บทที่ 1558 สงครามครั้งสุดท้าย
การออกจากการปิดด่านฝึกตนของนายเหนือหัวเนตรเทพเจ้าทั้งสี่ ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตที่แตกตื่นหวาดกลัว สงบลงทันใด
จากนั้น นายเหนือหัวเนตรเทพเจ้าทั้งสี่จึงทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จากคนระดับสูงคนอื่นๆ
“เจ้าสวรรค์รักษาอาการบาดเจ็บได้ก่อนพวกเรา?”
นายเหนือหัวเนตรชีวิตประหลาดใจอยู่บ้าง
นางเชื่อมั่นว่า ถ้าหากอาการบาดเจ็บเจ้าสวรรค์ยังไม่หายดี คงไม่ลงมืออย่างอุกอาจเช่นนี้
“พวกฝืนชะตาฟ้าจะก่อกวนจนทั้งดินแดนเทพรกร้างโกลาหลอลหม่านเลยหรือ?”
นายเหนือหัวเนตรทัณฑ์สวรรค์สีหน้าเย็นชา
“พลังสังสารวัฏดั้งเดิมอยู่ในครอบครองของเจ้าสวรรค์ ปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกมาได้!”
นายเหนือหัวเนตรมรณะอดทอดถอนใจไม่ได้
ต่อให้เป็นตัวเนตรเทพสังสารวัฏเอง ก็ไม่สามารถสร้างกายวัฏสงสารระดับสูงจำนวนมากได้ในเวลาสั้นๆ
หลังจากที่เนตรเทพเจ้าทั้งสี่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ต่างมีท่าทางแตกต่างกันออกไป แต่มีจุดหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือความหวาดเกรงในตัวเจ้าสวรรค์ รวมไปถึงจิตใจแน่วแน่ในการกำจัดเจ้าสวรรค์ด้วย
“ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร?”
ผู้อาวุโสเคราขาวคนหนึ่งก้าวขึ้นมาด้านหน้า
ร่างเขาเหยียดตรง แผ่กระจายจิตกระบี่น่ากลัวที่ดุดันเกินจะเปรียบ ทั้งร่างประหนึ่งเป็นกระบี่เก่าแก่ที่แหลมคม ดูเรียบง่ายธรรมดา แต่ความจริงแฝงไปด้วยพลังที่ไม่สิ้นสุด
คนผู้นี้ก็คือ ‘นายเหนือหัวเทียนเจี้ยน (กระบี่นภา)’ ผู้มีชื่อเสียงแห่งดินแดนเทพรกร้าง
หลังจากบรรดานายเหนือหัวเนตรเทพเจ้าถ่ายทอดคำสั่งรวมพลแล้ว ผู้แข็งแกร่งจากหลากหลายที่ในดินแดนเทพรกร้างเดินทางมารวมตัวกัน ย่อมรวมไปถึงบุคคลในระดับนายเหนือหัวด้วย และนายเหนือหัวเทียนเจี้ยนก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นนายเหนือหัวของแดนศักดิ์สิทธิ์ศาสตร์กระบี่ เชี่ยวชาญวิชากระบี่ เขย่าขวัญผู้คน
“หากพวกเรานั่งรอความตาย เจ้าสวรรค์จะขยายขั้วอำนาจไปจนแข็งแกร่งกว่าพวกเรา จากนั้นค่อยบุกโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตอีก!” อวี่เทียนอูเปิดปากเอ่ยช้าๆ
เขาค่อนข้างเข้าใจเจ้าสวรรค์ ถึงแม้บางครั้งคนผู้นี้ออกจะบ้าคลั่ง แต่หากมีวิธีอื่นๆ ที่สามารถได้ชัยชนะมาง่ายดายกว่า เจ้าสวรรค์ต้องเอามาใช้อย่างแน่นอน
“นั่นแปลว่าพวกเราทำได้เพียงบุกโจมตีก่อน!”
