคออวิ๋นไห่ เมิ่งฮ่าวได้ร้องขอเวทแห่งเต๋าวิชานี้ ซึ่งถูกใช้อยู่ในสมัยโบราณนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อประทับข้อตกลงด้วยการใช้เวทแห่งเต๋านี้

ภายในสถานที่แห่งนี้ ถ้าผิดคำสัญญา วิญญาณก็จะแตกกระจายไป ไม่อาจจะบรรลุถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ และพื้นฐานฝึกตนก็จะเสื่อมลงไป

ทุกคนไม่อาจจะทำอะไรได้ เพื่อให้เข้าไปในอาณาจักรที่สามได้ พวกมันจำเป็นต้องกล่าวคำสาบานด้วยความระมัดระวัง ด้วยการใช้คำรับรองแห่งเต๋าเป็นประกัน และจากนั้นก็ถือว่าข้อตกลงเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ในตอนแรกมีบางคนที่ปฏิเสธไม่ยอมกล่าวคำสาบาน แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไร คนที่ไม่ยินยอมเหล่านั้นถูกคนอื่นๆ กดดัน จนในที่สุดพวกมันก็ได้แต่ต้องกัดฟันยอมรับ

นอกจากนี้ ก็ไม่มีใครยินดีที่จะจ่ายค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย

มีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครสังเกตเห็น ถึงแม้ทุกคนจะคิดว่าคนทั้งหมดได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ แต่จริงๆ แล้ว จื่อเซียงและปรมาจารย์ฮูเหยียนได้หายไป

เมิ่งฮ่าวก็ต้องกล่าวคำสาบานด้วยเช่นเดียวกัน จากข้อเรียกร้องของพวกมัน เขาต้องขึ้นบันไดไป แต่ก็ต้องเลือกเวลาที่แน่นอน เขาต้องให้สัญญาว่า ในช่วงเวลานี้ ในอาณาจักรที่สองแห่งนี้ เขาจะไม่ใช้อิทธิพลอำนาจของเขา เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับพวกมัน พวกมันไม่จำเป็นต้องระวังตัว และแอบทำสิ่งใดๆ ในเงามืดอีกต่อไป

พวกมันได้รอคอยคำสัญญาเช่นนี้มานานมากแล้ว หลายคนสงสัยว่า ผู้อาวุโสจากสำนักหรือตระกูลพวกมัน ซึ่งเคยมายังที่แห่งนี้เมื่อในอดีต จะเคยพบเจอกับสิ่งที่น่าผิดหวังเช่นนี้บ้างหรือไม่

จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกมันก็ไม่กล้าที่จะปรากฏกายขึ้นในที่สาธารณะใดๆ หรือเข้าไปในสถานที่ใกล้กับยอดเขาสี่ อันที่จริง เมื่อไหร่ที่พวกมันมองเห็นผู้ที่ถูกตามใจบินผ่านอากาศไป พวกมันก็จะต้องหดศีรษะลง ด้วยความหวาดกลัวว่าจะตกเป็นเป้าสายตาของเมิ่งฮ่าว

วันคืนของพวกมันได้ผ่านไปในลักษณะนี้มาหลายเดือนจนกระทั่งถึงตอนนี้ และพวกมันก็ต้องอดทนมาตลอดเวลา ในที่สุดพวกมันก็สามารถจะผ่อนคลาย และมีความสุขกับแสงตะวันของสมัยโบราณแห่งนี้…

หลังจากที่ทำการตกลงอย่างเป็นทางการได้ทั้งหมดแล้ว เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่าเวลาที่ต้องจากสถานที่แห่งนี้ไป ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาต้องออกไปจากโลกแห่งภาพลวงตาสมัยโบราณแห่งนี้ เพื่อกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง

อันที่จริง ไม่มีอะไรในที่แห่งนี้ ที่เขาจะเป็นส่วนหนึ่งของมันได้ ชีวิตในรูปแบบของผู้ที่ถูกตามใจ, ตัวตนของเขา ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความฝัน เมื่อต้องตื่นขึ้นมาจากความฝัน เรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดก็อาจจะถูกลืมเลือนไป

แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ต้องการจะลืมไป บิดาของเขาในชีวิตนี้, เคออวิ๋นไห่

ความรักของบิดา ที่ท่านได้แสดงให้เมิ่งฮ่าวเห็น ทำให้เขาต้องการจะจมอยู่ในที่แห่งนี้ และไม่อยากจะตื่นขึ้นมาอีก เขาไม่ต้องการจะให้ความฝันนี้จบลงไป และไม่ต้องการจะลืมเคออวิ๋นไห่ ในโลกแห่งภาพลวงตาสมัยโบราณนี้ ในที่สุดเขาก็ได้พบกันสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า มีบิดาอยู่ข้างกาย

ความรู้สึกนี้ช่วยชดเชยความโศกเศร้าบางอย่าง ซึ่งหลบซ่อนอยู่ในจิตใจเขามานานแล้ว

เมิ่งฮ่าวยกเลิกการเรียนรู้เวทแห่งเต๋า รวมถึงการปรุงเม็ดยา ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกถ้ำแห่งเซียนของเคออวิ๋นไห่ ถึงแม้ว่าเคออวิ๋นไห่ไม่เคยจะเปิดประตูออกมาเลย เมิ่งฮ่าวก็ยังคงนั่งอยู่ที่นั่น เฝ้าพูดคุยเรื่องราวบางอย่างออกมาเป็นระยะ

ชีวิตเขาดำเนินไปเช่นนั้นด้วยความเงียบและสงบสุข ไม่มีเรื่องราวที่น่าตกใจใดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างปกติธรรมดา สวี่ชิงยังคงนั่งเข้าฌาณตามลำพัง ไม่เคยลืมตาขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้เมิ่งฮ่าวคุ้นเคยกับรูปแบบชีวิตเช่นนี้แล้ว อันที่จริง มากกว่าหนึ่งครั้งที่เขาคิดกับตัวเองว่า ถ้าเหตุการณ์ยังคงดำเนินเช่นนี้ต่อไปชั่วนิรันดร์ ก็คงจะเป็นชีวิตที่ไม่เลวนัก

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ภาพที่ซ้อนทับกันปรากฏขึ้นทุกวัน เมิ่งฮ่าวรู้ว่าจำเป็นต้องจากไปแล้ว แต่ในจิตใจก็ไม่ต้องการจะจากไป นอกจากนั้นก็ยังมีความรู้สึกอันซับซ้อน ด้วยคำพูดอันยากจะเอ่ยออกมา ทำให้จิตใจเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปในท้องฟ้า มองออกไปยังดินแดนรอบๆ ตัว มองไปยังเจ็ดยอดเขาแห่งสวรรค์ชั้นแรก มองไปยังยอดเขาสี่ มองไปยังถ้ำแห่งเซียนของเคออวิ๋นไห่ จากนั้นก็หลับตาลง และคิดไปถึงสิ่งทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในที่แห่งนี้

ในตอนแรกเมิ่งฮ่าวยอมรับว่าเขาผิด ต่อมาเขาถูกฟาดโบยด้วยแส้ หลังจากนั้นในเจดีย์เซียนอสูร เขาถูกช่วยเหลือโดยเคออวิ๋นไห่ บิดาในชีวิตนี้ สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นความทรงจำ ที่ไม่อาจจะลบเลือนไปได้สำหรับเมิ่งฮ่าว

ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ที่จะกล่าวคำขอบคุณกับเคอจิ่วซือ เขาต้องการจะขอบคุณมัน ที่ส่งเขามาในสถานที่แห่งนี้ เขาต้องการจะช่วยให้เคอจิ่วซือบรรลุถึงเป้าหมายของมัน และทำเช่นเดียวกันสำหรับตัวมันเอง

“ความรักของบิดาดุจขุนเขา…” บางทีความคิดนี้อาจจะมีผลต่อเต๋าแห่งการปรุงยาของเมิ่งฮ่าว

