Skip to content

King of Gods 1579

King Of Gods

บทที่ 1579 จ้าวเฟิงรับศิษย์

มุมปากซ่งถิงอวี้ยกยิ้มน้อยๆ ขณะมองส่งจ้าวเฟิงจากไป ในใจเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม

แต่จ้าวเฟิงเพิ่งย่างเท้าเข้าออกประตู ปราณแท้สีม่วงที่หนาแน่นก็สาดกระจายออกจากร่าง ในเวลาเดียวกัน ไอสวรรค์ฟ้าดินในห้องนั้นลอยเขาไปในร่างจ้าวเฟิง

“นี่มัน…”

ซ่งถิงอวี้ชะงักไปทันใด ก่อนหน้านี้ตอนที่นางสำรวจแหล่งกำเนิดปราณแท้ในร่างจ้าวเฟิง นางแน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงของปราณแท้วิญญาณฟ้าไปถึงขั้นปราณแท้วิญญาณม่วงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น

แต่ความเข้มข้นของปราณแท้สีม่วงที่สาดออกจากตัวจ้าวเฟิงไม่ใช่เพียงแค่ส่วนเดียวแน่ อย่างน้อยๆ ต้องสามส่วน ไม่สิ…สี่ส่วน

ปราณแท้สีม่วงยิ่งหนาแน่นขึ้นไปทุกที ประหนึ่งเป็นเกราะหมอกที่แน่นหนาปกคลุมรอบตัวจ้าวเฟิง ทำให้ร่างเขาเลือนราง ดูลึกล้ำเกินหยั่ง ชวนจิตใจคนหย่อนยาน

กระทั่งตอนที่ซ่งถิงอวี้มองแผ่นหลังจ้าวเฟิงยังรู้สึกประหลาดในชั่วพริบตา เหมือนเห็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดผู้หนึ่งที่ทำให้นางไม่สามารถจะจินตนาการได้เลย

แต่นางก็ได้สติกลับคืนมาทันที แต่เมื่อได้สติกลับมา นางเห็นสิ่งที่ยิ่งสะพรึงขวัญกว่าเดิม

ความเข้มข้นของปราณแท้วิญญาณม่วงบนร่างจ้าวเฟิงบริสุทธิ์มาก ไร้ซึ่งสิ่งใดเจือปน นั่นเป็นสัญญาณของพลังครบสิบส่วน

เมื่อกวาดประสาทสัมผัสจิตวิญญาณไป สีหน้าซ่งถิงอวี้ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ในสมองมีเสียงดังหึ่งๆ

‘เมื่อครู่…เกิดอะไรขึ้น?’ ซ่งถิงอวี้พึมพำในใจ

ไม่นานเท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะสามารถทะลวงขั้นปราณม่วงได้ทันที!

ก่อนนี้นางยังบอกว่าไม่ใช่ยา อย่างน้อยๆ จ้าวเฟิงต้องใช้เวลาสิบวันถึงทะลวงขั้นได้ อันที่จริงแล้วนี่เป็นการคาดเดาที่เกิดขึ้นหลังจากนางประเมินจ้าวเฟิงอย่างสูงแล้วด้วยซ้ำ

ไหนเลยจะรู้ว่าจ้าวเฟิงเพิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็ทะลวงขั้นได้แล้ว!

นี่ทำให้ซ่งถิงอวี้อับอายยิ่งนัก

“หยุดก่อน!” ซ่งถิงอวี้หน้าแดง ตะโกนขึ้นทันที

“เรียกข้ามีเรื่องอะไร?”

จ้าวเฟิงหมุนตัวมา อมยิ้มที่มุมปากบางๆ

“เมื่อครู่เจ้าแกล้งข้าหรือ?” แววตาซ่งถิงอวี้เย็นยะเยียบ

ในสายตาของนาง จ้าวเฟิงจะต้องซุกซ่อนระดับพลังฝึกตนเอาไว้แน่ มิฉะนั้นทำไมเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถทะลวงขั้นได้แล้ว

ส่วนเรื่องที่ก่อนนางนี้นางมองไม่ออก อาจเพราะจ้าวเฟิงฝึกฝนเคล็ดวิชาลับเก็บซ่อนพลังของสกุลจ้าว

อารมณ์ของตัวนางเองก็ไม่ได้ดีมากนัก ก่อนหน้าไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กคนนี้ แต่ในตอนนี้ นางคิดว่าจ้าวเฟิงกำลังแกล้งนาง แต่ซ่งถิงอวี้ไม่ได้มองเจ้าเด็กนี่เป็นเด็กทั่วไปอีกแล้ว ไฟโกรธเกรี้ยวลุกโหม อารมณ์ที่แท้จริงของนางจะปรากฏออกมาแล้ว

“ถูกต้อง!”

