บทที่ 1405 การเปลี่ยนแปลง
“พลังเทพรวมศูนย์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากสามารถใช้กับวิชาดวงตาได้…”
เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้น จ้าวเฟิงก็เริ่มทดลองดู
หากสามารถผสานพลังเทพรวมศูนย์ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เข้าไปในวิชาดวงตาได้ พลังของมันจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
“จนถึงตอนนี้ เคล็ดวิชารวมศูนย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าก็คือ ‘กระบี่เทพรวมศูนย์’!”
หากจะทำก็ต้องทำให้แข็งแกร่งที่สุด จ้าวเฟิงวางแผนว่าจะเริ่มลงมือจาก ‘กระบี่เทพรวมศูนย์’ ผสานหรือไม่ก็สร้างวิชาดวงตาวิชาใหม่ขึ้น
หนึ่งปีหลังจากนั้น เรือบินของจ้าวเฟิงบินออกจากเขตดาราชาด เข้าสู่เขตพยับฟ้า
ในชุดคลุมมิติ เบื้องหน้าของจ้าวเฟิงมีชายหนุ่มผู้สง่างามลึกลับคนหนึ่งยืนอยู่ ทั่วทั้งร่างแผ่แสงเลือนราง ส่งผลต่อเวลาในฟ้าดิน นี่ก็คือกายเทพโฉมใหม่ที่จ้าวเฟิงเพิ่งใช้กิ่งต้นไม้แห่งกาลเวลามากมายสร้างขึ้น
กายเทพร่างนี้ค่อนข้างคล้ายกับกายแห่งกาลเวลาของเผ่าแสง แต่น่าจะมีคุณสมบัติของกายประเภทนี้แค่สองหรือสามส่วนเท่านั้น ส่วนพลังที่อยู่ในกายเทพ ‘จ้าวคง’ ร่างแยกร่างที่สี่ของจ้าวเฟิง ก็ผสานเนตรมิติที่ใกล้เคียงกับเนตรปฐมเทพได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
“ไปฝึกเองเถิด!” จ้าวเฟิงพูดขึ้น
พลังวิญญาณของจ้าวคงสูงถึงขั้นเก้า กายเทพเป็นเพียงแค่เทพโบราณขั้นแปดเท่านั้น แต่ศักยภาพและพรสวรรค์ของกายเทพเยี่ยมยอดเป็นอย่างยิ่ง ไม่นานเท่าไหร่ก็จะตามทัน
ถึงตอนนั้น ร่างแยกที่สี่จ้าวคงอาจจะเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาร่างแยกทั้งหมดของจ้าวเฟิง
ในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้ นอกจากสร้างร่างแยกแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของจ้าวเฟิงล้วนศึกษาบรรลุ และอนุมานคิดค้นวิชาดวงตาใหม่
วันนี้ จ้าวเฟิงออกจากชุดคลุมมิติมายังนอกเรือบิน พลังดวงตาพลันแผ่ระลอกคลื่นออกมาจากตาซ้ายของจ้าวเฟิง เห็นเพียงพลังเทพรวมศูนย์ในตาซ้ายของจ้าวเฟิงก่อร่างกระบี่เทพรวมศูนย์เล่มเล็กๆออกมาอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ว! กระบี่เทพรวมศูนย์เล่มเล็กพุ่งออกมาจากในตา ความเร็วสูงเกินจะเปรียบ ทะลวงผ่านไปสองสามแสนลี้ในพริบตา
ครืน ตูม ตูม!
