บทที่ 1298 ซากปรักหักพังเนตรเทพเจ้า
“ได้!” ถึงแม้สตรีร่างบางจะไม่รู้ว่าไยเทพโบราณเสวียนหมัวถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับแบบนั้น แต่ก็รับคำ ด้วยเนตรทำนายของนาง จะขโมยข้อมูลบางส่วนของคนที่ไม่ใช่ทายาทแปดเนตรเทพเจ้านั้นง่ายดายอย่างยิ่ง
วู้ม! ดวงตาสตรีร่างบางจ้องไปยังที่ไกลๆ พลังเสวียนอ้าวที่ไม่มีใครสังเกตเห็นหลอมรวมเข้าไปในฟ้าดินและในกระแสธารชีวิต
ในวินาทีหนึ่ง ดวงตาของนางก็ปรากฏภาพเลือนรางในม่านหมอกขึ้น
“ทำไมถึงเห็นไม่ชัด?”
สตรีร่างบางชะงักไปเล็กน้อย นางใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นเนตรทำนาย
แต่ในวินาทีต่อมา ภาพหลากสีในดวงตาของนางจู่ๆ ก็เปล่งแสงเทพเก่าแก่บรรพกาล สตรีร่างแบบบางรู้สึกว่าตนเองเล็กจ้อยอย่างยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้แสงเทพนี้ วิญญาณเกิดสั่นเทิ้มอย่างประหลาด
วินาทีต่อมา แรงสะท้อนกลับที่ส่งผลต่อเนตรทำนายและวิญญาณกระทบลงที่ร่างของนางทันใด
ในเวลาเดียวกัน ภาพที่ปรากฏขึ้นในเนตรทำนายของสตรีร่างแบบบางก็สลายหายไป…
อีกด้านหนึ่ง
“หืม?” จ้าวเฟิงที่กำลังอยู่ในลานประลอง จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าในฟ้าดินมีดวงตาจ้องเขาอยู่ เหมือนจะมองเห็นอดีตและอนาคตของเขา วิชาของจ้าวเฟิงไม่มีทางที่จะขัดขวางการสอดแนมของฝ่ายตรงข้ามเลย
แต่ในมิติดวงตาเทพเจ้า ลูกกลมสีเงินมายาที่ถูกผนึกพลังเอาไว้กลับส่องแสงเจิดจ้าแสบตาราวภาพฝัน
ชั่วขณะต่อมา ความรู้สึกประหนึ่งโดนสอดแนมก็หายไป
‘เนตรทำนาย!’
จ้าวเฟิงพึมพำในใจ เขาเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ดังนั้นจึงเดาออกได้ หนำซ้ำเขายังสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงที่เลือนรางเศษเสี้ยวหนึ่งด้วย หางตาของจ้าวเฟิงปรายไปยังจุดด้านล่างเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น
“เหอะ!” สตรีร่างบางแค่นเสียง ใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะใช้มือปาดคราบเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก
“ไปกันเถอะ!” สตรีร่างบางเอ่ยเสียงต่ำแล้วบินจากไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าเทพโบราณเสวียนหมัวฉายแววตื่นตะลึง ก่อนจากไปโดยไม่สนใจอะไรอีก
เทพโบราณเสวียนหมัวเชื่อถือการตัดสินใจของสตรีร่างบางจนเคยชิน อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นคนที่มีเนตรทำนาย
หลังจากที่ทั้งสองคนออกไประยะหนึ่ง
“เป็นอะไรไป?” เทพโบราณเสวียนหมัวเอ่ยถามทันที
“ล้มเหลวแล้ว!” สีหน้าสตรีร่างบางดูไม่ค่อยสู้ดีนัก
“เป็นไปได้อย่างไร?” เทพโบราณเสวียนหมัวตื่นตะลึง ดูท่าทางเพื่อนร่วมทางของเขาน่าจะไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“บนร่างเขาน่าจะมีอุปกรณ์หรืออาวุธเทพพิเศษที่ขัดขวางการสอดแนมจากเนตรทำนาย!”