บุรุษหนุ่มชุดดำผมดำผู้หนึ่งเปิดปากเอ่ย ทั่วร่างแผ่รัศมีราชาออกมา
นอกจากนายเหนือหัวเนตรเทพเจ้าแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตยังมีนายเหนือหัวอีกสามคน แบ่งเป็นนายเหนือหัวอาทิตย์แห่งเผ่าวิหคทอง นายเหนือหัวเทียนเจี้ยนแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ศาสตร์กระบี่ สุดท้ายคือบุรุษหนุ่มชุดดำนาม ‘ซือคงเต้า’ นายเหนือหัวผู้มีพรสวรรค์ที่สุดและเยาว์วัยที่สุดของดินแดนเทพรกร้าง
“ลงมือเถอะ!” นายเหนือหัวเนตรทัณฑ์สวรรค์เอ่ยเสียงต่ำ
ถึงแม้ว่าลักษณะพื้นที่ของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตจะทำให้ได้เปรียบและมีโอกาสจะชนะมากขึ้น
แต่สถานการณ์ในวันนี้ ทุกคนจำเป็นต้องบุกไปโจมตี เข้าสู้รบกับเจ้าสวรรค์
เคร้ง เคร้ง เคร้ง~
เสียงรบราฆ่าฟันดังขึ้นในแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ดังกึกก้องฟ้าดิน
ในอาณาจักรเทพมายา จ้าวเฟิงยังดำดิ่งอยู่ในการฝึกฝน ‘ตำราเทพบริสุทธิ์’ และ ‘ตำราศักดิ์สิทธิ์อัสนีเทวะ’
บางทีอาจเป็นเพราะแรงกดดันมหาศาล ทำให้การปิดด่านฝึกตนในเวลานี้ได้ผลดีมาก
อย่างแรก กฎเกณฑ์เวลาและสายฟ้าข้ามไปแตะขอบเขตพลังระดับต่ำ ทำให้พลังทั้งหมดของจ้าวเฟิงเพิ่มสูงขึ้นอย่างยิ่ง ต่อมา เขาบรรลุ ‘หัตถ์ปิดฟ้า’ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาในขั้นที่สูงยิ่งขึ้น จึงใช้พลังอัสนีเทวะไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่ง หากสรุปโดยรวมแล้วละก็ ตอนนี้จ้าวเฟิงไม่ใช้อาวุธบรรพชนเทียมและเนตรเทพมายา พลังก็ไม่ด้อยไปกว่าจอมเทพชั้นยอดเลย
และในเวลานี้ คลื่นเสียงไร้รูปร่างทะลวงผ่านอากาศ สะท้อนก้องในอาณาจักรเทพมายา
“จะลงมือแล้วหรือ?” จ้าวเฟิงลืมตาขึ้นช้าๆ เก็บกลิ่นอายยิ่งใหญ่เข้าไปในร่าง
ไม่นานนัก
โครม ฟู่ ฟู่~ เรือรบสีเงินสว่างใหญ่หลายพันจั้งสองลำพุ่งออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ
นี่เป็นเรือรบแบบใหม่ที่พวกผู้ทรงภูมิใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากสร้างขึ้น โดดเด่นด้านการป้องกันมาก
เรือรบพุ่งออกมา ค่ายกลความลับสวรรค์รอบลำเรือเริ่มทำงาน พลังที่แก่กล้ากระเพื่อมไหว
วูบ ฟู่! เรือรบทั้งสองลำพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายพุ่งผ่านอากาศ อันตรธานหายไป
พวกฝืนชะตาฟ้าก็เชี่ยวชาญการทำนายทายทัก หากพวกเขาไม่อยากปะทะกับพันธมิตรเนตรเทพเจ้าก็สามารถหลบหลีกได้
แต่ตอนนี้ฝั่งพันธมิตรเนตรเทพเจ้ามีพวกผู้ทรงภูมิและเนตรเทพทำนาย จากความสามารถของพวกเขาแล้ว พวกฝืนชะตาฟ้าที่กระทำการอุกอาจไม่สามารถหลบหลีกได้แน่
ใช้ความเร็วสูงสุดเข้าไปประชิดพวกฝืนชะตาฟ้า นี่คือวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อขัดขวางการขยายอำนาจของฝ่ายตรงข้าม
ยังดี เรือรบที่พวกผู้ทรงภูมิสร้างขึ้นมามีความสามารถด้านการเคลื่อนย้ายมิติ นับว่าหาได้ยากยิ่ง แต่เช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่ใช้การเคลื่อนย้ายก็จะสิ้นเปลืองผลึกเทพระดับสุดยอดทั้งชิ้น
ระหว่างเร่งเดินทาง นายเหนือหัวรวมไปถึงราชาเทพต่างรวมตัวกันอยู่ที่โถงลับใจกลางเรือรบ
“เจ้าสวรรค์เดิมครอบครองกายเทพมารบรรพกาล ต่อมาก็ได้พลังของเนตรเทพสังสารวัฏ รวมถึงพลังทำลายล้างจากเนตรเทพดับสูญ พลังแท้จริงของอีกฝ่ายไม่ใช่แค่มากกว่านายเหนือหัวนิดเดียวเท่านั้น!”
