Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 836

ตอนที่ 836

ประตูเซียนเลื่อนลงมา

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน เมื่อได้เห็นท่านอาจารย์เป็นเช่นนี้ และได้ยินความมุ่งมั่นในน้ำเสียงของท่าน เมื่อพูดถึงการกลายเป็นเซียน ก็ทำให้จิตใจเขารู้สึกเจ็บแปลบ เขาไม่ได้พูดให้คำแนะนำใดๆ แต่นั่งลงไปขัดสมาธิ และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเข้าใจ

“ถ้าเจ้าปรารถนาจะกลายเป็นเซียน” ตานกุ่ยกล่าว “เจ้าต้องมีพลังของเจตจำนงอันน่าเหลือเชื่อและความปรารถนาอันแรงกล้า หลอมรวมพวกมันเข้าไปในจิตแห่งเต๋า ทำการค้นหาเพื่อกลายเป็นเซียน”

“จิตแห่งเต๋านั้นเป็นตัวแทนของความเชื่อตลอดชีวิต ที่จะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจในวันที่ต้องตายไป ถ้าไม่อาจจะบรรลุกลายเป็นเซียนได้”

ตานกุ่ยยิ้มน้อยๆ ออกมา จากนั้นก็หลับตาลง อีกไม่กี่วันทัณฑ์เซียนแท้ก็จะตกลงมา ในช่วงเวลานั้น ท่านจำเป็นต้องรักษาจิตใจให้เยือกเย็น และทำให้ตนเองเตรียมพร้อมอยู่ในจุดสูงสุดตลอดเวลา จากนั้นท่านก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับทัณฑ์เซียนที่เฝ้ารอคอยมาตลอดสองชาติภพ!

เวลาผ่านไป ปราณเซียนเริ่มหมุนวนอยู่รอบๆ ร่างตานกุ่ยมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ายกลเวทป้องกันอันยิ่งใหญ่ของสำนักจื่อยิ่นกำลังหมุนวนอย่างเต็มกำลัง และศิษย์ทั้งหมดต่างก็นั่งขัดสมาธิท่องคัมภีร์อยู่ เจตจำนงของพวกมันไหลออกมา ก่อตัวรวมเข้าด้วยกันสร้างเป็นพลังอันแปลกประหลาดขึ้นมา ช่วยเกื้อหนุนรูปปั้นของจื่อตงเจินเหริน ทำให้รูปปั้นเริ่มดูคล้ายกับมีชีวิตมากยิ่งขึ้น

ฉู่อวี้เยียนอยู่ในกลุ่มฝูงชน นางมองเห็นเมิ่งฮ่าว และจากนั้นก็หลับตาลง นางรู้สึกได้ว่าช่องว่างระหว่างคนทั้งสอง มีแต่จะห่างมากขึ้นไปเรื่อยๆ เมิ่งฮ่าวแทบจะกลายเป็นเซียนไปแล้ว แต่นางก็ยังคงอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง

ราวกับว่ามีหุบเหวลึกปรากฏขึ้นอยู่ระหว่างคนทั้งสอง ซึ่งได้ตัดความเป็นไปได้ในอนาคตทั้งหมดไป

บรรยากาศในดินแดนด้านใต้ค่อยๆ กลายเป็นแรงกดดันขึ้นอย่างช้าๆ ปรมาจารย์ซ่งมาถึงพร้อมกับผู้พิทักษ์ต้วนหนานแห่งทะเลทรายตะวันตก รวมทั้งผู้ฝึกตนอื่นๆ นับไม่ถ้วน พวกมันไม่ได้เข้ามาใกล้สำนักจื่อยิ่น แต่ยึดครองตำแหน่งอยู่รอบๆ อาณาเขตของสำนัก เพื่อคอยคุ้มกัน และทำตัวเป็นผู้พิทักษ์เต๋า