สตรีร่างบางพึมพำครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
เนตรทำนายของนางไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นางเองก็เพิ่งเคยเจอสถานการณ์นี้เป็นครั้งแรก แต่กระทั่งเหตุผลนางเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด ดังนั้นจึงทำได้เพียงอธิบายไปเช่นนี้
“มีสมบัติระดับนี้ด้วยหรือ?” เทพโบราณเสวียนหมัวครุ่นคิด ดูไปแล้วความลับของฝ่ายนั้นจะมีไม่น้อย
“แต่ทว่าข้ายืนยันเรื่องหนึ่งได้ ดวงตาของเขาถึงระดับเนตรปฐมเทพแล้ว!”
สตรีร่างแบบบางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? เขาเพิ่งอายุน้อยเท่านี้ หนำซ้ำสายเลือดดวงตาก็ไม่ใช่แปดเนตรเทพเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะแตะระดับขั้นนี้ได้?”
สีหน้าเทพโบราณเสวียนหมัวตื่นตระหนกเกินจะเปรียบ
ถึงแม้สายเลือดดวงตาของพวกเขาจะเพิ่งได้มาทีหลัง แต่การใช้พวกมันอาจอยู่เหนือผู้ครอบครองสายเลือดดวงตาตั้งแต่เกิด และถึงจะเป็นเช่นนั้น ในบรรดาพวกเขาก็มีสายเลือดดวงตาของคนจำนวนน้อยนักที่จะไปถึงขั้นนั้น จากนั้นเมื่อสถานะสูงขึ้นจึงค่อยหายตัวไป…
“แบบนี้ก็ดี เขาคือหนึ่งในเป้าหมายครั้งนี้พอดี บางทีเบื้องบนอาจสนใจดวงตาของเขา!”
สีหน้าเทพโบราณเสวียนหมัวเปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน จากนั้นหัวเราะเสียงเย็น
“สมาชิกน่าจะเกือบครบแล้ว พวกเจ้าลงมือก่อน ข้าจำเป็นต้องพักผ่อนสักช่วงหนึ่ง…”
สีหน้าสตรีร่างบางหม่นหมอง ก่อนจะแยกตัวออกไป
ณ สนามประลองเนตรเทพเจ้า
“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยที่ได้รับชัยชนะ รางวัลก็คือผลึกเสวียนอ้าวแห่งลมจำนวนห้าสิบชิ้น!”
ผู้ตัดสินมอบรางวัลที่เตรียมเอาไว้แล้วให้จ้าวเฟิง
“ห้าสิบชิ้น!” จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อย เขาเองก็คาดคิดไม่ถึงว่าจะได้มากมายขนาดนี้
อันที่จริงมีเพียงชิ้นเดียวเขาก็สามารถใช้ดวงตาคัดลอกและสร้างออกมาอีกมากได้
แต่ยามนี้เขาผนึกพลังดั้งเดิมเอาไว้ เกรงว่าพลังคัดลอกก็น่าจะโดนจำกัดด้วย
‘โชคดีที่เป็นแบบนี้ ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่คงจะถูกจับได้แน่!’
จ้าวเฟิงลอบเอ่ยในใจ
เนตรทำนาย…ไม่ป้องกันไม่ได้!
“บัดซบ เจ้าเด็กนี่!”
เทพโบราณหวังหลิงจ้องจ้าวเฟิงเขม็งด้วยสายตาเย็นเยือกน่าพรั่นพรึง
เขาได้รับภารกิจลึกลับมา อีกฝ่ายต้องการตรวจสอบพลังของเขาก่อน แต่การประลองครั้งนี้เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่อีกคนหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้เขาอาจจะสูญเสียภารกิจสำคัญนี้ไป
ยามนั้นเทพโบราณหวังหลิงขมวดคิ้ว ความคิดดำดิ่งลงไปในมิติเก็บของ รับข้อมูลบางอย่างมา
เทพโบราณหวังหลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลังของเขาผ่านเงื่อนไขของอีกฝ่าย
“เจ้าหนุ่ม คราวหน้าพวกเราค่อยมาประลองฝีมือกันใหม่อีก!”
