ตอนที่ 931
นางมีนามว่าฟางอวี๋
คำพูดของนางเต็มไปด้วยรังสีสังหาร ราวกับว่าถ้าพูดขัดใจออกมาเพียงแค่คำเดียว ก็จะต้องต่อสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง
เมิ่งฮ่าวกระพริบตาปริบๆ และจากนั้นก็กระแอมไอเบาๆ ยังคงโอบแขนไปที่ซุนไห่ มองไปรอบๆ ยังคนอื่นๆ บางคน
“นั่นใช่ซ่งหลัวตานหรือไม่? ยังมีไท่หยางจื่ออีก! หวังมู่ก็มาด้วย! ช่างเป็นโอกาสดีจริงๆ! ที่ทั้งหมดมาอยู่กันพร้อมหน้า ถ้าเช่นนั้น…เมื่อไหร่ที่พวกเจ้าจะจ่ายหนี้ข้า?”
แค่ไม่กี่ประโยคของเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นก็ไปกระตุ้นปฏิกิริยาของผู้ถูกเลือกต่างๆ ที่อยู่ในศาลารุ่งบูรพา บ้างก็ระเบิดโทสะออกมา บ้างก็จ้องมองมาอย่างดุร้าย บ้างก็มีดวงตาที่แดงก่ำ
“หุบปาก!”
“หยุดพูดได้แล้ว!”
“เมิ่งฮ่าว อย่าได้กดดันผู้อื่นมากนัก!!”
“เมิ่งฮ่าว ถ้าเจ้ากล้าดูถูกข้าอีกครั้ง เจ้าและข้าก็จะเป็นศัตรูกันตลอดไป!!”
เมื่อฟางซีได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ทั้งหมด มันก็จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความตกตะลึงและงุนงง จากนั้นก็มองไปยังผู้ถูกเลือกที่เต็มไปด้วยโทสะ และต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ มันไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวได้ไปสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ถูกเลือกมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร จนทำให้พวกมันต้องโกรธแค้นได้ถึงเพียงนี้
ฟางซียิ่งมีความตกใจมากขึ้นด้วยคำพูดระหว่างเมิ่งฮ่าวและหลี่หลิงเอ๋อร์ รวมทั้งฝานตงเอ๋อร์ จริงๆ แล้ว ฝานตงเอ๋อร์คือนางเซียนในความฝันของฟางซี…
แต่แล้วในชั่วพริบตา นางเซียนก็ได้เรียกอาวุธอันน่ากลัวออกมา ความปลาบปลื้มใดๆ ที่ฟางซีมีต่อนาง ได้มลายหายไปในทันที จากความกราดเกรี้ยวที่ดูน่ากลัวของนาง
ไม่เพียงแต่ฟางซีเท่านั้นที่ตกตะลึงเช่นนี้ ฟางหงก็จ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างด้วยเช่นกัน นางไม่เคยคาดคิดว่าเมิ่งฮ่าวจะมีข้อพิพาทอะไรกับกลุ่มคนเหล่านี้ จนทำให้พวกมันต้องแสดงท่าทางเช่นนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าคำพูดแค่สั้นๆ ของเมิ่งฮ่าว ได้เสียดแทงลึกเข้าไปในจิตใจพวกมัน
แม้แต่ฟางเว่ยก็ยังต้องงุนงงว่า เมิ่งฮ่าวไปมีความคุ้นเคยกับกลุ่มคนเหล่านี้ได้อย่างไร…
มีเพียงฟางเซียงซานและฟางตงหานเท่านั้น ที่รู้ความจริงถึงแรงบันดาลใจและความน่าเศร้าใจของความสัมพันธ์ระหว่างพวกมัน และรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่ทำให้โลกต้องสั่นสะเทือนได้ในตอนนั้น
สมาชิกตระกูลฟางที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวและผู้ถูกเลือกด้วยความตกตะลึง จิตใจหมุนคว้าง
การปรากฏตัวขึ้นของเมิ่งฮ่าวในศาลานี้ ทำให้เขากลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่ฟางเว่ยก็ยังต้องถูกสะกดข่มไว้
คำตอบโต้ของผู้ถูกเลือก ทำให้ใบหน้าของเมิ่งฮ่าวบึ้งตึงขึ้นมาในทันที
ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวอะไรออกมา นกแก้วที่ยังคงรักษาความเงียบของมันไว้จนกระทั่งถึงตอนนี้ กลอกลิ้งดวงตามันไปมา และจากนั้นก็จ้องมองไปยังกลุ่มคนทั้งหมด แผดร้องเป็นเสียงแหลมเล็กออกมา