ใครก็ตามที่เคยได้รับความกรุณาจากตานกุ่ยในช่วงหลายปีทีผ่านมา ต่างก็ปรากฏกายขึ้นมาเพื่อตอบแทนความเมตตาของท่าน ด้วยการทำตัวเป็นผู้พิทักษ์เต๋า เวลาเดียวกันนั้น ในดินแดนตะวันออก รวมทั้งสถานที่อันลี้ลับอื่นๆ ในดาวหนานเทียนทั้งหมด ผู้คนที่ได้สะกดพื้นฐานฝึกตนของตัวเองไว้และอยู่ในช่วงการนั่งเข้าฌาณตามลำพังเริ่มตื่นขึ้นมา กลุ่มคนเหล่านี้ได้รอคอยการบรรลุเป็นเซียนแท้มาตลอดชีวิตของพวกมัน

พวกมันก้าวเท้าออกมาจากผืนป่าในเขตภูเขาต่างๆ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับนั่งเข้าฌาณตามลำพังของพวกมัน และใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อเข้ามาใกล้ดินแดนด้านใต้ พวกมันไม่ได้บุกเข้าไปในสำนักจื่อยิ่น แต่เลือกสถานที่ซึ่งใกล้เคียงบริเวณนั้น เพื่อติดตั้งเวทป้องกันของพวกมันเอง และพวกมันได้เข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน โคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตน เฝ้ารอคอยโอกาสที่จะต่อสู้เพื่อการกลายเป็นเซียนแท้!

ในช่วงโอกาสนี้ ผู้ฝึกตนทั้งหมดในดินแดนแห่งดาวหนานเทียนที่ปรารถนาจะต่อสู้เพื่อกลายเป็นเซียนได้ปรากฏกายขึ้น

นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมผู้แข็งแกร่งจากดินแดนทางเหนือ ถึงได้ตัดสินใจที่จะก่อสงครามกับดินแดนด้านใต้ พวกมันต้องการจะครอบครองตำแหน่งที่สำคัญในการต่อสู้เพื่อโชคชะตาเซียน

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสลัวลงอย่างช้าๆ ถึงแม้จะเป็นยามราตรี แต่มันก็ยังคงไม่มืดสนิทลงไป สวรรค์อยู่ในช่วงยามสนธยาตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้นแรงกดดันอันน่าตกใจได้กดทับลงมาทั่วทั้งดาวหนานเทียนแห่งนี้

มนุษย์ธรรมดาทั้งหมดต่างก็สลบไสลไม่ได้สติ ต้นไม้ใบหญ้าดูเหมือนจะแน่นิ่งและเริ่มตายไป สัตว์ทั้งหมดต่างก็นอนคว่ำอยู่บนพื้นดินอยู่ในช่วงจำศีล

ภูเขาที่สูงมากที่สุดก็ดูเหมือนจะไม่สูงอีกต่อไป และแม่น้ำก็หยุดการไหลริน มองไม่เห็นคลื่นม้วนตัวไปมาอยู่ในทะเลเทียนเหอ แต่ดูสงบราบเรียบราวกับเป็นกระจก

ในตอนนี้เองที่ลำแสงหลากสีนับไม่ถ้วน ได้ปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของดาวหนานเทียน ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลจำนวนมากปะทุขึ้น ทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง กลุ่มคนรีบตรงมายังดาวหนานเทียนจากสถานที่ต่างๆ ทั้งหมดของตี้จิ่วซานไห่ กลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนดาวหนานเทียน แต่ได้จากบ้านเกิดไปอยู่บนดาวดวงอื่น ตอนนี้เมื่อการต่อสู้แย่งชิงโชคชะตาเซียนกำลังจะเริ่มขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่พวกมันจะกลับมาในช่วงวิกฤตที่สำคัญนี้