เทพโบราณหวังหลิงพูดจบแล้วก็จากไปทันที
กลุ่มคนรอบๆ เองก็จ้องจ้าวเฟิงอย่างตื่นตกใจ แต่เดิมพวกเขาคิดว่าครั้งนี้เทพโบราณหวังหลิงจะชนะอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สุดท้ายกระทั่งเทพโบราณหวังหลิงก็ยังพ่ายแพ้ไป
หลังจากที่ได้รับรางวัลแล้ว จ้าวเฟิงก็ออกจากสนามประลองไป
“จ้าวเฟิง อย่าปะทะกับเทพโบราณหวังหลิงเลย ถึงแม้เจ้าจะประลองชนะแล้ว แต่เรื่องการต่อสู้มันยากจะพูด อย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามก็ชำนาญเสวียนอ้าวมรณะ ไม่ไปยั่วโทสะน่าจะดีที่สุด!”
เซี่ยโหวอู่แนะนำ
“ข้าต้องการทรัพยากรฝึกล้ำค่าส่วนหนึ่ง อยากจะไปรวบรวมตามสถานที่ต่างๆ!”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะแล้วเปิดปากเอ่ย
“เช่นนั้นพวกเราก็แยกกันชั่วคราวแล้วกัน!”
เซี่ยโหวอู่ย่อมเข้าใจความหมายที่จ้าวเฟิงต้องการจะสื่อ จึงชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน
จากนั้นทั้งสองคนก็แยกกันเป็นการชั่วคราว เซี่ยโหวอู่เหมือนว่าจะสนใจในสนามประลองเนตรเทพเจ้าจึงรั้งอยู่ที่นี่ต่อ
สวบ! จ้าวเฟิงกลายร่างเป็นแสงสีทองสายหนึ่ง โบยบินไปยังจุดรวมตัวอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงแล้ว ตอนที่การต่อสู้เมื่อครู่เพิ่งจบลง จ้าวเฟิงก็ได้รับสารจากคนลึกลับผู้นั้น อีกฝ่ายแจกแจงสถานที่รวมพลมา ดังนั้นจ้าวเฟิงถึงรีบตามไป
ในตอนที่เขารับภารกิจนี้มาก็ลงลายมือทำสัญญาไปแล้ว ไม่สามารถให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปได้ จึงทำได้เพียงพูดอ้างไปส่งๆ
ไม่นานนัก เขาก็มาถึงโรงเตี๊ยมระดับสูงที่มีทิวทัศน์งดงาม ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้นานาพรรณ เมื่อเข้าไปภายใน จ้าวเฟิงเจอห้องธรรมดาแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงเคาะประตู
“เข้ามาได้!” เสียงทุ้มต่ำลอยออกมา จ้าวเฟิงผลักประตูเข้าไป
ในห้องมืดสลัว มีเพียงแสงสว่างเบาบางไม่กี่จุด ดูไปแล้วเป็นปราการพลังพิเศษที่ตัดขาดทุกอย่าง
แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อทัศนวิสัยของจ้าวเฟิง ในห้องมีคนทั้งหมดสามคน มีสตรีวงหน้างามล่มเมืองนางหนึ่ง คนวัยกลางคนผมสั้นท่าทางเย็นชา และสุดท้ายมีบุรุษหนุ่มชุดดำที่แววตาดำสนิทใบหน้าเคร่งเครียด
“นี่คนสุดท้ายแล้วหรือ?”
เสียงแผ่วเบาของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น นางจ้องไปที่จ้าวเฟิงพร้อมกับชายวัยกลางคนผมสั้นที่นั่งข้างๆ
“พลังน่าจะพอใช้ได้กระมัง!”
สตรีวงหน้างามชะงักที่ดวงตาจ้าวเฟิงครู่หนึ่ง เมื่อพบว่าไม่ใช่แปดเนตรเทพเจ้าจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“คงจะเป็นจ้าวเฟิงแห่งเขตเทพสวรรค์กระมัง!”