อวี่เทียนอูเอ่ยก่อน ทำให้บรรยากาศในโถงลับหนักอึ้งตึงเครียด
“พวกเราควรจะโจมตีเจ้าสวรรค์อย่างไรดี?”
“เจ้าสวรรค์มีเนตรเทพวิถีฟ้ากับกายเทพมารบรรพกาล รับมือได้ยากเหลือเกิน…”
ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากต่างออกความคิดเห็นของตนเองเพื่อวางแผนรับมือ
“เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าสวรรค์ ข้อได้เปรียบเดียวที่พวกเรามีก็คือจำนวนคนมาก ดังนั้นทุกคนห้ามแยกกันโดยง่าย ทางที่ดีที่สุดคือร่วมมือกัน ลดพลังของเจ้าสวรรค์ไปเรื่อยๆ…” อวี่เทียนอูเอ่ยเนิบๆ
ต่อให้เป็นเจ้าสวรรค์ พลังก็ใช่ว่าจะไม่มีวันหมด เขาก็มีขีดจำกัดเช่นเดียวกัน
“รับมือกับพลังหลักของเจ้าสวรรค์ ต้องอาศัยเนตรเทพเจ้า!”
เนตรเทพทำนายหลิ่วฉินซินเอ่ย นางในยามนี้ไม่เพียงแต่สงบนิ่งสง่างาม ลึกลับจนทำให้รู้สึกเข้าถึงยาก แต่ยังมีท่าทางและบุคลิกที่ต้องยอมสยบให้
คนนอกอาจไม่รู้ แต่ระหว่างเนตรเทพด้วยกันเองต่างรู้ดี พลังของบรรดาเนตรเทพเจ้าสามารถประสานเข้าด้วยกันได้ง่ายดายเป็นพิเศษ
ยกตัวอย่างเช่น การโจมตีของเนตรเทพมรณะและเนตรเทพดับสูญสามารถเสริมกันและกัน ก่อเป็นพลังที่แกร่งยิ่งขึ้น
แต่เนตรเทพมรณะและราชาเทพคนอื่นๆ ที่ศึกษากฎเกณฑ์ทำลายล้าง ยากที่จะมีความสอดคล้องกันเช่นนี้ พลังก็หลอมรวมเข้าด้วยกันยากมาก
บางทีอาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์ของเนตรเทพเจ้ากระมัง
ตอนนี้ นอกเหนือจากเนตรเทพทำนายที่ไม่ชำนาญการสู้รบ รวมไปถึงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าที่ยังไม่สามารถใช้พลังออกมาได้ทั้งหมด ก็ยังมีเนตรเทพเจ้าอีกห้าคนที่ชำนาญการต่อสู้
ในตอนที่ทุกคนกำลังปรึกษาหารือกัน
“มาแล้ว!” หลิ่วฉินซินเอ่ยออกมาโดยพลัน
โครม ตูม! รอบเรือทั้งสองลำเกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้นนับไม่ถ้วน
เห็นเพียงฟ้าดินไกลลิบเบื้องหน้ามืดสลัวลง ความเงียบสงัดภายในนั้นกลับทำให้รู้สึกถึงความอันตรายที่ชวนขนพองสยองเกล้า เหมือนทางไปสู่นรกอย่างไรอย่างนั้น
โครม ฟิ้ว ฟิ้ว~
ไอสีดำม้วนตลบ ภายในผืนฟ้าลี้ลับที่มืดมิดค่อยๆ มีเรือรบสีทองดำสองลำปรากฏขึ้น
ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอยู่ไกลๆ แรงกดดันที่น่ากลัวทำให้อากาศตรงกางระหว่างทั้งสองฝ่ายบิดเบี้ยวและเกิดรอยร้าวขึ้น
ฟิ้ว~ เงาคนจำนวนมากพลันลอยขึ้นเหนือเรือรบสีเงิน
พลานุภาพลึกลับกลุ่มหนึ่งแผ่ทะลวงไปในฟ้าดิน โลกที่มืดหม่นมีแสงสว่างกลับคืนมา ทางฝั่งพันธมิตรเนตรเทพเจ้าเห็นศัตรูได้อย่างชัดเจน
เห็นแค่ว่ารอบบริเวณเรือรบสีทองสองลำ มีร่างคนดำมืดมากมายปรากฏขึ้น สาดซัดพลังสังสารวัฏที่เลือนรางมืดหม่นออกมา
ทั้งหมดนี้คือกายวัฏสงสาร!