จ้าวเฟิงยอมรับ

แต่จ้าวเฟิงยอมรับขวานผ่าซากเช่นนี้ ซ่งถิงอวี้ก็พลันเบิกตากว้าง ไม่รู้จะพูดอะไร

ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะยอมรับอย่างนี้ ไม่เล่นลิ้นแม้แต่น้อย

อีกอย่างนางเป็นถึงขอบเขตแปรจิตช่วงสุดยอด แต่ถูกเด็กอายุสิบสี่กลั่นแกล้งเข้าแล้ว หากพูดออกไปใครจะเชื่อ

อีกทั้งซ่งถิงอวี้เป็นถึงผู้ถูกเลือกของตระกูลซ่ง นางเองก็ไม่ยอมให้เรื่องน่าอายนี้แพร่งพรายออกไปแน่

“ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนการอะไร ตอนนี้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า ตอนนี้ข้าจะมอบภารกิจให้เจ้าทำ!”

ซ่งถิงอวี้หยิบตำราเล่มหนึ่งมาจากด้านในมิติเก็บของ จากนั้นจึงกอดอก จ้องจ้าวเฟิงด้วยสายตาเย็นชา

“วิชาระดับวิญญาณชั้นยอด ‘หมัดมังกรเหลือง’ ”

จ้าวเฟิงกวาดสายตามอง

“ให้เวลาเจ้าสิบวัน จงฝึกฝนเคล็ดลับการต่อสู้นี้ไปจนถึงระดับสุดยอด!”

ซ่งถิงอวี้แค่นเสียงเย็น

วิชายุทธ์มีระดับขั้น แต่ก็ไม่แน่ว่าฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับสูงแล้วจะสามารถสู้ชนะระดับต่ำได้ นั่นเพราะว่าวิชายุทธ์ยังมีความต่างในด้านระดับ แบ่งออกเป็นชั้นแรกเริ่ม ชั้นต้น ชั้นสูง และชั้นสุดยอด เหนือกว่านั้นยังมีชั้นสมบูรณ์ด้วย แต่ระดับนี้สูงส่งจนเกินไป ต่อให้เป็นคนคิดค้นเคล็ดวิชาการต่อสู้ก็ตาม ในตอนแรกก็ไม่แน่ว่าจะไปถึงระดับสมบูรณ์ได้

จ้าวเฟิงแกล้งนาง ซ่งถิงอวี้จะยอมแพ้แบบนี้ได้อย่างไร ตอนนี้นางอยากให้จ้าวเฟิงลำบาก

ระดับของหมัดมังกรเหลืองไม่สูงนัก แต่ระยะเวลาสิบวัน คิดจะฝึกฝนจนเทียบเท่าระดับพลังขั้นสุดยอดนั้นเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดขอบเขตก่อเกิดดาราที่เหนือกว่าขอบเขตสามปราณขึ้นไป ก็ต้องใช้เวลายี่สิบวันเป็นอย่างน้อย

“ไม่สู้ข้าพนันกับเจ้าดีไหม!”

จ้าวเฟิงหยิบวิชายุทธ์ไป ยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะมองซ่งถิงอวี้

“พนันอะไร?”

ใบหน้าซ่งถิงอวี้ฉายแววสงสัย

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางจึงมีความรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

แต่นางเป็นถึงขอบเขตแปรจิตช่วงสุดยอด หรือว่าจะมาพ่ายแพ้แก่เด็กน้อย?

“ที่ข้าเองก็มีเคล็ดวิชาอยู่เล่มหนึ่ง ระดับของมันเทียบเท่าได้กับ ‘หมัดมังกรเหลือง’ พวกเราสองคนใครลึกซึ้งถึงระดับสุดยอดได้ก่อนก็เป็นคนชนะไป!”

จ้าวเฟิงพลิกฝ่ามือ ด้านบนปรากฏเคล็ดวิชาการต่อสู้ชื่อว่า ‘กระบี่แสงหลาก’ เล่มหนึ่งขึ้น

สีหน้าซ่งถิงอวี้ชะงักไปอีกครั้ง นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง

ขั้นปราณม่วงคนหนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาแข่งฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้ไปถึงระดับสุดยอดให้ได้ในช่วงเวลาสั้นที่สุดกับนาง

นางถึงขนาดสงสัยเล็กน้อยว่าจ้าวเฟิงสมองเพี้ยนแล้วหรืออย่างไร

ในฐานะที่เป็นขอบเขตแปรจิตช่วงสุดยอด นางฝึกฝนแต่วิชาชั้นยอด จะให้ลึกซึ้งในวิชาระดับวิญญาณชั้นยอดวิชาหนึ่งนับว่าง่ายดาย คาดว่าแค่อ่านเพียงรอบเดียวก็สามารถสำแดงออกมาได้ เพียงขัดเกลาอีกสักหน่อย ทักษะก็น่าจะไปแตะระดับพลังสุดยอด

จะต้องชนะอย่างแน่นอน!