อย่างไรก็ตาม ขณะที่พวกมันเข้ามาใกล้กับดินแดนแห่งดาวหนานเทียน ลำแสงของปราณกระบี่ได้พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และหมุนเป็นวงกลมไปรอบๆ ดวงดาว จากนั้นเสียงของฟางซิ่วเฟิงก็ดังก้องสะท้อนอยู่ไปมา

“ดาวหนานเทียนตอนนี้ถูกผนึกไว้แล้ว สหายเต๋าได้โปรดจากไป”

เมื่อกลุ่มคนที่พุ่งผ่านท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวได้ยินเสียงที่ดังก้องอยู่นั้น สีหน้าพวกมันก็เปลี่ยนไป หลายคนได้ส่งข้อความร้องขอที่จะก้าวเท้าลงไปบนดวงดาว พร้อมกับคำมั่นสัญญาหลากหลายรูปแบบ แต่ฟางซิ่วเฟิงก็ไม่สนใจพวกมัน ท่านยังคงนั่งหลับตาอยู่ที่ด้านนอกของสำนักจื่อยิ่นต่อไป ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ควบคุมปราณกระบี่ ผนึกดาวหนานเทียนทั้งหมดไว้

ท่านรู้ว่าการกระทำเช่นนี้ เป็นการตัดเส้นทางเซียนของใครหลายคนไปโดยตรง ท่านยังรู้อีกด้วยว่าสำนักและตระกูลต่างๆ มากมาย จะต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีผลกระทบต่อท่านมากเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเมิ่งฮ่าว

ฟางซิ่วเฟิงเคยอธิบายเรื่องเหล่านี้ต่อเมิ่งฮ่าวมาก่อนแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่ได้กล่าวอันใด มีแต่แสงแห่งความมุ่งมั่นสาดประกายออกมาจากดวงตา แทนคำพูดทั้งหมดที่เขาจำเป็นต้องกล่าวออกมา

“นั่นคือสิ่งที่บุตรชายข้าควรจะเป็น” ฟางซิ่วเฟิงคิด “ความเมตตาต้องชดใช้ ความแค้นต้องชำระ!”

ดาวหนานเทียนถูกผนึกไว้ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มคนจากด้านนอกจะผ่านเข้ามาได้ พวกมันได้แต่มองมาด้วยความกระวนกระวายใจ บางคนกัดฟันแน่นและกลายเป็นลำแสง พยายามที่จะพุ่งเข้าไปด้วยกำลัง แต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้เข้าไปใกล้ ปราณกระบี่ก็ม้วนกวาดออกไป และพวกมันก็ลอยกลับไปทางด้านหลัง โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก

“นี่เป็นแค่คำเตือน” ฟางซิ่วเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “นับจากนี้ไป ใครที่บุกรุกเข้ามาจะต้องถูกสังหารไปในทันที” กลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกเกิดความรู้สึกไม่พอใจ ในเวลาเดียวกันนั้นก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวด้วยเช่นกัน

สามวันหลังจากนั้น!

ดินแดนแห่งดาวหนานเทียนก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่ม ที่กระจายออกมาซึ่งไม่ได้มาจากตัวของดวงดาวเอง แต่มาจากท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวที่อยู่ด้านบน แทบจะราวกับว่ามียักษ์กำลังแผดร้องคำรามออกมาจากความว่างเปล่าที่ด้านนอก

เสียงกระหึ่มที่ดังก้องออกมานั้น ทำให้เกิดเป็นตัวอักษรปรากฏขึ้น!

ตัวอักษรนั้น คือ ‘仙’! (เซียน)

ขณะที่เสียงนั้นดังก้องออกมา ก็ดูเหมือนกับว่าคนทั้งหมดที่อยู่ในตี้จิ่วซานไห่ควรจะได้ยิน แต่กลับเป็นว่า…มีแต่ดาวหนานเทียนเท่านั้นที่ได้ยิน!