“ราชาเทพกลืนนภา!”
ภายในเงาร่างนับไม่ถ้วน จ้าวเฟิงมองเห็นราชาเทพกลืนนภาได้ในทันที
ราชาเทพกลืนนภาในตอนนี้ถูกพันธนาการไว้ในกายวัฏสงสาร ไม่มีวิธีการใดที่จะหลุดพ้นออกมา ใบหน้าเขาเหี้ยมโหดน่าเกรงขาม
“เป็นคนที่น่ากลัวเหลือเกิน!” ใบหน้าซินอู๋เหินเคร่งขรึม
ตอนนี้เท่าที่รู้ก็คือ เจ้าสวรรค์บุกทำลายแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม จับดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนมาเป็นกายวัฏสงสารของตนเอง
แน่นอนว่าเนิ่นนานก่อนนี้ เจ้าสวรรค์ก็โจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์เทพมายาไปแล้ว
เหนือกายวัฏสงสารมากมายปรากฏเงาสว่างขาวโพลนร่างหนึ่ง ซึ่งแผ่กระจายพลังน่ากลัวที่ทำให้สรรพชีวิตต้องเชื่อฟัง
“ฮ่าๆ เนตรเทพเจ้าทั้งหกมากันครบ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”
เจ้าสวรรค์พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ
ในวินาทีนี้ ผู้แข็งแกร่งฝั่งพันธมิตรเนตรเทพเจ้าก็กำลังสังเกตเจ้าสวรรค์ที่เก่งกาจกว่านายเหนือหัวผู้นี้
สีหน้าคนทั้งหมดตึงเครียดยิ่งขึ้น ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
“ลงมือกันเถอะ!” เนตรเทพทัณฑ์สวรรค์แค่นเสียงต่ำ
มาถึงขั้นนี้แล้ว พูดจาไร้สาระกับเจ้าสวรรค์ต่อไปก็ไม่ได้มีความหมายอะไรอีก นายเหนือหัวที่เหลือพยักหน้าน้อยๆ
โครม ครืน~
ฟ้าดินถล่มทลาย พลังที่แข็งแกร่งเกินจะเปรียบพุ่งทะลวงออกมา สั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ
นายเหนือหัวเนตรเทพเจ้าทั้งห้า นายเหนือหัวอาทิตย์ นายเหนือหัวเทียนเจี้ยน รวมไปถึงซือคงเต้า ต่างพุ่งเข้าไปประชิดเจ้าสวรรค์
“เป็นพลังที่น่ากลัวเหลือเกิน!” ใจจ้าวเฟิงหนาวเหน็บ
หากเปลี่ยนเป็นจอมเทพทั่วไป ต้องเผชิญหน้ากับพลานุภาพเช่นนี้ เกรงว่าจะตกใจจนสติกระเจิงไปแล้ว แต่เจ้าสวรรค์กลับระบายยิ้มประหลาดออกมา “ฮ่าๆ พลังดั้งเดิมของเนตรเทพเจ้าพวกเจ้าทั้งหก จะตกเป็นของข้าทั้งหมด!”