นี่จะเป็นราตรีสุดท้าย ที่เขาจะปรุงยาอยู่ในอาณาจักรที่สอง

เขาจะใช้ต้นสมุนไพรอะไรในการปรุงยา แม้แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่อาจจะจำได้ เขาจมอยู่ในความรู้สึกที่เคารพนับถือต่อเคออวิ๋นไห่ จมอยู่ในประสบการณ์อันสวยงามของวันคืนที่ผ่านมา จมอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างบิดาและบุตร นั่นเป็นสิ่งที่เขากำลังคิด ขณะที่ใส่ส่วนผสมลงไปในกระถางปรุงยา

รสชาติและกลิ่นหอมของต้นสมุนไพรเหล่านี้ เป็นตัวแทนของเงาต่างๆ ในจิตใจเมิ่งฮ่าว พวกมันผสมรวมเข้าด้วยกัน ขณะที่เขาเริ่มปรุงเม็ดยา และเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะคิดถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวโดยสิ้นเชิง มีเพียงแต่ความทรงจำ เป็นความทรงจำของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเคออวิ๋นไห่และความรักของบิดา ความทรงจำที่เกี่ยวกับวัยเด็กของเขา และภาพอันเลือนลางของบิดาตนเอง

ไม่มีดวงจันทร์แขวนอยู่ในท้องฟ้ายามราตรีนี้

เมิ่งฮ่าวปรุงเม็ดยา โดยไม่ต้องขบคิดใดๆ เกี่ยวกับมัน ในที่สุด กระถางปรุงยาก็เริ่มส่งเสียงหึ่งๆ ขึ้น อย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ เป็นเสียงที่คล้ายกับเสียงแห่งเซียน คล้ายกับบทเพลงในงานศพ บางครั้งก็ร่าเริงเบิกบาน บางครั้งก็โศกเศร้าเสียใจ

บทเพลงนี้ประกอบด้วยความไม่เต็มใจที่จะต้องแยกจาก ดังก้องออกไปทั่วทั้งยอดเขาสี่ ทำให้ทุกคนต้องเงยหน้าขึ้นมาในทันที และมองขึ้นไปยังจุดสูงสุดของภูเขา ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเสียงเพลง

คล้ายกับเป็นสายลมที่กวาดผ่านจิตใจของทุกคนในที่แห่งนั้น ทำให้ระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ไปสะกิดความทรงจำของพวกมัน ทำให้ต้องหวนรำลึกนึกย้อนไปในอดีต

ภายในส่วนลึกของความทรงจำพวกมัน แต่ละคนมีความแตกต่างกันออกไป

บางคนก็คล้ายกับเด็กที่เพิ่งจะเติบใหญ่ขึ้น มองไปยังเงาร่างที่งองุ้มของบิดา และตระหนักว่าบิดาของพวกมันได้กลายเป็นชายชราไปแล้ว และจากนั้น…พวกมันก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ในจิตใจ

บางคนก็จำได้ถึงสิ่งที่พวกมันเคยเป็น ในตอนที่ยังเยาว์วัย เมื่อบิดาของพวกมันเข้มงวด ความคิดต่อต้านก็ปะทุขึ้นมาในจิตใจ และแอบบ่นอยู่ในใจ “หยุดพูดได้แล้ว!”

แต่หลังจากที่ผ่านไปนานหลายปี เมื่อพวกมันต้องมาเผชิญหน้ากับบิดาที่ผมหงอกขาวเต็มศีรษะ ขณะที่ท่านนอนป่วยอยู่บนเตียง พวกมันต้องจับมือที่เหี่ยวแห้ง หยดน้ำตาไหลลงมาเป็นสายอยู่บนใบหน้า และพวกมันก็จะร้องไห้คร่ำครวญกับตัวเอง “ท่านพ่อ…ได้โปรด พูดจากับข้าบ้าง”

มีผู้คนมากมาย เริ่มหยุดการฝึกฝนตนเองไปโดยไม่รู้ตัว ขณะที่พวกมันหวนรำลึกไปถึงเรื่องราวในอดีต ต่างก็มองขึ้นไปยังยอดเขา และเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างเงียบๆ