ในเวลาเดียวกันนั้น ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวซึ่งอยู่ที่ด้านนอกของดาวหนานเทียนเริ่มสั่นสะท้าน และเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนได้ปรากฏขึ้น และจากนั้นก็เริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อกลายเป็น…ประตูขนาดใหญ่!

ประตูนั้นกระจายความเก่าแก่โบราณอย่างไร้ที่สิ้นสุดออกมา ปรากฏว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากสัมฤทธิ์ และถูกแกะสลักเป็นลวดลายนับไม่ถ้วน แม้ว่ายากที่จะเห็นได้ชัดถึงรายละเอียดทั้งหมด แต่บรรยากาศอันเก่าแก่โบราณของประตู ก็ทำให้ดูเหมือนกับว่ามันได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของสวรรค์และปฐพี

ประตูนั้นค่อนข้างจะชำรุดทรุดโทรม ราวกับว่ามันเคยเผชิญกับสงครามอันน่าหวาดกลัวมา มองเห็นรอยแปดเปื้อนสีดำของโลหิตที่แห้งกรังอยู่บนพื้นผิว ประตูกระจายกลิ่นอายอันน่ากลัวและทรงพลังออกมาอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ สำหรับขนาดของมัน ดูช่างใหญ่โตจนแทบจะบดบังไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอย่างแท้จริง

แม้แต่ฟางซิ่วเฟิงก็ยังต้องสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ หลังจากที่รับรู้ได้ถึงประตูและกลิ่นอายของมัน ถ้าของสิ่งนี้เป็นสิ่งของเวท ก็แน่นอนว่ามันจะสามารถสะกดข่มสิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ในครั้งเดียวด้วยพลังที่มันปลดปล่อยออกมา

เมื่อมันปรากฏขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว กลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านนอก ซึ่งไม่อาจจะผ่านเข้ามาในดาวหนานเทียน ต่างก็มองไปด้วยความตกตะลึงและร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“ประตูเซียนปรากฏขึ้นมาแล้ว! โชคชะตาเซียนแท้ได้มาถึงแล้ว!”

“บัดซบ! ฟางซิ่วเฟิงกำลังปิดกั้นเส้นทางไว้ ทำให้พวกเราไม่สามารถเข้าไปได้! อย่าบอกนะว่าพวกเราได้แต่ต้องนั่งอยู่เฉยๆ มองดูคนอื่นเอาโชคชะตานี้ไป!?”

“ฟางซิ่วเฟิงคิดว่าสามารถจะหยุดพวกเราทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ!? พวกเรามาช่วยกันโจมตีไปโดยพร้อมเพรียงกัน!” ดวงตาของพวกที่มุงดูอยู่ทั้งหมดกลายเป็นสีแดงก่ำไปโดยสิ้นเชิง

ในเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มหมอกเซียนก็เริ่มกระจายออกมาจากประตูเซียน จากนั้นก็ไหลตรงเข้าไปยังดาวหนานเทียน

กลุ่มหมอกปกคลุมไปทั่วทั้งดาวหนานเทียนในชั่วพริบตา ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นดวงดาวแห่งกลุ่มหมอก ต่อมาประตูก็เริ่มเคลื่อนที่ตรงไป พุ่งผ่านกลุ่มฝูงชนผ่านเข้าไปในกลุ่มหมอก จากนั้นก็จมลงไปยังดินแดนแห่งดาวหนานเทียน

ในตอนนี้ ผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านนอกกำลังเริ่มคลุ้มคลั่ง พวกมันเริ่มพุ่งไปยังดาวหนานเทียน บิดาเมิ่งฮ่าวส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์อันเย็นชาออกไปเพื่อตอบโต้ ปราณกระบี่ส่งเสียงดังกระหึ่ม ม้วนกวาดออกไปทั่วยังกลุ่มคนที่ต้องการจะเข้ามาในดาวหนานเทียน

เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็สั่นสะท้าน เสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจได้ยินมา และโลหิตก็พ่นกระจายลงมาราวกับเป็นสายพิรุณ ปราณกระบี่ม้วนกวาดไปมา ทำให้ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะพุ่งผ่านเข้ามาในดินแดนแห่งดาวหนานเทียนได้

ที่ด้านล่างบนดาวหนานเทียน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยปราณเซียนจำนวนมากที่พลุ่งพล่านปั่นป่วน ซึ่งมาแทนที่ยามสนธยาที่ไม่รู้จบก่อนหน้านี้ เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ ผลจากความปั่นป่วนของกลุ่มหมอกทำให้เกิดเป็นสายฟ้าเซียน

ภายในกลุ่มหมอกนั้นมีประกายสายฟ้าเต้นไปมาอยู่ด้วยเช่นกัน สายฟ้าทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นมานี้ ทำให้พวกที่มุงดูอยู่เต็มไปด้วยความตกตะลึง และพวกมันก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณกำลังจะแตกกระจายออกไป

“เซียน!” เสียงเก่าแก่โบราณพูดขึ้นมาจากภายในกลุ่มหมอก และคำพูดนั้นก็ดังก้องออกไปทั่วทั้งดินแดนแห่งดาวหนานเทียน ได้ยินอยู่ในจิตใจของผู้ฝึกตนค้นหาเต๋าทั้งหมด คำพูดนี้เป็นกุญแจที่จะเปิดเป็นเส้นทางเซียนสำหรับใครก็ตามที่มีคุณสมบัติเพียงพอ

“เซียน!” ตานกุ่ยลืมตาที่สาดประกายด้วยความมุ่งมั่นอันเข้มข้นมองขึ้นไป ท่านลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้แข็งแกร่งค้นหาเต๋าคนอื่นๆ ทั้งหมด ที่อยู่ในดินแดนด้านใต้ในตอนนี้ บ้างก็มาจากดินแดนตะวันออก บ้างก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สะกดข่มพื้นฐานฝึกตนของพวกมันไว้ตลอดชีวิต บ้างก็เป็นผู้ฝึกตนที่คล้ายกับตานกุ่ยที่ได้สร้างการฝึกตนขึ้นมาใหม่

พวกมันทั้งหมดกำลังรอคอยทัณฑ์เซียนแท้นี้!

ในเวลาเดียวกันนั้น พวกมันทั้งหมดต่างก็อ้าปากขึ้นและเริ่มกล่าวคำว่า ‘เซียน’ จากนั้นก็เริ่มบินตรงขึ้นไปยังต้นกำเนิดของเสียงโบราณที่อยู่ภายในกลุ่มหมอกนั้น

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน และโคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตน โลหิตเริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็วมากขึ้น ตอนนี้ปราณเซียนภายในร่างถูกกระตุ้นขึ้นมา แม้แต่เขาก็แทบจะเริ่มตะโกนคำว่า ‘เซียน’ ออกไป

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เกิดในดินแดนแห่งดาวหนานเทียน และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่จะได้โชคชะตานี้ ดังนั้นเขาจึงได้พยายามอดทนไว้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นสูงขึ้นไปในท้องฟ้า ได้ประทับลึกอยู่ภายในจิตใจอย่างที่ไม่อาจจะลบล้างออกไปได้

ต่อมากลุ่มหมอกก็เริ่มม้วนตัวไปมา เสียงฟ้าร้องเริ่มดังกึกก้องมากขึ้น และสายฟ้านับไม่ถ้วนก็เต้นไปมา ขณะที่ประตูขนาดใหญ่มหึมาเริ่มตกลงมา!