ชายวัยกลางคนผมสั้นหรี่ตามองจ้าวเฟิงอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยคำ
“อืม!” จ้าวเฟิงพยักหน้า
ชายวัยกลางคนผมสั้นคนนี้คือหลินเฉิงอู่ที่เขาเคยเจอตอนประลองแรกเริ่มที่สุด
ที่เขารู้จักอาจเป็นเพราะชื่อเสียงของจ้าวเฟิง หรืออาจเป็นเพราะคุณชายห่าย
สีหน้าสตรีผู้งดงามไม่เปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักจ้าวเฟิง แต่เมื่อนางเห็นหลินเฉิงอู่รู้จักจ้าวเฟิง ก็แน่ใจได้ว่าจ้าวเฟิงไม่มีทางเป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้า จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
“ข้าคือเทพโบราณเฮยจี๋ เป็นคนประกาศภารกิจ!”
ชายร่างดำมืดเอ่ยเสียงราบเรียบ จากนั้นเขาก็อธิบายคร่าวๆ กับทุกคน
“ในเมื่อมากันแล้ว ข้าคิดว่าทุกคนคงค่อนข้างคาดหวังว่าจะไปค้นหาซากปรักหักพังแห่งนั้นพร้อมกับข้า!”
ในตอนนี้ เทพโบราณเฮยจี๋ชุดดำเปิดปากเอ่ย
จ้าวเฟิงรู้ได้ในทันทีว่าคนผู้นี้คือคนประกาศภารกิจ
“พูดเรื่องสำคัญก่อนแล้วกัน”
สตรีวงหน้างามระบายยิ้มเล็กน้อย ตรงเข้าเรื่องสำคัญ
หลินเฉิงอู่เองก็ผงกศีรษะให้ พวกเขาไม่ได้ต่างอะไรจากจ้าวเฟิงนัก ยังไม่เชื่อเทพโบราณเฮยจี๋ไปทุกเรื่อง ที่มาที่นี่ก็เพียงรับข้อมูลให้มากขึ้นเพื่อจะได้ตัดสินใจครั้งสุดท้าย
“เช่นนั้นข้าขอพูดตรงๆ ก่อนแล้วกัน ข้าสงสัยว่าที่นั่นน่าจะอยู่ในช่วงโบราณหรืออาจจะบรรพกาล เป็นซากปรักหักอันเป็นที่อยู่ของทายาทแปดเนตรเทพเจ้า ก่อนนี้ข้าสำรวจเพียงคนเดียวก็ยังพอรับอันตรายที่เจอได้!”
เทพโบราณเฮยจี๋เอ่ยช้าๆ
สามคนที่เหลือ ณ ตรงนั้นขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไรออกมา
“แน่นอนว่าในนั้นยังมีอันตรายที่อยู่เหนือกว่าข้าจะรับมือไหว ข้าจึงพยายามหลบหลีก ถ้าหากพวกเราสี่คนเดินทางด้วยกัน จากความเห็นของทุกคน เราเลือกไปสำรวจสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย ขอแค่พวกเราระแวดระวัง หากเจอเรื่องยุ่งยากที่รับมือไม่ได้ค่อยรีบหนีไป ก็จะไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร!”
สีหน้าเทพโบราณเฮยจี๋เคร่งขรึมลง จากนั้นจึงเอ่ยอีกครั้ง
“เจ้าเป็นสมาชิกของขั้วอำนาจไหน? เพราะอะไรจึงไม่รายงานเรื่องนี้ให้กับขั้วอำนาจที่เจ้าสังกัดอยู่?”
หลินเฉิงอู่เอ่ยในทันที
พลังอำนาจของเทพโบราณเฮยจี๋ไม่ธรรมดา แต่พวกเขากลับไม่เคยพบเจอมาก่อน ดังนั้นจึงสงสัยอยู่บ้าง
“ขั้วอำนาจลับของดินแดนเทพรกร้างมีไม่น้อย ในจุดนี้ข้าคงจะเปิดเผยไม่ได้ ถ้าหากว่าข้าแจ้งเรื่องซากปรักหักพังแห่งนี้ต่อขั้วอำนาจเบื้องหลังข้า ประโยชน์ที่ข้าจะได้รับคงน้อยกว่าที่สำรวจเองมาก!”