“ดี จะให้เจ้าได้เห็นความสามารถของอาจารย์สักหน่อย!”

ซ่งถิงอวี้ตอบตกลงทันที

ก่อนนี้ถูกจ้าวเฟิงกลั่นแกล้งไป ความโกรธนี้นางจะต้องเอาคืนให้ได้

“ใครชนะ ถึงจะได้เป็นอาจารย์!”

จ้าวเฟิงตอบเสียงเรียบ มีเรื่องให้พนันถึงจะมีของเดิมพัน

“ได้!”

ซ่งถิงอวี้อยากจะเห็นจ้าวเฟิงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากจนแทบทนไม่ไหว จึงตอบตกลงทันที

ในฐานะที่เป็นศิษย์คนแรกของนาง ซ่งถิงอวี้ต้องการให้จ้าวเฟิงเชื่อฟังอ่อนโอนอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดๆ

เมื่อรับเคล็ดวิชาการต่อสู้จากมือจ้าวเฟิง ซ่งถิงอวี้ก็คลี่มันออก ก่อนจะใช้ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณกวาดอ่าน

ถึงแม้นางจะไม่ชำนาญวิชากระบี่ แต่เชื่อมั่นว่าขอแค่ตนเองได้อ่านสักรอบ ก็จะสามารถสำแดงออกมาได้ การจะฝึกฝนจนไปแตะระดับพลังสุดยอดเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

แต่ทว่าทันใดนั้นเอง ซ่งถิงอวี้ก็พบว่าจ้าวเฟิงดูไม่ชอบมาพากลนัก

จ้าวเฟิงในตอนนี้ไม่ได้เปิดดูเคล็ดวิชา ‘หมัดมังกรเหลือง’ แต่กลับยิ้มกริ่มบนใบหน้า เหมือนรู้สึกเกรงอกเกรงใจขณะจ้องนาง

“ทำไมเจ้าไม่ไปฝึกฝน ‘หมัดมังกรเหลือง’?”

ซ่งถิงอวี้ถามด้วยความสงสัย

“เจ้าดูดีๆ แล้วกัน!”

จ้าวเฟิงคำรามเสียงต่ำ ขณะก้าวเท้าออกมา

หมัดสองข้างของเขาประสานเข้าหากัน ปราณแท้สีม่วงหมุนวนออกมา และกลายเป็นคมแสงสีเหลืองที่แฝงไปด้วยพลังธาตุดินจำนวนมาก

โครม!

เมื่อระเบิดหมัดออกมา การทะลักออกมาของไอสีเหลืองเป็นประหนึ่งมังกรสีเหลืองเข้มตัวหนึ่ง มันร้องคำราม พลานุภาพเขย่าขวัญ

ถัดจากนั้น หมัดที่สอง หมัดที่สามของจ้าวเฟิงก็ระเบิดตามมา…

ภายในจวน มังกรพิโรธสีเข้มหลายตัวหมุนวนรอบตัวจ้าวเฟิงราวกับมีชีวิต พลานุภาพของมันเขย่าขวัญ จากการฝึกฝนไม่หยุด ตัวของจ้าวเฟิงเองก็เหมือนกลายเป็นมังกรพิโรธตัวหนึ่งที่มีพลานุภาพเขย่าฟ้าดิน อีกทั้งการฝึกฝนวิชาหมัดราบรื่นราวสายน้ำ เต็มไปด้วยแรงระเบิดและความสวยงาม ทำให้ซ่งถิงอวี้ที่ติดอยู่ด้านในลืมทุกสิ่งไป

วิชาหมัดระดับต่ำแบบนี้ เมื่อจ้าวเฟิงปลดปล่อยออกมากลับมีพลานุภาพที่รุนแรงเช่นนี้ ซ่งถิงอวี้จึงนับถือในตัวเขา

ฉับพลันนั้น เสียงคำรามภายในห้องก็หายไป

“ข้าชนะแล้ว!” จ้าวเฟิงระบายยิ้มออกมา

ใบหน้าซ่งถิงอวี้ชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนไปทันที

“เจ้า…โกงนี่ เจ้าจะต้องฝึกวิชานี้ไว้ก่อนแล้ว!”