สวี่ชิงลืมตาขึ้นมา ขณะที่นางมองไปรอบๆ อย่างงุนงง ความรู้สึกเจ็บปวดพุ่งขึ้นมาในจิตใจ นางคิดไปถึงบ้านของนาง และภาพอันเลือนลางของบุพการีที่ตายไปนานแล้ว

“ข้าอยากจะกลับบ้าน…” นางพึมพำ

เสียงเพลงดังก้องออกมาจากภายในกระถางปรุงยา กระจายเต็มไปทั่วทั้งยอดเขาสี่ เมิ่งฮ่าวไม่รู้ถึงเรื่องนี้ เพราะเขาตกอยู่ในห้วงภวังค์ความนึกคิดโดยสิ้นเชิง การปรุงเม็ดยาก็เหมือนกับการเขียนบทเพลง หรือแกะสลักท่อนไม้ ซึ่งสามารถทำให้ความคิดและความรู้สึก อย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ ให้ไหลเข้าไปในผลงานที่กำลังสร้างสรรค์อยู่นั้น

เสียงของการปรุงเม็ดยา เริ่มต้นจากปกติธรรมดาทั่วไป แต่ในตอนนี้ มันประกอบไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ประกอบไปด้วยความคิดและความรู้สึกของเมิ่งฮ่าว แทบจะราวกับว่ามันมีชีวิต และจิตวิญญาณของตัวเอง เสียงเพลงของมันเกินกว่าจะเป็นเสียงที่ธรรมชาติสามารถสรรสร้างขึ้นมาได้

นอกจากนี้ จังหวะการเคลื่อนไหวทั้งหมดของมันก็คือความรัก…และถึงแม้ว่าความรักของหนุ่มสาวจะงดงาม แต่ก็ต้องซีดขาวเมื่อมาเปรียบเทียบกับความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวของบุพการี

อย่างช้าๆ ศิษย์ที่อยู่บนยอดเขาสาม และยอดเขาห้า ต่างก็ได้ยินเสียงเพลงของเม็ดยาที่กำลังปรุงขึ้นมาอยู่นี้ เป็นเสียงเพลงที่ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำอธิบาย ทันทีที่พวกมันได้ยินเสียงเพลงนี้ พวกมันก็หยุดการฝึกตน และยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ทุกคนเริ่มคิดไปถึงบิดาของตนเอง

ศิษย์ต่างๆ เริ่มเงียบลงมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เสียงเพลงปกคลุมไปยังพวกมัน ภาพต่างๆ พุ่งขึ้นมาจากความทรงจำของพวกมันเต็มอยู่ในจิตใจ

บิดายืนอยู่ที่นั่น คาบกล้องยาเส้นอยู่ในปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ขณะที่ท่านหันหน้ามา ก็มีรอยยิ้มที่ทำให้ข้าสบายใจ จากนั้นท่านก็ลูบศีรษะข้าอย่างอ่อนโยน

ดวงตะวันกำลังส่องแสง และข้าก็กำลังนั่งอยู่บนไหล่ของบิดา สูงขึ้นไปในอากาศ หัวเราะอย่างมีความสุข ในช่วงเวลานั้น ข้าไม่รู้ว่าเสียงหัวเราะของข้า ก็คือความสุขของบิดาข้า

ข้าไม่อยากจะเห็นมือที่แข็งแรงมั่นคงของท่าน ต้องค่อยๆ เริ่มผอมบางและแห้งเหี่ยวลง…

หวังลี่ไห่ได้ยินเสียงเพลงนั้น และหยุดเข้าฌาณในทันที มองออกไปในความมืดมิดแห่งราตรี และจากนั้นก็คิดย้อนกลับไปยังบิดาที่เข้มงวดของมัน

หานเป้ยนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ และจู่ๆ นางก็รู้สึกราวกับว่าจิตใจกำลังถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ นางก้มหน้าลงขณะที่คิดไปถึงบิดา และท่าเดินกะเผลก ขณะที่คนทั้งสองไปเดินเล่นด้วยกันในสำนักชิงหลัว เมื่อหลายปีก่อนนั้น