โครม ตูม! สายเลือดบรรพกาลในร่างเจ้าสวรรค์ทะลักออกอย่างบ้าคลั่ง ปลดปล่อยพลานุภาพที่เขย่าขวัญเผ่าพันธุ์นับหมื่น กระเทือนในอากาศ
ในเวลาเดียวกัน เนตรเทพวิถีฟ้าตรงหว่างคิ้วของเขาค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้าเนตรเทพเจ้าของคนอื่นที่เหลือก็สั่นสะท้าน รวมไปถึงเนตรเทพมายาของจ้าวเฟิงด้วย
ร่างเจ้าสวรรค์สว่างวาบ พุ่งทะยานออกมา
โครม ตูม! พลังสองกลุ่มที่สะเทือนทั้งฟ้าดิน ก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่สูงลิ่วแตกตัวออก ลมพายุน่ากลัวพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
เรือรบสีเงินและเรือรบสีทองดำต่างลดระดับความเร็วลงมา เพื่อหลบเลี่ยงจากลมพายุที่น่ากลัวในสนามรบของบรรดานายเหนือหัว แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถวนของทั้งสองฝ่ายในเรือรบพากันพุ่งออกมา
“สังหาร!” เสียงร้องคำรามดังลอดเข้ามาในโสตประสาท ดังกึกก้องในอากาศ กลุ่มคนทั้งสองพวกปะทะเข้าหากันอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น พลังที่หลากหลายก็ปะทุออกมา การนองเลือดก็เกิดขึ้นไปทั่ว
“เฮ้อ คิดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสจะกลายเป็นเช่นนี้!”
“จนถึงตอนนี้ก็คงต้องดื่มด่ำกับการล่าสังหารครังนี้แล้ว!”
ฝ่ายพวกฝืนชะตาฟ้า กายวัฏสงสารที่แข็งแกร่งผิดปกติสามร่างพูดคุยสื่อสารกัน
คนทั้งสามนี้แบ่งออกเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นราชาเทพของแดนศักดิ์สิทธิ์กลืนนภา แดนศักดิ์สิทธิ์วิญญาณโลหิต รวมไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำวิญญาณ
ด้านหลัง ผู้คุมกฎจั่วร่ายคำสาปออกมา แสงสุกสกาวและหมอกควันสีดำเป็นชั้นๆ ลอยขึ้นจากด้านหลัง มองเห็นร่างคนผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำที่อยู่ด้านในนั้นอย่างเลือนราง กรงเล็บแห้งเหี่ยวเต็มไปด้วยริ้วรอย ยื่นออกไปด้านหน้าด้วยท่าทางคุกคาม
มองเห็นเหตุการณ์นี้ ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ความหวาดกลัวกระจายตัวเกาะกลุ่มขั้วหัวใจ การต่อสู้ของพวกแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อคราวก่อน คำสาปและอาคมที่น่ากลัวของผู้คุมกฎจั่วยังคงติดตา
“คราวนี้ ข้าจะต้องจัดการเจ้าให้ได้!”
ฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ราชาเทพหวาเฟิงพุ่งออกกระโจนออกมา
“พวกเจ้าไปสู้!” จ้าวเฟิงโบกมือ ปลดปล่อยมังกรวารีล้างโลกากับร่างแยกจำนวนมาก รวมไปถึงเผ่าพันธุ์บรรพกาลออกมา
การต่อสู้คราวนี้สำคัญอย่างมาก จ้าวเฟิงไม่กล้ารีรอ รีบทุ่มสุดตัว
ในเวลานั้น จ้าวเฟิงก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจิตสังหารที่แกร่งกล้าหลายกลุ่ม
“หืม?” จ้าวเฟิงโคจรเนตรเทพเจ้า หลังจากสอดส่องสำรวจสนามรบแล้ว หน้าก็เปลี่ยนสีเล็กน้อย
จิตต่อสู้ที่สาดซัดออกมานั้น ก็คือบรรดาทูตสวรรค์ที่ถูกจ้าวเฟิงสังหารไปก่อนหน้า แต่ในตอนนี้พวกเขาฟื้นคืนชีพมากันหมดแล้ว
“จ้าวเฟิง วันตายของเจ้ามาถึงแล้ว!”
ทูตสวรรค์อู่แค่นเสียงต่ำ พุ่งกระโจนเข้ามา ระลอกสีม่วงเข้มหมุนทั่วร่าง ทำให้เขากลายร่างเป็นมารทมิฬ
ในเวลาเดียวกัน ทูตสวรรค์ฉาง ทูตสวรรค์ลี่ เป่ยหมิงฮุย และทูตสวรรค์เจ็ดคน พุ่งตรงไปสังหารจ้าวเฟิง!