ซ่งถิงอวี้ร่างสั่นเทิ้มน้อยๆ ตกตะลึงลนลาน จนสุดท้ายพูดออกมาได้แค่สามคำเท่านั้น

กระทั่งเคล็ดวิชา ‘หมัดมังกรเหลือง’ จ้าวเฟิงยังไม่เคยเปิดมาก่อน ก็สามารถเรียกวิชานี้มาได้เลย อีกทั้งเมื่อครู่ไม่ใช่ระดับพลังสุดยอด แต่เป็นระดับพลังสมบูรณ์ชัดๆ แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เป็นเรื่องเกินความคาดหมายจริงๆ

ดังนั้นซ่งถิงอวี้จึงได้แต่คิดว่าจ้าวเฟิงคงจะฝึกวิชานี้มาก่อนแล้ว

ทว่าถึงแม้ ‘หมัดมังกรเหลือง’ จะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็เป็นเคล็ดวิชาของตระกูลซ่ง ตระกูลจ้าวไม่มีทางมีแน่

อีกอย่างไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ นางหยิบเคล็ดวิชาออกมาสุ่มๆ จ้าวเฟิงจะมาฝึกก่อนล่วงหน้าได้พอดี

คำอธิบายนี้กระทั่งตัวนางเองยังไม่อยากจะเชื่อ

นางไหนเลยจะรู้ จ้าวเฟิงเพียงแค่กวาดสายตาไปก็อ่าน ‘หมัดมังกรเหลือง’ จบแล้วหนึ่งรอบ ด้วยพลังระดับผู้สร้างของจ้าวเฟิง วิชาหมัดที่ระดับพลังสมบูรณ์นี้ง่ายดายนัก

“ไม่ว่าข้าจะโกงหรือไม่ ข้าว่าคนตระกูลซ่งไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง เป็นแค่อันธพาล เชื่อถือไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด!”

สีหน้าจ้าวเฟิงเกรี้ยวกราด ตะโกนลั่น

เสียงตะเบ็งนี้ทำให้ซ่งถิงอวี้ร่างแข็งค้าง จากนั้นไฟโทสะก็พวยพุ่งขึ้น แต่กลับไม่สามารถระบายออกมาได้

อย่างแรก ที่นี่คือตระกูลจ้าว และสถานะของจ้าวเฟิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านาง อีกอย่างคือจ้าวเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรผิด ทำไม…นางถึงได้แพ้พนันได้!

“ได้ ข้าซ่งถิงอวี้ยอมพนันและรับความพ่ายแพ้ได้ ตอนนี้เจ้าเป็นอาจารย์ของข้า ข้าก็อยากจะเห็นว่าเจ้าจะสอนอะไรข้าบ้าง!”

ซ่งถิงอวี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สุดท้ายนางก็ทำได้เพียงตอบตกลง

อย่างน้อยนางก็สามารถเป็นคนที่น่าเชื่อถือ พลาดเพียงแค่คราวนี้เท่านั้น ต่อไปค่อยคิดหาวิธีจัดการกับเจ้าเด็กบ้านี่!

พอพูดจบ ซ่งถิงอวี้ก็เตรียมจะจากไป

“อืม ศิษย์เด็กดี ออกไปเดินเล่นกับอาจารย์ก่อน!”

จ้าวเฟิงพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยออกมาทันที

“เจ้า…”

ฝีเท้าซ่งถิงอวี้ชะงัก โทสะในใจปั่นป่วน แต่ก็ยังเพียรพยายามจะควบคุมตนเอง

วันนี้นางโดนเล่นงานมาสองคราแล้ว นางเห็นจ้าวเฟิงก็รู้สึกไม่ดี วันนี้นางแค่ต้องการจะไประบายอารมณ์ก่อนจากนั้นค่อยคิดหาวิธีเอาคืนเด็กบ้าคนนี้

แต่จ้าวเฟิงไม่มีท่าทีจะปล่อยนางไปเลย

“ไปกันเถอะ!”

จ้าวเฟิงเอามือไพล่หลังก่อนจะเดินออกไป

ซ่งถิงอวี้เดินตามมาด้านหลัง นางจ้องจ้าวเฟิงเขม็ง เหมือนจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่าย

แต่ซ่งถิงอวี้ก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง เมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา นางก็รู้สึกได้ว่าคนผู้นี้…ลึกล้ำเกินคาดเดา!