ในที่สุด กลุ่มคนในยอดเขาสองและหก ก็ได้ยินเสียงเพลงนี้ด้วยเช่นกัน เป็นเสียงเพลงที่เต็มไปด้วยความรักของบิดา ทำให้ความดุร้ายรุนแรงไม่อาจจะแพร่กระจายออกไปได้ แม้แต่บุคคลที่ชั่วร้ายมากที่สุดในสวรรค์และปฐพี ก็ต้องเริ่มระลึกไปถึงอดีตเมื่อได้ยินบทเพลงนี้

ข้าจำได้ว่า เมื่อท่านยื่นมือมา ข้ามองไปอย่างมีโทสะ ข้าต่อต้านกลับไป จากนั้นก็กระแทกประตูจากไป ข้าไม่เห็นร่างที่สั่นสะท้าน และแววผิดหวังในดวงตาของท่าน

ในวันหนึ่งยามสนธยาฝนตกหนัก ข้านอนป่วยอยู่บนเตียง ท่านลืมตาที่ฝ้าฟางมาดูข้า เส้นผมท่านหงอกขาว กราบต่อหน้ารูปปั้นของทวยเทพ เฝ้าอธิษฐานให้ข้ากลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงเหมือนเดิม ท่านวิ่งพล่านไปทั่ว ขายทุกสิ่งทุกอย่างไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะให้ข้าฟื้นคืนได้ดังเดิม

เมื่อข้าเห็นเช่นนั้น มือข้าก็เริ่มสั่น และจิตใจก็เจ็บปวดราวถูกกรีด ข้าอยากจะอ้าปากบอกว่า…บิดา ข้าผิดไปแล้ว

เสียงเพลงของเม็ดยาที่กำลังถูกปรุงขึ้นมา ค่อยๆ กระจายไปจนถึงยอดเขาแรก และยอดเขาที่เจ็ด อาณาเขตทั้งหมดของสำนักเซียนอสูรแห่งสวรรค์ชั้นแรกต่างก็ได้ยินเสียงเพลงนี้ ทุกคนกำลังรับฟังอยู่ รวมทั้งศิษย์สายนอก, ศิษย์สายใน, ศิษย์หลัก, ผู้อาวุโส…ทุกคน แม้แต่บุคคลที่ทรงพลังแข็งแกร่งมากที่สุดในโลกนี้, เซียนอมตะ ต่างก็มีผลกระทบจากเสียงเพลงนี้ และเริ่มรำลึกถึงความหลัง

เกิดเป็นเสียงสะท้อนดังก้องไปมา และความทรงจำก็ลอยขึ้นไป ในตอนนี้ ทั่วทั้งสำนักเซียนอสูรตกอยู่ในความเงียบโดยสิ้นเชิง ยกเว้นเสียงเพลงบทนี้…ทุกคนกำลังรับฟังมัน และคิดไปถึงเรื่องราวในอดีต

ประมุขแห่งยอดเขาแรก, สอง, สาม, ห้า, หกและเจ็ด…หกประมุข ต่างก็ได้ยินเสียงเพลงนี้ พวกมันมองขึ้นตรงไปยังยอดเขาสี่ด้วยสีหน้าโศกเศร้า พวกมันมองเห็นเมิ่งฮ่าวกำลังปรุงเม็ดยาอยู่ และได้ยินเสียงของเขาอยู่ภายใน

แม้แต่ประมุขที่เคยเกลียดชังเคอจิ่วซือมากที่สุด ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากถอนหายใจออกมา

“มัน…ในที่สุดก็เติบใหญ่แล้ว พี่อวิ๋นไห่…ข้าหวังว่าท่าน…จะจากไปด้วยดี”

ในตอนนี้เองที่เสียงอื่น ก็ดังขึ้นมาอยู่ภายในสำนักเซียนอสูร เป็นเสียงของระฆัง…ระฆังแห่งความตาย…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version