ความเก่าแก่โบราณของประตูนั้นยากที่จะอธิบายออกมาได้ ราวกับว่ามันคงอยู่มาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของสวรรค์และปฐพี ดูเก่าแก่อย่างน่าเหลือเชื่อ บางทีอาจจะมีอายุมากกว่าตี้จิ่วซานไห่ด้วยซ้ำไป การปรากฏขึ้นของมันทำให้ดูเหมือนกับว่าดินแดนที่ด้านล่างไม่มีอะไรจะมาเปรียบเทียบได้ รอยแกะสลักบนพื้นผิวของมัน แปดเปื้อนไปด้วยโลหิต และกลิ่นอายที่กระจายออกมา ทำให้คนทั้งหมดต้องสูดหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง แทบจะราวกับว่าการมองไปยังประตูนี้ ก็เหมือนกับการมองกลับเข้าไปในหน้าประวัติศาสตร์ที่หายสาบสูญไป!

“มันมาจากที่ไหน?” เมิ่งฮ่าวคิดขณะที่มองไป “มันสามารถเปลี่ยนให้ผู้คนกลายเป็นเซียนแท้ได้อย่างไร?” ทันใดนั้น ตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ในถุงสมบัติก็เริ่มสั่นไปมา ราวกับว่ามีการตอบรับบางอย่างระหว่างตะเกียงนี้และประตูสัมฤทธิ์

ตานกุ่ยเงยหน้าขึ้นและหัวเราะออกมา

“ประตูเซียนตกลงมา! นี่…นี่คือทัณฑ์เซียนแท้!”

“ไม่มีภัยพิบัติสำหรับเซียนเทียม พวกมันต้องการเพียงแค่โองการเต๋าจากเซียนแท้เท่านั้น และจากนั้นพวกมันก็จะกลายเป็นเซียนเทียม แต่ถ้าเซียนแท้ตายไป เซียนเทียมของพวกมันก็จะตายไปด้วยเช่นกัน!”

“นั่นไม่ใช่เส้นทางของผู้ฝึกตน นั่นคือการทำทาน! สิ่งที่ผู้ฝึกตนฝึกฝนคือการต่อต้านกฎแห่งสวรรค์ เป็นวิถีทางของอิสรภาพ แล้วผู้ฝึกตนจะกลายเป็นทาสเซียนของผู้อื่นได้อย่างไร?!”

“ก้าวเท้าเข้าไปบนภูเขายืนยันเต๋า เปิดประตูเซียนในช่วงของทัณฑ์เซียน นั่นก็คือการกลายเป็นเซียนแท้!”

“ถ้าประตูเซียนไม่ถูกเปิดออก และทัณฑ์เซียนไม่ได้กระจายหายไป ถ้าเช่นนั้นแล้วมันจะสำคัญอย่างไรถ้าต้องตายไป?!”

ด้านล่างเท้าของตานกุ่ย ภูเขาซึ่งก็คือรูปปั้นของจื่อตงเจินเหรินได้ยกตัวเองขึ้นมา เสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่พลังอันนุ่มนวลและอ่อนโยนพุ่งกระจายออกมา ผลักดันให้เมิ่งฮ่าวออกห่างไปจากรูปปั้นขนาดใหญ่นี้

ในเวลาเดียวกันนั้น พลังแปลกๆ เช่นเดียวกันนี้ได้ทำให้รูปปั้นพุ่งขึ้นไปในอากาศ มุ่งหน้าตรงไปยังประตูเซียน

จากภูเขาทั้งเจ็ด ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด มีรูปร่างคล้ายกับกระบี่ และที่มีขนาดเล็กมากที่สุด ก็ดูคล้ายกับกองซากศพ แต่ละภูเขามีรูปร่างที่แตกต่างกัน แต่ภูเขาทั้งเจ็ดนี้ เป็นของคนโบราณที่จะต่อสู้กับตานกุ่ยเพื่อให้ได้โชคชะตาเซียน ภูเขาเหล่านี้คือภูเขายืนยันเต๋าของผู้แข็งแกร่งค้นหาเต๋า!

เช่นเดียวกับตานกุ่ย ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นได้ยืนบนภูเขาของตนเอง ขณะที่พุ่งขึ้นไปในอากาศตรงไปยังประตูเซียน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version