ในทุกที่ที่พาดผ่านไป กระบี่รวมศูนย์กลืนกินพลังอื่นๆ มาเพิ่มพลังให้ตัวมันเองอย่างบ้าคลั่ง ส่วนสิ่งที่กลืนกินไม่ได้นั้นล้วนทำลายย่อยยับ
“พอได้!” จ้าวเฟิงพยักหน้า
ตอนนี้เขาสามารถใช้กระบี่เทพรวมศูนย์ออกมาด้วยวิชาดวงตา อีกทั้งพลังและความเร็วเหมือนว่าจะเยี่ยมยอดกว่าหนึ่งขั้น เพียงแต่ว่า กระบี่เทพรวมศูนย์ทั่วไปเป็นการโจมตีแบบยืนหยัดแน่วแน่ สามารถสร้างอาการบาดเจ็บมากมายอย่างต่อเนื่อง
กระบี่เทพรวมศูนย์ฉบับวิชาดวงตาจะเป็นการใช้พลังแบบครั้งเดียว เทียบกันแล้วผลลัพธ์ไม่โดดเด่นเท่าใดนัก แต่วิชาดวงตากระบวนนี้จ้าวเฟิงเพิ่งอนุมานออกมาได้เมื่อครู่ ยังมีช่องว่างในการยกระดับอีกมากนัก
ต่อมา เขาไม่ยกระดับการโจมตีของกระบี่เทพรวมศูนย์ฉบับดวงตาขึ้นอีกระดับขั้นหนึ่ง ก็ทำให้วิชาดวงตาสามารถสร้างการโจมตีที่ต่อเนื่องได้
“อนุมานไปในทิศทางแรก เพิ่มพลังให้กับวิชาดวงตาก่อน!” จ้าวเฟิงคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าไปในชุดคลุมมิติอีกครั้ง แล้วคิดค้นวิชาดวงตาใหม่ต่อไป
โลกภายนอกผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว
ในวันนี้ เรือบินของจ้าวเฟิงก็เข้ามาในอาณาเขตของขั้วอำนาจเผ่าวิญญาณในเขตเทพสวรรค์เรียบร้อย
“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าหยูเฟยจะเป็นเช่นไรบ้าง!”
ภายในเรือบิน จ้าวเฟิงยิ้มบางๆ
เขาจากมาโดยไม่ร่ำลา ซ้ำยังจากมานานถึงเพียงนี้ จ้าวหยูเฟยจะต้องโกรธเขาแน่นอน แต่ทว่า ในตอนที่เรือบินของจ้าวเฟิงบินผ่านขั้วอำนาจสี่ดาวครึ่งบางแห่ง
ประสาทสัมผัสเทพระดับเทพโบราณสองสายกวาดผ่านมาจากหมู่ตำหนักเบื้องล่าง แต่เพราะการสกัดกั้นจากเรือบิน พวกเขาจึงสังเกตถึงสถานะของจ้าวเฟิงไม่ได้
ในตำหนักโบราณแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนผิวแดงนั่งอยู่ข้างหนึ่ง สตรีชุดม่วงคนหนึ่งนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง
ชายวัยกลางคนผิวแดงคือเทพโบราณขั้นเจ็ด ส่วนสตรีชุดม่วงกลิ่นอายยิ่งสูงล้ำกว่า เป็นขั้นเจ็ดสุดยอด อีกทั้งรูปร่างอวบอิ่ม หน้าตางดงาม สวยสดดั่งบุปผา
“ความเร็วของเรือบินลำนี้ถึงขั้นเจ็ดสุดยอด พลังฝึกตนของคนที่อยู่ในเรืออย่างน้อยก็เป็นขั้นเจ็ดสุดยอด แต่เขาน่าจะเพียงแค่ผ่านมาที่นี่เท่านั้น!”
สตรีชุดม่วงนางนั้นพูดเสียงต่ำ
“ขั้นเจ็ดสุดยอด!”
ชายวัยกลางคนผิวแดงมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ไม่ได้พูดอะไร
ทว่าทันใดนั้น เรือบินที่บินไปไกลแล้วพลันเปลี่ยนทิศทาง
ฟุ่บ! เรือบินเล็กโบราณสีเหลืองเข้มลำนั้นมายังเหนือหมู่ตำหนัก ทั้งยังหยุดลง
“กลับมาอีกแล้ว?” สตรีชุดม่วงและชายวัยกลางคนผิวแดงผุดลุกขึ้น ก่อนมายังนอกตำหนักทันที
“เมื่อครู่พวกเราบุ่มบ่ามใช้ประสาทสัมผัสเทพตรวจสอบท่าน แต่ไม่ได้มีประสงค์ร้ายใด”
ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดขึ้นทันที
ในเมื่ออีกฝ่ายอาจจะเป็นเทพโบราณขั้นเจ็ดสุดยอดขึ้นไป แต่เมื่อครู่พวกเขาใช้ประสาทสัมผัสเทพตรวจสอบก่อน ก็ค่อนข้างจะไร้มารยาทจริงๆ
ขวับ! ร่างของจ้าวเฟิงปรากฏขึ้นทันใด
กลิ่นอายเทพโบราณที่แข็งแกร่งตลบกระจายออกมาทันที ทำให้วิญญาณของผู้แข็งแกร่งขั้นต่ำกว่าเทพโบราณลงมาทั้งหมดรอบๆ สั่นสะท้าน ขยับเขยื้อนไม่ได้ ราวกับถูกพันธนาการอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอน นี่ยังเป็นสถานการณ์ที่จ้าวเฟิงอำพรางกลิ่นอายไม่ให้สะดุดตาจนเกินไปแล้ว
“จ้าวเฟิง!” สีหน้าของเทพโบราณทั้งสองตื่นตะลึงไปทันใด จ้องอีกฝ่ายเขม็ง ในดวงตาฉายแววหวาดเกรง
สายตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย ทว่าไม่ได้พูดอะไร
เขามีชื่อเสียงมากในเขตเทพสวรรค์ คนพวกนี้รู้จักไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่คนพวกนี้หวาดกลัวเขานี่สิที่ค่อนข้างจะผิดปกติ
เหตุที่จ้าวเฟิงหยุดอยู่ที่นี่ ทั้งยังย้อนกลับมา นั่นเป็นเพราะในตอนที่เขามายังเขตเทพสวรรค์ครั้งแรกก็ได้ผ่านขั้วอำนาจนี้พอดี…ตำหนักอโรคา
และก็เป็นเพราะตำหนักอโรคา จ้าวเฟิงจึงได้คบค้าสมาคมกับสำนักแก่นแท้ สุดท้ายจึงเข้าไปในเผ่าวิญญาณ
จากที่จ้าวเฟิงรู้มา ตำหนักอโรคาเป็นขั้วอำนาจศาสตร์แพทย์ แต่เมื่อครู่ยามเขาผ่านที่นี่ กลับพบว่าที่นี่ตลบอบอวลไปด้วยความเย็นเยียบ สมาชิกส่วนใหญ่ที่ปรากฏตัวข้างในก็ล้วนมีไอสังหารคุกรุ่น
“เป็นจ้าวเฟิงเองรึ การต่อสู้ของสองเผ่าหลายปีก่อนหน้านี้ เขาเอาชนะอัจฉริยะเทพโบราณเผ่าเปลวทองไปได้ ตอนนี้น่ากลัวว่าพลังจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ทำอย่างไรดี?”
ชายวัยกลางคนผิวแดงแอบส่งกระแสจิตให้กับสตรีชุดม่วง
สตรีชุดม่วงจ้องจ้าวเฟิง สายตานิ่งลึกดุจน้ำนิ่ง
ด้วยขอบเขตขั้นเจ็ดสุดยอดของนางตอนนี้ ก็ยังมองไม่ออกว่าพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงอยู่ในระดับใดกันแน่
ก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงเป็นเทพโบราณขั้นเจ็ด ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปี ต่อให้แข็งแกร่งอย่างไรก็ไม่มีทางถึงขั้นแปดได้ หากรวมพลังของสมาชิกทุกคนที่นั่น ก็ใช่ว่าจะต่อกรกับเขาไม่ได้
แต่สตรีชุดม่วงมองพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงไม่ออก ในใจยิ่งไม่สงบอย่างประหลาด ดังนั้นนางจึงไม่บุ่มบ่าม
“จ้าวเฟิงเพิ่งกลับเขตเทพสวรรค์ บางทีอาจยังไม่รู้สถานการณ์ พวกเราปิดบังเขา คิดหาวิธีรั้งเอาไว้ที่นี่แล้วค่อยรายงานข้างบน จะได้จับตัวไปทีเดียว!”
สตรีชุดม่วงคิดวิธีที่ค่อนข้างรัดกุมออกมา
“ได้ หากจับเขาเอาไว้ได้ พวกเราก็สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่!”
ชายผิวแดงแอบตื่นเต้นในใจ
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว พวกเขาทั้งสองก็ส่งกระแสจิตให้กับทุกคนทันที ให้พวกเขาให้ความร่วมมือ หลีกเลี่ยงไม่ให้เผยร่องรอยออกมา
“ท่านคือจ้าวเฟิงจากเผ่าวิญญาณ อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเขตเทพสวรรค์ที่พิสูจน์ได้ตำแหน่งเทพขั้นหกและทะลวงขั้นเจ็ดได้ในระยะเวลาสั้นๆ คนนั้นกระมัง ข้าแซ่เฉิงอยากจะรู้จักอัจฉริยะจ้าวมาโดยตลอด เมื่อครู่ล่วงเกินไป ขอโปรดอย่าได้ใส่ใจ!”