“ใครเป็นหนี้ก็ต้องจ่าย! นี่คือหลักการพื้นฐานของสวรรค์และปฐพี! เจ้าพวกไร้ยางอายควรจะจ่ายหนี้ของพวกเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ถ้าพวกเจ้าไม่มีเงิน ก็ไปหาสัตว์มีขนมาให้กับอู่เหยีย! ถ้าอู่เหยียพึงพอใจ ข้าก็จะช่วยจ่ายหนี้คืนให้! พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เมิ่งฮ่าวแค่นเสียงเย็นชา จ้องมองไปยังกลุ่มฝูงชน จากนั้นก็ตบไปที่ถุงสมบัติ หยิบเอาตั๋วสัญญามาปึกใหญ่ เขาเริ่มแตะนิ้วไปบนตั๋วสัญญา และจากนั้นก็มองขึ้นไป
“กระดาษขาวตัวอักษรโลหิต เป็นลายมือที่ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน พวกเจ้ากล้าที่จะไม่ยอมจ่ายจริงๆ?” เห็นได้ชัดว่าเมิ่งฮ่าวเริ่มมีโทสะขึ้น เขารู้ดีว่าเมื่อทำการปรุงเม็ดยาวิญญาณตะวันทุกชั้นฟ้าได้สำเร็จ เขาก็สามารถจะแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนหินลมปราณได้ชั่วคราว แต่จากการคิดคำนวน สิ่งที่เขาต้องมีก็ยังคงไม่เพียงพอ ตอนนี้ความยินดีที่ได้พบกับคนที่เป็นลูกหนี้เหล่านี้ ได้กลายเป็นความไม่พอใจขึ้นมา
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวหยิบเอาตั๋วสัญญาปึกใหญ่ออกมา ฟางซีก็อ้าปากค้าง ดวงตาฟางหงเบิกกว้าง แม้แต่ฟางเว่ยก็ต้องมองไปด้วยความตกตะลึง
กลุ่มคนตระกูลฟางที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นทั้งหมด จ้องมองไปด้วยความงุนงงและไม่อยากจะเชื่อยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังยืนอยู่ที่นั่น แตะนิ้วลงไปบนตั๋วสัญญา ภาพของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ได้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจพวกมัน
“มัน…มันมีตั๋วสัญญาอยู่มากมายเท่าใดกันแน่?”
“ฟางฮ่าวไม่ใช่มาจากดาวหนานเทียน? แล้วจะมีผู้คนมากมายไปยืมเงินมันได้อย่างไร?”
“คนผู้นี้ทำอะไรกันแน่? มันไม่ใช่ผู้ฝึกตน? สำหรับข้าแล้วทำไมมันถึงดูไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนเลย?”
ผู้ถูกเลือกตระกูลฟางอ้าปากค้าง ขณะที่จิตใจพวกมันเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนวุ่นวาย
“ซุนไห่” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “เริ่มที่เจ้าก่อนก็แล้วกัน” เขาตบไปที่ศีรษะของซุนไห่ “อย่าได้คิดว่าเพราะเจ้าศีรษะล้านแล้วในตอนนี้ ทำให้ข้าไม่อาจจะคว้าจับเจ้าได้ ยังมีอีกหลายแห่งบนร่างเจ้าที่มีเส้นขนอยู่ ใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตานกแก้วทันใดนั้นก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น และจ้องมองไปยังซุนไห่ด้วยความสนใจ
ซุนไห่เริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่าง กัดฟันแน่นและกำลังจะปกป้องตัวเอง แต่คำพูดของเมิ่งฮ่าวก็ทำให้มันคิดย้อนกับไปยังประสบการณ์อันน่ากลัวบนดาวหนานเทียนขึ้นในทันที ในที่สุดมันก็หน้าบึ้งด้วยโทสะขึ้นมา
“เอ่อ…ข้าขอจ่ายคืนให้น้อยกว่าที่ค้างไว้ได้หรือไม่?”
เมิ่งฮ่าวดีใจขึ้นมาในทันที ดวงตาสาดประกายกล่าวว่า
“ตกลง! เริ่มจ่ายดอกเบี้ยก่อนก็ได้ เป็นอย่างไร?” ซุนไห่หน้าบูดบึ้ง กัดฟันแน่น และจากนั้นก็ตบไปที่ถุงสมบัติ หยิบเอาหินลมปราณออกมายื่นส่งให้กับเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวรีบเก็บพวกมันไว้อย่างรวดเร็ว เลียริมฝีปาก จากนั้นก็มองไปยังถุงสมบัติของซุนไห่
“เมื่อคิดว่าพวกเราไม่ค่อยจะได้พบกันบ่อยครั้งนัก ทำไมเจ้าถึงไม่จ่ายมาให้มากกว่านี้สักเล็กน้อย?”