เทพโบราณเฮยจี๋ยิ้มอย่างละโมบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็สามารถสำรวจช้าๆ เพียงลำพัง ได้ประโยชน์คนเดียวไป เหตุใดจึงต้องเชิญพวกเราไปด้วย?”
แววตาโฉมสะคราญนางนั้นทอประกายวิบวับ
“มิติในซากปรักหักพังแห่งนั้นไม่เสถียรขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่คงจะเผยออกมา ข้าจึงวางแผนเชื้อเชิญทุกคนมาขุดค้นผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ซากปรักหักพังแห่งนี้จะเปิดเผยออกไป!”
เทพโบราณเฮยจี๋เอ่ยเสียงเรียบ
ทุกคนพูดคุยกันเป็นเวลานาน จ้าวเฟิงเองก็เสนอข้อสงสัยหลายข้อ
“เป็นอย่างไรบ้าง? จะยอมรับหรือยอมแพ้ไปล่ะ?”
เทพโบราณเฮยจี๋ยิ้มบางๆ พลางมองสามคนที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าไป!” หลินเฉิงอู่เป็นคนแรกที่ตอบตกลง
จากนั้นโฉมสะคราญนางนั้นก็เลือกยอมรับเช่นกัน
ทุกคนสนใจซากปรักหักพังของทายาทแปดเนตรเทพเจ้าที่เทพโบราณเฮยจี๋พูดเป็นพิเศษ
“ข้าไม่มีปัญหาอะไร” จ้าวเฟิงแสดงท่าที
จากความเข้าใจเมื่อครู่ ปัญหาเรื่องนี้ไม่ใหญ่มากนัก อันตรายก็ไม่ได้มากมาย
เมื่อทุกคนตัดสินใจเรื่องเวลาในการออกเดินทางแล้วก็แยกย้ายจากไป
หลังจากที่ทุกคนไปแล้ว ห้องนี้ก็กลับมาสว่างไสว กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา
จากนั้นสักพักใหญ่ ห่างจากห้องที่พวกจ้าวเฟิงเพิ่งจากไปไม่ไกลนัก ประตูบานหนึ่งถูกเปิดออก
สตรีชุดเขียวท่าทางร่าเริงซุกซนนางหนึ่งกระโดดโลดเต้นออกมา ผิวพรรณนางเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์ เครื่องหน้างดงาม ดวงตาสีขาวเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและไร้เดียงสา
การปรากฏตัวของนางดึงดูดความสนใจจากชายมากมายรอบบริเวณ
แต่ดวงตาของพวกเขากลับเบิกกว้างอย่างกะทันหัน ก่อนจะมีสีหน้าตื่นตะลึงไร้สติ
ที่แท้ในห้องมีสตรีชุดขาวเดินย่างกรายออกมาอีกคน เรือนผมยาวสีขาว ใบหน้างดงามล่มเมือง ดวงตาสีขาวสุขุมลุ่มลึกประหนึ่งสามารถเห็นสรรพสิ่งในโลก
นางยืนนิ่งไม่พูดไม่จา ดุจเซียนผู้สูงส่งในภาพวาด ทำให้คนเห็นใจเต้นระส่ำ เมื่อเปรียบกันแล้วหญิงงามคนก่อนนี้ก็ด้อยกว่าทันที
“พี่ฉิน ท่านบอกว่ามารอคนที่นี่ แต่พวกเราไม่เห็นเจอใครเลย จะไปเลยหรือไม่?”
ดรุณีผู้น่ารักซุกซนเอ่ยขึ้น
“พอเห็นแล้วเรื่องก็จบ ควรจะกลับกันได้แล้ว!” สตรีชุดขาวเอ่ยเจือเสียงหัวเราะ
“เช่นนั้นหรือ? เนตรทำนายของพี่ฉินนับวันยิ่งลึกล้ำเกินกว่าคนจะหยั่งถึงแล้ว!”
ดรุณีน้อยนางนั้นมองด้านบนด้วยสีหน้าสงสัย เอ่ยติดจะอิจฉา จากนั้นสตรีงามควรเมืองทั้งสองคนก็ลอยจากไป