ชายผิวแดงเผยรอยยิ้มอบอุ่น
“คุณชายจ้าว ท่านคงเพิ่งเดินทางกลับมากระมัง มิสู้อยู่พักอยู่ที่นี่ก่อน ให้พวกเรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับท่าน!” อากัปกิริยาของสตรีชุดม่วงดึงดูดใจ เสียงอ่อนหวานน่าฟัง ราวกับว่าสามารถละลายใจคนได้
“ระยะทางยาวไกลยากลำบาก ค่อนข้างจะเหนื่อยจริงๆ ต้องลำบากท่านทั้งสองแล้ว!”
จ้าวเฟิงสังเกตชายวัยกลางคนผิวแดงและสตรีชุดม่วงอย่างละเอียดโดยตลอด จากนั้นเก็บเรือบินลงไป
เขารู้สึกว่าสองคนนี้มีปัญหาใหญ่ ในเมื่อพวกเขาอยากให้ตนอยู่ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเขาก็จะอยู่ที่นี่ ดูว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
สีหน้าของหนึ่งชายหนึ่งหญิงตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะตกลงง่ายๆ เช่นนี้
ชายผิวแดงมองมายังจ้าวเฟิง พบว่าสายตาของอีกฝ่ายจ้องไปยังสตรีชุดม่วงอยู่ตลอดเวลา จึงอดส่งกระแสจิตพูดกลั้วหัวเราะไม่ได้ “ข้าว่าเจ้าเด็กนี่ต้องสนใจเจ้าสักแปดส่วน!”
สตรีชุดม่วงถึงแม้ว่าจะอายุค่อนข้างมาก แต่เป็นคนที่ฝึกฝนบำเพ็ญตน ผิวพรรณหน้าตาของนางไม่ต่างอะไรกับสตรีแรกรุ่นเลยสักนิด รูปร่างทรงเสน่ห์และบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่ ยิ่งเป็นสิ่งที่สตรีอายุน้อยทั่วไปยากจะมีได้
“ตำหนักอโรคาได้ต้อนรับคุณชายจ้าว ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!” สตรีชุดม่วงยิ้มยั่วยวน ก่อนเชื้อเชิญจ้าวเฟิงเข้าไปในตำหนักอโรคาทันที
จากนั้นจ้าวเฟิงก็ถูกจัดให้ไปอยู่ตำหนักที่มีปราณจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้ง
ส่วนจ้าวเฟิงก็ขี้เกียจจะไปสนใจเรื่องอื่น การฝึกฝนตลอดทางมานี้ก็ค่อนข้างน่าเบื่อจริงๆ จึงคิดอยากจะเดินเล่นสบายๆ ผ่อนคลายสักหน่อย
หลังจากพักผ่อนได้สองวัน จ้าวเฟิงคิดถึงเรื่องของวิชาดวงตา แล้วก็พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น
“พลังเทพรวมศูนย์พลิกแพลงได้เยอะมาก หากสามารถผสานกับเพลิงดวงตาอัสนีเทวะ ไม่เพียงแต่พลังจะยิ่งทรงพลัง ตัวมันเองยังสามารถกลายเป็นวิชาดวงตาโจมตีในชั่วพริบตา ยากจะหลบหลีกไปไหน!”
พอคิดถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงก็ทดลองผสานวิชาดวงตาสองกระบวนท่านี้
แต่พลังของกระบี่เทพรวมศูนย์และเพลิงดวงตาอัสนีเทวะค่อนข้างรุนแรง คิดอยากจะผสานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถจัดการได้ในวันสองวัน แต่พอผ่านไปได้ห้าวัน กลิ่นอายพลังบรรพกาลที่ร้อนแรงทรงพลังเป็นอย่างยิ่งก็ปรากฏขึ้นที่ตำหนักอโรคา
ฟุ่บ! ฟุ่บ! สตรีชุดม่วงและชายผิวแดงกระโจนออกมาทันใด
“คารวะโบราณจินหลุน (กงล้อทอง) จ้าวเฟิงอยู่ข้างในตำหนักอโรคานี่เอง!”