“ข้าทำไม่ได้จริงๆ” ซุนไห่กล่าว “ข้า…ข้ามายังตระกูลฟางเพื่อซื้อของสิ่งหนึ่ง…คือ…ข้ารู้ว่าหญิงสาวนางนั้นมาจากตระกูลฟาง และข้าก็อยากจะซื้อของกำนัลไปให้กับนางจริงๆ เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า พวกเราอาจจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันก็ได้!”
“เช่นนี้เป็นอย่างไร เจ้าจ่ายดอกเบี้ยออกมาอีกเล็กน้อย และข้าก็จะช่วยพูดจาให้กับเจ้า” เมิ่งฮ่าวกล่าว ยิ้มออกมาและตบไปที่ศีรษะของซุนไห่
จู่ๆ เขาก็ตระหนักว่าการตบไปที่ศีรษะของซุนไห่ ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ดังนั้นเขาจึงตบลงไปอีกสองสามครั้งเพื่อความมั่นใจ
“เสียวไห่ ไม่ต้องกังวลไป จ่ายหินลมปราณเหล่านั้นมา และข้าก็จะช่วยเจ้า ในตระกูลฟางตั้งแต่ผู้เฒ่าสูงสุดไปจนถึงคนในตระกูลระดับล่างสุด ต่างก็ไว้หน้าข้าทั้งสิ้น”
ซุนไห่ลังเลอยู่ชั่วขณะ มันรู้ว่าเมิ่งฮ่าวคือหลานปู่คนโตของสายโลหิตหลัก ถึงแม้ว่าสายโลหิตหลักจะตกต่ำลงก็ตามที แต่บิดาเมิ่งฮ่าวก็ยังมีชีวิตอยู่ และเมิ่งฮ่าวก็เริ่มมีน้ำหนักอยู่ในใจของคนในตระกูลเมื่อเร็วๆ นี้
จากการสอบถามก่อนหน้านี้ของมัน ไม่มีใครในกลุ่มผู้ถูกเลือกในตระกูลฟางจะรู้จักหญิงสาวที่มันชอบ ทำให้ซุนไห่กังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เมื่อมันเห็นความโอ่อ่าเกรียงไกรของเมิ่งฮ่าว มันก็คิดว่า…น่าจะขอคำแนะนำจากเมิ่งฮ่าวได้บ้าง
“ข้าอยากรู้นักว่ามันจะช่วยพูดให้กับข้าจริงๆ หรือไม่…” ซุนไห่คิด กัดฟันแน่น มันใส่ใจต่อหญิงสาวตระกูลฟางนางนี้มาโดยตลอด จนถึงจุดที่ไม่อาจจะกระทำได้อย่างสมเหตุสมผล ในที่สุด มันก็ตบไปที่ถุงสมบัติ และส่งมอบหินลมปราณไปให้กับเมิ่งฮ่าวอีกเป็นจำนวนมาก
เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็น ดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า
“เสียวไห่ ไม่ต้องกังวล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเกอเกอ (พี่ชาย) เอง” เมิ่งฮ่าวเก็บหินลมปราณไว้ และก่อนที่ซุนไห่จะทันได้กล่าวอะไรออกมา เขาก็เริ่มเดินตรงไปยังหลี่หลิงเอ๋อร์
นางจ้องมองมาที่เขาด้วยโทสะ สีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง
เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็มองลงไปยังก้นของนาง ถอนหายใจออกมา เขาคิดไปถึงการกระทำของตนเองในฐานะที่เป็นฟางมู่ และตระหนักว่าหลี่หลิงเอ๋อร์ต้องจดจำเขาได้แปดในสิบส่วนอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กดดันนางมากเกินไปนัก
เมิ่งฮ่าวหันหน้ามองไปยังฝานตงเอ๋อร์ แต่เมื่อมองเห็นมีดบินสีม่วงที่ดูน่ากลัว ซึ่งกำลังหมุนวนอยู่รอบๆ มือนาง สีหน้าเขาก็หมองคล้ำลง หมุนตัวเดินตรงไปยังไท่หยางจื่อและคนอื่นๆ ตะโกนขึ้น
“ไท่หยางจื่อ, ซ่งหลัวตาน, หวังมู่! พวกเจ้าทั้งหมดติดหนี้ข้า ถึงเวลาที่จะต้องจ่ายแล้ว!”