ในตอนที่จ้าวเฟิงและซ่งถิงอวี้กำลังจะออกไป

ในเรือนพักที่ปิดตายของจวนเจ้าเมือง

ชายร่างกำยำผู้หนึ่งนั่งอยู่ในนั้น กลิ่นอายมุทะลุที่ไร้รูปร่างทำให้บรรยากาศทั้งห้องกดดันอย่างยิ่ง

ด้านหน้าชายผู้นั้นปรากฏเงาดำร่างหนึ่งขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นบิดเบี้ยวกลายเป็นคนผู้หนึ่งเดินออกมา

“จ้าวเฟิงไปแล้ว เขาอยู่กับซ่งถิงอวี้!”

เงาดำค้อมตัวพลางเอ่ย

“จ้าวเทียนหลงคนนี้เบื้องหน้าทำเป็นเชิญอาจารย์ให้ลูกชายตนเอง แต่ที่จริงแล้วคือผู้คุ้มครอง ให้คอยจับตาดูพฤติกรรมทุกอย่างของบุตรชาย มีโอกาสก็จัดการคนผู้นั้นเสีย…”

ชายร่างกำยำผู้นั้นแค่นเสียงต่ำ

“ขอรับ รองผู้นำ!”

เงาดำนั้นสลายไป

“จ้าวเทียนหลง ที่จริงข้าไม่ได้อยากลงมือทำร้ายบุตรชายเจ้า แต่บุตรชายเจ้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ต้องตายสถานเดียว”

ชายร่างกำยำระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

ชายผู้นี้ก็คือรองผู้นำตระกูลจ้าว จ้าวป้าหลง

บุตรชายสามคนของเขาเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่งในรุ่นเดียวกับจ้าวเฟิง

ส่วนบุตรชายคนโตของจ้าวเทียนหลงพรสวรรค์กลางๆ ภายหน้าหากไม่ได้มีผลงานอะไร และไม่เกินความคาดหมาย ผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปก็คงจะเป็นเขา เมื่อกลายเป็นผู้นำตระกูลแล้ว ตำแหน่งเจ้าเมืองก็น่าจะได้มาไม่ยาก

หลังจากจ้าวเฟิงเกิด จ้าวป้าหลงก็คอยสังเกตมาโดยตลอด

เขาพบว่าเด็กผู้นี้ลึกลับยากจะอ่านขาด เหมือนเป็นหุบเหวที่ดำมืด และยังลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง ทำให้คนไม่กล้าจะดำดิ่งเข้าไป

สรุปก็คือ เขาเห็นอันตรายจากจ้าวเฟิง

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง!

ด้านนอกจวนเจ้าเมือง

หลังจากจ้าวเฟิงและซ่งถิงอวี้ออกจากจวนก็เดินทางมาพบฮั่วชิงเฟิงอย่างรวดเร็ว

“นายท่าน!”

ใบหน้าฮั่วชิงเฟิงราบเรียบ

โอสถชะล้างวิญญาณแรกระดับสมบูรณ์สามเม็ดทำให้อาการบาดเจ็บสาหัสในร่างฮั่วชิงเฟิงหายไปจนหมด

เพียงแค่จุดนี้จุดเดียวก็ทำให้ฮั่วชิงเฟิงซาบซึ้งในบุญคุณจ้าวเฟิงเกินจะเปรียบแล้วยิ่งไปกว่านั้น เขายังจำเป็นต้องล้างแค้น จำเป็นต้องเพิ่มพลัง การติดตามจ้าวเฟิงอาจจะเป็นโชคชะตา

“เจ้าคือ…ฮั่วชิงเฟิงจากพรรคกระบี่ชิงเฉิง!”

ซ่งถิงอวี้จับจ้อง พูดอะไรไม่ออก

พรรคกระบี่ชิงเฉิงอยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ แต่ชื่อเสียงของฝ่ายตรงข้าม ซ่งถิงอวี้ก็พอได้ยินมาบ้าง คนผู้นั้นเป็นอัจฉริยะที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่านาง

ได้ยินมาว่าหัวหน้าคนต่อไปของพรรคกระบี่ชิงเฉิงต่างเลือกฮั่วชิงเฟิงเอาไว้ภายใน เพียงแต่หลายเดือนก่อนพรรคกระบี่ชิงเฉิงเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น…

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้ซ่งถิงอวี้ตกตะลึงเช่นนี้

สิ่งที่ทำให้นางตะลึงงันก็คือ ฮั่วชิงเฟิงกลับเรียกเจ้าเด็กนี่เป็นเจ้านาย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version