ทั้งสองมองไปยังเทพโบราณจินหลุนที่มีลายทองวาววับไปทั่วร่าง พลางพูดอย่างเคารพนบนอบ
“เทพโบราณจินหลุนมาด้วยตัวเอง เจ้านั่นได้ตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่!”
ชายผิวแดงพูดประจบสอพลอ
เทพโบราณจินหลุนคือผู้แข็งแกร่งในเหล่าเทพโบราณขั้นแปด ทั้งยังเป็นสายเลือดเผ่าเปลวทอง ว่ากันว่าเขาเคยสู้กับเทพโบราณขั้นแปดสามวัน สุดท้ายก็สังหารอีกฝ่ายลง
“ฮ่าๆ จ้าวเฟิง ไสหัวของเจ้าออกมาเสีย!”
เทพโบราณจินหลุนมองไปยังตำหนักที่จ้าวเฟิงอยู่ หัวเราะลั่นแล้วตะโกนเสียงดัง
เทพโบราณจินหลุนคิดไม่ถึงเลยว่าโชคของตนจะดีถึงเพียงนี้ ขั้วอำนาจที่เขายึดครองอยู่ใกล้กับตำหนักอโรคาที่สุด หลังจากได้รับข่าวเขาก็มาทันที
วู้ม ครืน! คลื่นเสียงร้อนแรงสีแดงหม่นโหมซัดไปอย่างมืดฟ้ามัวดินราวกับคลื่นยักษ์กึ่งโปร่งแสง
หากเปลี่ยนเป็นเทพโบราณขั้นแปดทั่วไป จู่ๆ ถูกขัดจังหวะตอนฝึกฝนเช่นนี้ เกรงว่าจิตใจคงถูกทำร้ายสาหัส กระทั่งธาตุไฟเข้าแทรก
“นี่ก็คือลูกไม้ที่พวกมันใช้?” จ้าวเฟิงลืมตาขึ้น สีหน้าเย็นชา
ขวับ! ร่างเพียงกะพริบวูบไหว จ้าวเฟิงก็มาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าทันที
ตอนนี้ เทพโบราณตำหนักอโรคาทั้งสองยืนขนาบข้างเทพโบราณจินหลุน ส่วนผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของตำหนักอโรคาผนึกกำลังด้วยกัน ก่อเป็นค่ายกลแปลกประหลาดค่ายกลหนึ่ง
“จ้าวเฟิง เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย รับความตายไปเสียดีๆ!”
เทพโบราณจินหลุนเห็นจ้าวเฟิงแล้วก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดฝ่ามือไปทันที
พรึ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ! เห็นเพียงกงล้อทองที่มีเปลวเพลิงร้อนแรงแปลงเป็นลำแสงสีแดงทอง ฟาดฟันไปยังจ้าวเฟิงพร้อมด้วยคลื่นไฟท่วมฟ้า
“แข็งแกร่งยิ่งนัก นี่คือพลังของเผ่าเปลวทองงั้นรึ?”
ชายผิวแดงทำหน้าตาตื่นตะลึง ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาคงถูกสังหารในชั่วเสี้ยววินาทีไปแล้ว
“พลังของเทพโบราณจินหลุนก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว การโจมตีนี้แม้กระทั่งเทพโบราณขั้นแปดสุดยอดก็ไม่กล้าประมาท!”
สตรีชุดม่วงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบรรพกาลที่แข็งแกร่งจากร่างของเทพโบราณจินหลุน จิตใจอดสั่นสะท้านไม่ได้
แต่เสี้ยวขณะต่อมา พวกเขาทั้งสองก็อึ้งตะลึงทันใด
เห็นเพียงตอนที่กงล้อทองซึ่งมีเพลิงลุกโหมปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิง จู่ๆ ก็เชื่องช้ายิ่งนัก เคลื่อนที่ไปอย่างยากลำบาก
กงล้อเพลิงนั่นยังคงหมุนกลิ้งไปอย่างเนิบช้า แต่กลับชวนให้พวกเขารู้สึกว่าไม่มีวันเข้าใกล้จ้าวเฟิงได้
“มีปัญญาน้อยเพียงเท่านี้ก็คิดจะเด็ดหัวข้าแซ่จ้าว?” จ้าวเฟิงกวาดตามองเทพโบราณสามคนเบื้องหน้า พร้อมเผยรอยยิ้มบางๆ