ไท่หยางจื่อและอีกสองคน จ้องมองกลับมายังเมิ่งฮ่าว เพลิงโทสะแวบขึ้นมาในดวงตาพวกมัน
คนทั้งหมดจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่สองสามอึดใจ จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ก้าวเท้าตรงไปยังพวกมัน ในตอนนี้เองที่ไท่หยางจื่อและคนอื่นๆ ต่างก็โจมตีมาโดยพร้อมเพรียงกัน เสียงระเบิดดังก้องขึ้น เมื่อคนทั้งสี่บินออกไปจากศาลาและเริ่มต่อสู้กันไปมา
เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่เมิ่งฮ่าวกลายเป็นวิหคยักษ์สีทอง ตวัดกรงเล็บตรงไปยังไท่หยางจื่อ ในเวลาเดียวกันนั้น เทือกเขาก็ส่งเสียงดังกระหึ่มอยู่ที่ด้านข้าง บดขยี้ลงไปยังซ่งหลัวตาน ต่อจากนั้นเขาก็กระพือปีกขึ้นลง ทำให้อากาศฉีกขาดออก ขณะที่พลังอันรุนแรงพุ่งตรงไปยังหวังมู่
เสียงระเบิดดังก้องออกไปในทั่วทุกทิศทาง ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงดึกของยามราตรี และมืดมิดเป็นอย่างยิ่ง แต่แสงเวทก็เต็มอยู่ในอากาศ และสมาชิกของตระกูลฟางทั้งหมดที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็จ้องมองขึ้นไป เมื่อพวกมันเห็นเมิ่งฮ่าวเพียงลำพัง ต่อสู้กับสามผู้ถูกเลือก จิตใจพวกมันก็สั่นสะท้านขึ้นมาในทันที
“นั่นคือซ่งหลัวตานแห่งตระกูลซ่ง และไท่หยางจื่อจากห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์! คนสุดท้ายคือผู้ถูกเลือกตระกูลหวัง, หวังมู่!”
“พวกมันทั้งสามต่างก็อยู่ในช่วงของการกลายเป็นเซียนแท้! เมื่อไหร่ที่ทำได้สำเร็จ พวกมันก็ยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นไปกว่าตอนนี้อย่างแน่นอน!”
“คิดไม่ถึงว่าฟางฮ่าวกำลังต่อสู้กับพวกมันทั้งสามในเวลาเดียวกัน!!”
เสียงระเบิดดังก้องขึ้น ขณะที่คนทั้งสี่ต่อสู้กันไปมาอย่างต่อเนื่อง เมิ่งฮ่าวกำหมัดต่อยออกไป ปลดปล่อยทำลายล้างเก้าชั้นฟ้าออกมา โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากซ่งหลัวตาน สำหรับหวังมู่และไท่หยางจื่อ หนึ่งในพวกมันใช้เวทร้องเรียกลมถามหาสายฝน ในขณะที่อีกคนกลายเป็นดวงตะวันอันเจิดจ้า ขณะที่พวกมันเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว เขาก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา ศีรษะอสูรโลหิตปรากฏขึ้น โขกไปที่หวังมู่ ในเวลาเดียวกันนั้น ขุนเขาที่เก้าก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา กระแทกลงไปยังไท่หยางจื่อ
“พวกเจ้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่พวกเราต่อสู้กันครั้งแรกมากนัก แต่น่าเสียดาย…เมื่อข้าสามารถจัดการพวกเจ้าได้ในครั้งก่อน วันนี้ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น พื้นฐานฝึกตนพุ่งพลังออกมา และเขาก็ยื่นมือออกไป เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในท้องฟ้า ขณะที่ภูเขาจำนวนมากตกลงมา ตัดหนทางหลบหนีของไท่หยางจื่อและคนอื่นๆ ไปโดยสิ้นเชิง
คนทั้งสามแผดร้องคำราม ภาพแห่งธรรมของพวกมันก่อตัวขึ้นมา เมิ่งฮ่าวก็ตอบโต้กลับไปเช่นเดียวกัน ภาพแห่งธรรมที่เป็นของไท่หยางจื่อและอีกสองคน มองเห็นได้ชัดถึงร่องรอยของต้นเถาวัลย์ประกายเซียนที่ติดแน่นอยู่
ขณะที่ต่อสู้กันไปมา ไท่หยางจื่อและคนอื่นๆ ถูกบังคับให้ต้องล่าถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงระเบิดขึ้น และโลหิตก็พ่นกระจายออกมาจากปากของพวกมัน ขณะที่ลอยละลิ่วปลิวไปทางด้านหลัง ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น และเตรียมตัวจะพุ่งไล่ติดตามไป
แต่ในตอนนี้เอง ที่เสียงเก่าแก่โบราณได้ดังกระหึ่มออกมาจากภายในคฤหาสน์โบราณ
“ห้ามต่อสู้กันในช่วงของตงเซิงจือหยาง (ตะวันรุ่งบูรพา) ถ้าใครโจมตีออกไป…ก็จะหมดสิทธิ์ที่จะได้อาบไล้อยู่ในแสงตะวัน!”
ขณะที่เสียงนั้นดังก้องออกไป สองเงาร่างโบราณก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ ในกลางอากาศรอบๆ ศาลารุ่งบูรพา กระจายแรงกดดันอันมหาศาลออกมา แยกเมิ่งฮ่าวออกจากไท่หยางจื่อและอีกสองคน
สองชายชรานี้เป็นผู้อาวุโสของตระกูลฟาง พวกมันมองไปยังเมิ่งฮ่าว พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็มองไปยังไท่หยางจื่อและพวก
“พวกเจ้าทั้งหมดกลับเข้าไปในศาลา แสงตะวันกำลังจะสาดส่องมาแล้ว”
ไท่หยางจื่อและอีกสองคนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นพวกมันก็ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับสองชายชรา จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยโทสะ บินกลับเข้าไปในศาลา
เมิ่งฮ่าวมองกลับไปยังพวกมัน จากนั้นก็มุ่งหน้ากับไปยังศาลาด้วยเช่นกัน
“ไม่ยอมจ่ายหนี้ข้า? นับจากนี้ไป เมื่อไหร่ที่ข้าพบกับพวกเจ้า ข้าก็จะต้องไล่ต้อนพวกเจ้าอย่างแน่นอน!” เขากล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เย็นชา หลังจากที่ก้าวเท้าเข้าไปในศาลา ก็มองไปรอบๆ จนกระทั่งเห็นฟางซีและซุนไห่ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาซุนไห่
เวลาผ่านไป คนส่วนใหญ่ในศาลาต่างก็นั่งลงขัดสมาธิ ฟางเว่ยยังคงถูกสะกดไว้ หลังจากที่เมิ่งฮ่าวกลับเข้ามาในศาลา มันก็ยังคงเงียบขรึมเป็นส่วนใหญ่ สีหน้าไม่ได้เผยให้เห็นถึงสิ่งใดๆ ราวกับว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของคนทั้งสองไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับมันแม้แต่น้อย อันที่จริงเมื่อเมิ่งฮ่าวต่อสู้กับไท่หยางจื่อและคนอื่นๆ มันเพียงมองไปแค่แวบเดียว จากนั้นก็มองไปทางอื่นราวกับว่ามันไม่มีความสนใจแม้แต่น้อย
ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบลง ยามรุ่งอรุณใกล้เข้ามาแล้ว ในที่สุดก็จะถึงช่วงที่มืดที่สุดก่อนที่ยามรุ่งอรุณจะมาเยือน ซึ่งทำให้คนทั้งหมดรู้ว่าตงเซิงจือหยาง (ตะวันรุ่งบูรพา)…กำลังจะโผล่ขึ้นมาแล้ว!
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ และเขาก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ในตอนนี้เองที่ซุนไห่ซึ่งลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็เริ่มพูดขึ้นมาอย่างเงียบๆ
“เมิ่งฮ่าว…เอ่อ…เกี่ยวกับเรื่องที่ท่านได้รับปากไว้ก่อนหน้านี้…”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะจัดการให้เอง” เมิ่งฮ่าวพร้อมกับหาวออกมา “ใช่แล้ว เจ้ากับหญิงสาวนางนั้นมีความสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว?”
ใบหน้าซุนไห่แดงก่ำขึ้น และมันก็เบาเสียงลงไปกว่าเดิม
“ไม่ค่อยแน่ใจนัก นางมักจะทุบตีข้าเสมอ…”
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นในทันที
“เช่นนี้คงไม่ดีแน่ นางมีนามว่าอะไร? อยู่ในศาลานี้หรือไม่? ช่างกล้าจริงๆ! คาดไม่ถึงว่านางจะกล้าทุบตีบุรุษ?!”
“ไม่เป็นไร” ซุนไห่รีบกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว “ทุกครั้งที่นางทุบตีข้า จริงๆ แล้วข้ารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง…นางไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ แต่นางก็เป็นศิษย์ของนิกายตี้เซียน มีนามว่าฟางอวี๋”